แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 689 เผชิญหน้าตัวต่อตัว
ตอนที่ 689 เผชิญหน้าตัวต่อตัว
รองอธิการบดีกู้เห็นว่าแม้คุณปู่ฟางจะแต่งกายด้วยชุดธรรมดา แต่เขาก็ดูไม่ธรรมดา ซึ่งคาดเดาได้ง่ายว่าชายชราผู้นี้เป็นผู้มีอำนาจ
เขาหัวเราะพลางกล่าว “ไม่มีใครรังแกหลินม่ายหรอกครับ ทั้งหมดเป็นเพียงการหยอกล้อของคนหนุ่มสาวเท่านั้นเอง”
หลินม่ายพูดอย่างไร้ความปรานี “จ้าวซั่วหยางมีหัวใจอ่อนโยนแบบนั้นด้วยเหรอคะ? สิ่งที่เขาทำคือการทำลายครอบครัวของคนอื่นและต้องการเป็นมือที่สาม! โชคดีที่ฉันกับจั๋วหรานไม่ได้แต่งงานกันในกองทัพ เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถูกพิพากษาโทษขั้นเด็ดขาดอย่างแน่นอน หากเป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าครอบครัวที่แข็งแกร่งของเขาจะสามารถปกป้องเขาได้ไหม”
คุณปู่ฟางตะคอกอย่างเย็นชาเมื่อได้ยิน “ครอบครัวเขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่งสินะ ฉันควรทำอย่างไรดี บังเอิญว่าฉันเป็นคนชอบเผชิญหน้าอะไรแบบตัวต่อตัวเสียด้วยสิ”
เขาหันศีรษะมาถามหลินม่าย “ไอ้หนุ่มที่รังควานหลานมันชื่อจ้าวซั่วหยางใช่ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณปู่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ ไม่ต้องให้ถึงมือคุณปู่หรอกค่ะ จั๋วหรานจะจัดการเอง”
คุณปู่ฟางกลับพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไล่แขกออกไป!”
สีหน้าของผู้มาเยือนทั้งหมดพลันหม่นลง
พวกเขาเป็นผู้ปฏิบัติงานระดับชาติในระดับการบริหาร แต่คุณปู่ฟางกลับไม่ไว้หน้าพวกเขาแม้เพียงนิด
หลินม่ายเองก็เลือกที่จะไม่ไว้หน้าพวกเขา เพราะเธอเชื่อมั่นในอำนาจของคุณปู่ฟาง
หลินม่ายยิ้มเยาะพลางกล่าว “ปู่และย่าของฉันแก่แล้ว พวกเขาไม่ชอบเสียงดัง ท่านรองอธิการบดีและทุกท่านกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
รองอธิการบดีกู้และผู้นำหลายคนต่างเดินออกไปด้วยความโกรธ
พวกเขาเป็นปัญญาชนระดับสูงที่มีฐานะ ไม่อาจเป็นเหมือนชาวบ้านร้านตลาดได้ และพวกเขาจะไม่จากไปแม้ว่าจะถูกขับไล่ก็ตาม
ก่อนจากไป รองอธิการบดีกู้ก็พูดกับหลินม่าย “ทำไมถึงต้องทำอะไรให้วุ่นวายขนาดนี้? หากเธอยืนกรานที่จะทำเรื่องใหญ่โต เธอจะเป็นคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานที่สุดนะ”
หลินม่ายกระพริบตาพลางกล่าว “ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยค่ะ เราทำร้ายเขาเพื่อป้องกันตัว ดังนั้นเราอาจได้รับโทษเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่ได้รับโทษเลย แต่จ้าวซั่วหยางรังควานฉันมานานแล้ว เขาควรถูกไล่ออกจริงไหมคะ? เหล่าผู้มีอำนาจอย่างท่านรองอธิการบดีในตอนนี้กำลังพยายามทำทุกอย่างให้ซับซ้อนเพื่อปกปิดความผิดและยืนหยัดเพื่อเขา ท่านรองอธิการบดีกำลังพยายามยัดเยียดความผิดทั้งหมดให้กับฉัน พวกคุณไม่มีมโนธรรมกันเลยเหรอคะ?”
รองอธิการบดีกู้พูดด้วยใบหน้าเย็นชา “จนถึงตอนนี้เธอก็ยังยืนกรานที่จะไม่รับผิด รอให้ครอบครัวจ้าวซั่วหยางแสดงอำนาจของพวกเขาก่อนเถอะ เมื่อเวลานั้นมาถึงก็อย่ามาอ้อนวอนเราก็แล้วกัน!”
คุณย่าฟางพูดอย่างเย็นชา “ไว้ตอนนั้นมาถึงค่อยมาดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ต้องขอร้องใคร”
หลังจากที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกคนจากไปด้วยความโกรธ คุณป้าพี่เลี้ยงก็เข้ามาบอกว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว
คุณย่าฟางโบกมือ “ไปกินข้าวเย็นกันเถอะ”
คุณปู่ฟางกล่าว “ไปกินกันก่อนเถอะ ผมขอไปคุยโทรศัพท์สักเดี๋ยว”
คุณย่าฟางรู้จุดประสงค์การโทรของเขาจึงกล่าวขึ้น “เรื่องนี้จิ๊บจ้อยออกค่ะ อย่ารบกวนผู้บังคับบัญชาเลย แค่ขอให้รัฐมนตรีช่วยจัดการก็พอ”
คุณปู่ฟางกล่าว “ผมยังไม่แก่สักหน่อย และรู้ดีว่าควรทำยังไง!”
เมื่อฟังการสนทนาระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง หลินม่ายก็เดาว่าการโทรศัพท์ของคุณปู่ฟางต้องเกี่ยวข้องกับจ้าวซั่วหยาง
เธอเคยได้ยินจากฟางจั๋วหรานมาก่อนว่าคุณปู่ฟางมีผู้ทรงอำนาจหนุนหลังอยู่ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะมีอำนาจถึงขั้นเรียกใช้ผู้ที่เหนือกว่าได้
ระหว่างคำบอกเล่าและสิ่งที่เคยได้ยินมีความแตกต่างอย่างมากจริงๆ
หลินม่ายตกใจมาก เธอไม่เคยคิดว่าคุณปู่ฟางจะเรียกคนชั้นสูงได้!
ตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นสูงมาก และไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเอื้อมถึงได้ นับประสาอะไรกับการที่ขอให้เขากระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง
ทุกคนนั่งที่โต๊ะอาหารและรอราวเจ็ดถึงแปดนาทีก่อนที่ปู่ฟางจะมาถึงห้องรับประทานอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
หลินม่ายรีบเติมชามข้าวอย่างรวดเร็วและส่งให้ปู่ฟางก่อนตะถามด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่ ทุกอย่างเรียบร้อยหรือยังคะ”
คุณปู่ฟางพูดอย่างเหยียดหยาม “ถ้าฉันจัดการเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นไม่ได้ ฉันคงอยู่ไปโดยเปล่าประโยชน์หลายปี”
ทุกคนกินข้าวกันอย่างมีความสุข
หลังมื้ออาหารเย็นก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว
คุณป้าพี่เลี้ยงมาทำความสะอาดโต๊ะอาหาร ฟางจั๋วหรานไปที่ห้องนั่งเล่นและเปิดทีวี ทุกคนดูข่าวที่ออกอากาศด้วยกัน
ระหว่างรายการข่าวก็มีคนเคาะประตูลานบ้านอีกครั้ง
อาหวงกับป้าพี่เลี้ยงไปเปิดประตูด้วยกัน ซึ่งอาหวงเอาแต่เห่าราวกับเกลียดชังแขกผู้มาเยือนอย่างมาก
พี่เลี้ยงเปิดประตู เห็นครอบครัวหนึ่งและรองอธิการบดีกู้ยืนอยู่นอกประตู
ครอบครัวของทั้งสามคนมาพร้อมของขวัญเต็มมือ และของขวัญเหล่านั้นก็ดูมีราคาไม่น้อย
คุณป้าพี่เลี้ยงปิดกั้นผู้คนที่ประตูลานบ้านและตะโกนไปยังห้องนั่งเล่น “คุณท่านคะ คุณนายคะ มีแขกมาเยือนค่ะ!”
“ใครกัน?” คุณย่าฟางลุกเดินออกจากบ้าน
แม้จะไม่รู้จักครอบครัวทั้งสามคน แต่นางก็รู้จักรองอธิการบดีกู้ ดังนั้นจึงเดาได้อย่างรวดเร็วว่าครอบครัวทั้งสามคนนี้เป็นใคร
คุณย่าฟางกล่าวหยอกล้อ “รองอธิการบดีกู้มาทำไมคะ? คุณมาที่นี่เพื่อขอโทษครอบครัวของเราเหรอ?”
รองอธิการบดีกู้รู้สึกลำบากใจมาก “ผมโง่เขลาที่อวดดีจนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ผมพาครอบครัวของจ้าวซั่วหยางมาที่นี่เพื่อขอโทษหลินม่ายโดยเฉพาะครับ”
สายตาของคุณย่าฟางเบนไปจ้องมองทั้งสามคน “ครอบครัวนี้คือครอบครัวของจ้าวซั่วหยางใช่ไหม? ท่าทางนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกชายของพวกเขากล้ารังควานหลานสาวของฉัน ทั้งยังต้องการให้พวกเราออกมาสารภาพความผิดและขอโทษด้วย!”
พ่อแม่จ้าวซั่วหยางถูกคุณย่าฟางเยาะเย้ย ก็รู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
พ่อของเขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “เป็นซั่วหยางที่ไม่รู้จับที่ต่ำที่สูง เรามาที่นี่พร้อมของขวัญเล็กน้อยในมือ เพื่อแสดงความเคารพและขอโทษครับ”
สมาชิกทั้งสามของครอบครัวนำของขวัญมาให้คุณย่าฟาง
“รับของขวัญไป” คุณย่าฟางบอกพี่เลี้ยงอย่างเฉยเมย จากนั้นนางก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปบ้าน
ส่วนรองอธิการบดีกู้ คุณย่าฟางไม่ต้องการคุยกับเขาอีกต่อไป
รองอธิการบดีกู้ไม่กล้าอวดดีอีกต่อไป
เขารู้อยู่แล้วว่าตัวตนของปู่ฟางนั้นไม่ธรรมดา และคุณย่าฟางที่เป็นภรรยาของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้วเขาจะกล้าอวดดีได้อย่างไร?
ครอบครัวทั้งสามของจ้าวซั่วหยางมอบของขวัญให้ป้าพี่เลี้ยงก่อนจะมองหน้ากันและเดินตามเข้าไปในลานบ้าน
ป้าพี่เลี้ยงและอาหวงหยุดพร้อมกัน
อาหวงเอาแต่เห่าใส่ครอบครัวของจ้าวซั่วหยาง ป้าพี่เลี้ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิงไม่อนุญาตให้พวกคุณเข้าบ้านค่ะ”
ครอบครัวทั้งสามของจ้าวซั่วหยางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดฝีเท้า
รองอธิการบดีกู้เกลี้ยกล่อม “ไปกันเถอะ”
สถานะของคุณปู่ฟางนั้นไม่ธรรมดา หากเขาโกรธเคืองขึ้นมาทุกอย่างจะไม่จบลงด้วยดีอย่างแน่นอน
เขาให้ของขวัญหลายพันหยวนแทนคำขอโทษ แต่กลับไม่มีโอกาสแม้ได้พบคุณปู่ฟาง นับประสาอะไรกับการขอร้องให้เขาปล่อยตระกูลจ้าวไป
แม้พ่อจ้าวและแม่จ้าวจะไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะผลีผลาม ดังนั้นจึงจากไปพร้อมกับรองอธิการบดีกู้อย่างสิ้นหวัง
สีหน้าของจ้าวซั่วหยางพลันซีดเซียว
หากเขารู้ว่าปู่ของหลินม่ายเป็นคนใหญ่คนโตที่เกษียณอายุ เขาก็คงไม่กล้ายั่วยุหลินม่าย
ระหว่างทางกลับ พ่อจ้าวและแม่จ้าวเอาแต่บ่นใส่จ้าวซั่วหยาง
พวกเขาต่างด่าทอลูกชายตัวเองที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทำให้ตระกูลของพวกเขาต้องเผชิญกับหายนะ
เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินทางไปยังบ้านของตระกูลฟาง ทันทีที่อาหารเย็นแสนอร่อยของพวกเขาวางบนโต๊ะ พ่อจ้าวก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้บังคับบัญชา
ผู้บังคับบัญชาด่าทอพ่อจ้าวอย่างรุนแรงโดยบอกว่าลูกชายของเขาอาจหาญอย่างมากที่กล้ายั่วยุหลานสาวของท่านผู้บังคับบัญชาฟาง เขาต้องการให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยหรืออย่างไร?
พ่อจ้าวเหงื่อแตกพลั่กทันทีที่ถูกด่าทอ
หลังจากวางสาย เขาขอให้ภรรยาเตรียมของขวัญทันที และขอร้องให้รองอธิการบดีกู้พาครอบครัวทั้งสามคนไปยังบ้านของตระกูลฟางเพื่อขอโทษหลินม่าย
เนื่องจากพวกเขาไม่เห็นคุณปู่ฟาง สมาชิกทั้งสามในครอบครัวของจ้าวซั่วหยางจึงไม่สบายใจ และสงสัยว่าเขาจะจัดการกับตระกูลจ้าวของพวกเขาอย่างไร
……..
หลังจากดูข่าวที่ออกอากาศทางโทรทัศน์แล้ว หลินม่ายก็ตัดสินใจหยิบเอกสารที่เสิ่นเสี่ยวผิงส่งแฟกซ์จากเจียงเฉิงมาให้เธอ
ฟางจั๋วหรานกอดเธอจากด้านหลัง และจูบอย่างอ่อนโยนบนผมและหลังคอของเธอ มือของเขาก็ลูบไล้ไปตามร่างกายของหลินม่ายอย่างกระสับกระส่าย
หลินม่ายผลักเขาออกไปในตอนแรก แต่รสสัมผัสแห่งการจูบและมืออันอ่อนนุ่มของเขาทำให้เธอหัวใจร้อนรุ่มจนแทบละลาย
หลินม่ายยอมจำนนต่อชะตากรรมของตน ปล่อยให้ฟางจั๋วหรานอุ้มเธอขึ้นบนเตียง ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น…
และก็เป็นอีกค่ำคืนที่เหนื่อยล้า
หลินม่ายร่วมรักกับฟางจั๋วหรานเป็นเวลาหลายชั่วโมงและหลับสนิท และตื่นนอนในเวลาแปดนาฬิกาของเช้าวันอาทิตย์
เธอรีบกินอาหารเช้าและขับรถไปยังสำนักงานในเมืองหลวง
เธอโทรไปที่สำนักงานปักกิ่งเมื่อวานนี้และจัดการประชุมในวันนี้เพื่อฟังรายงานการทำงาน
สิ่งที่หลินม่ายมุ่งเน้นคือการเขียนคำโฆษณาของแฟรนไชส์และการส่งเสริมการลงทุน
การเขียนคำโฆษณาจัดทำโดยแผนกวางแผนของสำนักงานใหญ่ ซึ่งทำให้หลินม่ายรู้สึกพึงพอใจมากหลังจากได้อ่าน
เธอขอให้ผู้จัดการทั่วไปของสำนักงานปักกิ่งใช้โฆษณานี้เพื่อจูงใจและเชื้อเชิญนักลงทุนให้เข้าร่วมธุรกิจของเธอ
นอกจากนี้ เธอยังบอกผู้จัดการทั่วไปด้วยว่า ตนจะเช่าหรือซื้อร้านค้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่คนพลุกพล่านให้ได้มากที่สุดภายในครึ่งเดือน และวางแผนที่จะใช้เปิดสาขาร้านเปาห่าวชือ
แม้ว่าร้านซาลาเปาที่เธอเปิดหน้ามหาวิทยาลัยจะขายเพียงซาลาเปาเท่านั้น
แม้ราคาซาลาเปาจะค่อนข้างแพง แต่ด้วยไส้ซาลาเปาสูตรใหม่ที่โจวฉายอวิ๋นคิดค้นถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นผู้อาศัยในบริเวณใกล้เคียงหรือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยก็ต่างแห่กันมาซื้ออย่างไม่ขาดสาย
แสดงว่าซาลาเปาของเธอเป็นที่ยอมรับของคนในเมืองหลวง
การเปิดขายร้านอาหารบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยชิงหวาและมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นการทดลองตลาดที่ดีที่สุด และจะได้รู้ทันทีว่าอาหารของพวกเขานั้นอร่อยหรือไม่
เพราะอาหารในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยนั้นอร่อยและมีราคาถูก
นักศึกษาส่วนใหญ่ในยุคนี้ค่อนข้างมัธยัสถ์ พวกเขาจะไม่กินอาหารที่มีราคาแพง นับประสาอะไรกับการใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อขนมหรือของกินเล่นที่ร้านหน้ามหาวิทยาลัย!
แต่พวกเขาเต็มใจซื้อซาลาเปาของหลินม่าย ซึ่งหมายความว่าซาลาเปาของเธออร่อยและมีรสชาติดีจนพวกเขาไม่สนใจราคา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ให้มันรู้ไปว่าใครใหญ่กว่า ทีนี้จะมากวนใจม่ายจื่ออีกไหมตือโป๊ยก่าย
ไหหม่า(海馬)