แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 71 เฉียนกั๋วเหลียงโดนน้ำร้อนลวก
ตอนที่ 71 เฉียนกั๋วเหลียงโดนน้ำร้อนลวก
หลังออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หลินม่ายก็เดินไปขอบคุณพวกชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มาช่วยจับโจรเมื่อคืนนี้
แต่ละครอบครัวได้รับลูกอมรสบ๊วยหนึ่งกำมือใหญ่
พอแจกจ่ายขนมจนไปถึงบ้านของคุณป้าจาง คุณป้าจางกลับดึงแขนเธอไว้พร้อมกับกระซิบกระซาบ “เธอได้ยินข่าวหรือเปล่า? เมื่อคืนนี้เฉียนกั๋วเหลียงถูกน้ำร้อนลวก ตอนนี้เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล ตามตัวมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด”
หลินม่ายปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในทันที
เมื่อคืนนี้ โจรที่ปีนขึ้นบ้านเธอก็เดินสะดุดเตาจนถูกซุปกระดูกหมูเดือด ๆ ลวกเอาเหมือนกัน
พอมาวันนี้ก็ได้ยินข่าวว่าเฉียนกั๋วเหลียงถูกน้ำร้อนลวก เรื่องนี้ดูประจวบเหมาะเกินไป
เธอส่ายหน้า “ฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ เช้าวันนี้ก็มัวแต่วิ่งเรื่องโอนย้ายบ้าน”
ถึงอย่างนั้นเธอก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วเขาเป็นอะไรมากไหมคะ?”
“ฉันได้ยินมาว่าสาหัสอยู่นะ ขาขวาของเขาพุพองไปทั้งแถบ”
หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็อดดีใจไม่ได้ “จะส่งผลต่อการเดินเหินของเขามากแค่ไหนกัน?”
เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเฉียนกั๋วเหลียงจะกลายเป็นคนพิการไปซะ หลังจากนี้ต่อให้อาการของเขาดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้ แต่เขาจะสร้างภัยคุกคามให้เธอได้น้อยลง
คุณป้าจางส่ายหน้า “เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนที่หลินม่ายจะขอตัวเดินทางไปที่ตลาดสดของรัฐ เพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับห่อเกี๊ยวขายในวันพรุ่งนี้
ขณะที่เดินอยู่นั้น หลินม่ายเกิดความคิดดี ๆ ว่าเธอควรหาลูกสุนัขมาเลี้ยงสักตัว ไม่เพียงแค่มันสามารถช่วยเฝ้าบ้านในเวลากลางคืนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถติดตามปกป้องโต้วโต้วในตอนกลางวันได้อีกด้วย
การใช้ขนมจ้างเสี่ยวเฉียงและเด็กคนอื่น ๆ ให้คอยปกป้องโต้วโต้วใช้ไม่ได้ผลเสมอไป ถ้าพ่อกับแม่ของเสี่ยวเฉียงรู้เข้า สักวันอาจสอนลูกชายตัวเองว่าไม่ให้ทำตัวเป็นมือปืนรับจ้างของคนอื่น
ดังนั้นการเลี้ยงลูกสุนัขสักตัวไว้คอยติดตามโต้วโต้ว จึงน่าเชื่อมั่นกว่าจ้างเสี่ยวเฉียงให้คอยคุ้มครองเธอ
วันพรุ่งนี้ร้านของเธอจะต้มซุปกระดูกหมูไว้กินคู่เกี๊ยวด้วย ยอดขายคงถล่มทลายว่าวันนี้แน่
หลินม่ายไปถึงร้านขายเนื้อ เธอซื้อเนื้อขาหน้าในปริมาณที่มากกว่าเมื่อวานหนึ่งชั่ง ไม่ลืมที่จะซื้อกระดูกหมู จากนั้นก็เดินเลยไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อหอมแดง
การทำเกี๊ยว หอมแดงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้
ภายในตลาดมืดมีผู้ค้ารายย่อยที่ตั้งแผงขายผักหลายร้าน ทุกร้านมีหอมแดงขายทั้งนั้น
หลินม่ายตัดสินใจซื้อผักจากแผงของคุณลุงคนหนึ่งที่มีท่าทางกระตือรือร้น เธอนั่งยอง ๆ ลงหน้าแผงของเขา เลือกซื้อหอมแดงหนึ่งชั่ง กับมันฝรั่งอีกสองสามลูก
คุณลุงใจดีมาก ชั่งน้ำหนักบนตาชั่งอย่างซื่อตรง ยังแถมหัวไชเท้าหัวใหญ่ให้หลินม่ายอีกหัวหนึ่ง แนะนำว่าต้มหัวไชเท้ากับซุปกระดูกหมูให้รสชาติหวานกลมกล่อมนักเชียว
หลินม่ายปฏิเสธอย่างเกรงใจ อธิบายว่าเธอต้มซุปกระดูกหมูไว้กินกับเกี๊ยว ไม่จำเป็นต้องต้มรวมกับหัวไชเท้า
ถึงอย่างนั้นชายชราก็ยังยืนยันว่าจะแถมให้ หลินม่ายจึงยินดีรับมันไว้
เธอลองถามชายชราดูว่าเขาสามารถเอาหอมแดงจำนวนหนึ่งชั่งไปส่งให้เธอที่บ้านทุกวันในเวลาประมาณสิบโมงเช้าได้หรือไม่ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมมาซื้อที่ตลาดมืดทุกวัน
คุณลุงลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า “ได้สิ แต่เธอต้องจ่ายเงินให้ลุงก่อน ถ้าไม่จ่ายเงินก่อน เกิดฉันเอาหอมแดงหนึ่งชั่งไปส่งแล้วเธอไม่รับขึ้นมา ฉันคงขายหอมแดงจำนวนนี้ให้ใครไม่ได้แล้ว”
หอมแดงจำนวนหนึ่งชั่งมีราคาไม่แพงมาก ต่อให้เธอจ่ายก่อนหรือหลังก็ไม่สำคัญ
สมมุติว่าคุณลุงรับเงินไปแล้ว แต่วันถัดมาไม่ยอมเอาหอมแดงมาส่งตามที่ตกลงกัน เธอก็แค่สิ้นสุดการค้าขายกับเขาเท่านั้นเอง เงินแค่ไม่กี่เหมา ต่อให้โดนโกงก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก
หลินม่ายจึงตกลงอย่างง่ายดาย
ทั้งยังถามคุณลุงด้วยว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเอาผักอะไรมาขายบ้าง
ไหน ๆ เขาก็รับปากว่าจะมาส่งผักให้เธอถึงบ้านแล้ว จึงคิดว่าควรอุดหนุนผักอื่น ๆ จากเขาอีกสักสองสามอย่าง เพื่อที่เธอจะได้ประหยัดเวลาในการหาซื้อผักเอง
คุณลุงพูดพร้อมกับนับนิ้ว “พรุ่งนี้มีผักกาดหอม กะหล่ำดอก ผักกาดขาว แล้วก็ขึ้นฉ่าย”
พรุ่งนี้เธอตั้งใจไว้ว่าจะทำซาลาเปา ต้องใช้ขึ้นฉ่ายจำนวนหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอกะหล่ำดอกกับขึ้นฉ่ายอีกอย่างละหนึ่งชั่งก็แล้วกันค่ะ”
ทั้งสองตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินม่ายจ่ายเงินให้เขา บอกที่อยู่ของตัวเอง แล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกับตะกร้าในมือ
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ หลังกลับถึงบ้านแล้ว หลินม่ายก็หยิบไหมพรมขนแกะออกมาถักเสื้อกันหนาว
หลังผ่านพ้นเดือนแรกไป สภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงค่อย ๆ อุ่นขึ้น
ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจว่าจะถักเสื้อกันหนาวให้กับโต้วโต้วก่อน ส่วนตัวเธอเองค่อยสวมเสื้อกันหนาวในช่วงที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้นบ้าง
หลังจากถักเสื้อกันหนาวให้โต้วโต้วแล้ว ค่อยถักเสื้อไหมพรมให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง แล้วถักเสื้อของตัวเองเป็นลำดับสุดท้าย
โต้วโต้วเล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนลูกม้าตัวน้อย หล่อนกลับมาที่บ้านเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น
หลินม่ายอดถามด้วยความกังวลไม่ได้ว่าต้าเป่ายังหาเรื่องรังแกเธออยู่หรือเปล่า โต้วโต้วส่ายหน้า พลางเอื้อมมือไปคว้ามันฝรั่งทอดในจาน “ไม่แล้วค่ะ”
ได้ยินแบบนี้หลินม่ายก็โล่งใจ ตีมือหล่อนเบา ๆ เพื่อเตือนให้ไปล้างมือก่อนกินข้าว
หลังอาหารมื้อเย็น หลินม่ายหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ซื้อมาสำหรับตัวเองกับลูกสาว ไม่ลืมหยิบนาฬิกาปลุกเรือนเล็กที่เป็นรูปแม่ไก่จิกข้าวท่ามกลางลูกเจี๊ยบออกมาให้โต้วโต้วดู
โต้วโต้วสนใจมันมากถึงขั้นวางไม่ลง เอาแต่ถือนาฬิกาปลุกวิ่งไปมา
ก่อนเข้านอนตอนหัวค่ำ หลินม่ายเข้าครัวเพื่อจัดการต้มซุปกระดูกหมูทิ้งไว้
เธอหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ออกมาวางข้างเตียง ไม่ลืมกำชับให้โต้วโต้วสวมเสื้อผ้าตัวใหม่หลังจากตื่นขึ้นมาในเช้าวันพรุ่งนี้
เมื่อซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่มาแล้วก็ควรใส่เลย หลินม่ายไม่ยึดถือธรรมเนียมประเพณีเหมือนคนอื่น ๆ ในยุคนี้ ว่าจะสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ได้ก็ต่อเมื่อถึงช่วงเทศกาลหรือวันปีใหม่เท่านั้น
เช้าวันใหม่ หลินม่ายตื่นนอนแต่เช้ามืดอีกตามเคย
วันนี้เธอคาดเดาว่าต้องขายเกี๊ยวได้มากกว่าเมื่อวานอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องรีดแป้งทั้งหมดให้เสร็จตั้งแต่ตอนนี้ แล้วทำการห่อเกี๊ยวรอไว้เลย
ทำแบบนี้ก็เพื่อประหยัดเวลาในการขาย ถ้ารีบร้อนเกินไปอาจส่งผลกระทบหลายอย่าง ยิ่งปล่อยให้ลูกค้ารอนานก็ยิ่งเสียรายได้
หลังจากห่อเกี๊ยวเสร็จแล้ว เธอไม่ลืมโรยแป้งบนตัวเกี๊ยว เพื่อที่เวลาวางซ้อนกันแป้งจะได้ไม่เกาะติดกันเป็นแผง
พอทุกอย่างพร้อมสรรพ เวลาก็จวนถึงหกโมงเช้าแล้ว
หลินม่ายขนข้าวของขึ้นรถเข็นด้วยตัวเอง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเก่าแล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ซื้อมาเมื่อวานนี้
หลินม่ายไม่ลืมปลุกโต้วโต้ว บอกหล่อนว่าจะออกไปตั้งแผงขายของที่ท่าเรือก่อน ปล่อยให้หล่อนนอนต่ออยู่ที่บ้าน และจะกลับมาในเวลาประมาณเก้าโมง
เฉียนกั๋วเหลียงโดนน้ำร้อนลวกจนต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงปล่อยให้โต้วโต้วอยู่ที่บ้านตามลำพังก็คงไม่เกิดอันตรายใด ๆ
โต้วโต้วพึมพำตอบรับด้วยอาการงัวเงีย ก่อนจะพลิกตัวหันหลังแล้วหลับต่อ
หลินม่ายปิดประตูบ้าน เข็นรถเข็นออกไปเพื่อตั้งแผงขายของตามปกติ
วันนี้เธอยกเตาและหม้อสำหรับอุ่นซุปกระดูกหมูมาด้วย ทำให้รถเข็นของเธอมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อวาน ส่งผลให้การเข็นค่อนข้างทุลักทุเล
เมื่อวานนี้แม่ต้าเป่าเสียเปรียบจนไม่สามารถโต้เถียงหลินม่ายได้เลย พอเธอกลับถึงบ้านก็เอาแต่ด่าทอพ่อต้าเป่า
เพื่อไม่ให้หล่อนโกรธเคืองไปมากกว่านี้ วันนี้พ่อต้าเป่าจึงตื่นนอนแต่เช้า เพื่อออกจากบ้านมาช่วยแม่ต้าเป่าตั้งแผงขายของ
หลังจากช่วยแม่ต้าเป่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้านก็เจอกับหลินม่ายกลางทาง เห็นว่าเธอประสบปัญหาเพราะรถเข็นไม่สมดุล
เห็นแบบนั้นเขาก็รีบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเธอทันที ทำให้หลินม่ายรักษาสมดุลในการเข็นรถได้ในที่สุด เธอไม่ลืมหันไปขอบคุณเขา
พ่อต้าเป่ายิ้ม ตอบกลับว่า “มาจากหมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”
เขาเห็นว่าเธอเป็นแค่เด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่ง การที่ผู้หญิงอายุเท่าเธอรู้จักทำมาหากินด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย เขายังคงพูดต่อไปด้วยความสงสาร “คุณคงลำบากแย่!”
แม่ต้าเป่าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเข้า ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
หล่อนก้าวออกมายืนอยู่หน้าแผงของตัวเองแล้วตะเบ็งเสียงด่า “คุณนี่ก็ช่างกระไร! ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องไปทำงานบ้าน แต่ดันมาช่วยนังลูกหมานี่ ไอ้คนไร้ประโยชน์! ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยมีใจออกมาช่วยฉันตั้งร้าน พอออกจากบ้านทั้งทีกลับจ้องแต่นังนั่น เสียแรงจริง ๆ ที่ตัดสินใจแต่งงานกับคุณ ไอ้คนเจ้าชู้ ไอ้คนปลิ้นปล้อน ไอ้คนน่าขยะแขยง”
พ่อต้าเป่าชักมือออกจากรถเข็นทันทีด้วยความตกใจ
โชคดีที่รถเข็นไม่เสียหลัก หลินม่ายจึงสามารถรับช่วงเข็นต่อได้
ขณะที่ตั้งร้าน เธอแกล้งพูดเสียงดังขึ้นมา “ใครกันแน่ที่น่าขยะแขยง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะมองไม่เห็น!”
แม่ต้าเป่าโกรธจัด ถึงกับชี้หน้าด่าหลินม่ายข้ามหัวแผงลอยอีกสองร้าน “เธอไงล่ะ เธอนั่นแหละที่เป็นลูกหมาจอมล่อลวงคน ยังไม่รู้ตัวเองอีกเรอะ!”
หลินม่ายสวนกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ถ้าคุณใส่ร้ายฉันอีกครั้ง คราวนี้ฉันจะล่อลวงสามีของคุณให้สมพรปาก!”
แม่ต้าเป่าขว้างไม้รีดแป้งห่อเกี๊ยวลงกับโต๊ะทันที “ฉันน่ะหรือใส่ร้ายเธอ? ถ้าเธอไม่ใช่ลูกหมาล่อลวงคนแล้วจะเป็นอะไรได้? เห็น ๆ กันอยู่ว่าวันนี้เธอจงใจใส่เสื้อตัวใหม่มาเพื่อยั่วยวนผัวฉัน!”
หลินม่ายตอบกลับ “แค่ฉันใส่เสื้อตัวใหม่ก็ถือเป็นการยั่วยวนสามีคุณแล้วเหรอ? หน้าอกของคุณก็ออกจะใหญ่เสียปานนั้น ทำไมถึงยั่วยวนสามีตัวเองไม่สำเร็จล่ะ?”
พ่อค้าแม่ขายแถวนั้นได้ยินต่างก็หัวเราะอย่างขำขัน
ผู้ค้ารายย่อยที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันพูดขึ้นว่า “แม่ต้าเป่า ตราบใดที่สามีของคุณมั่นคงต่อคุณมากพอ ใครก็ล่อลวงเขาไม่ได้ทั้งนั้น หรือที่คุณกลัวเพราะว่าตัวเองมีดีไม่พอกันล่ะ”
ประโยคข้างต้นเรียกเสียงหัวเราะจากพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ได้อีกครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ก็นิสัยตัวเองเป็นเสียแบบนี้ ผู้ชายที่ไหนจะอยากอยู่ด้วยล่ะ ถ้าถึงจุดหนึ่งที่เขาคิดว่าพอแล้วไม่ทนแล้วก็คงจะตีจากไปนั่นแหละ ถึงตอนนั้นอย่ามาฟูมฟายแล้วกัน
ไหหม่า(海馬)