แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 712 การอ่านหนังสือในห้องสมุด
ตอนที่ 712 การอ่านหนังสือในห้องสมุด
หลินม่ายตรงไปยังห้องเรียนใหญ่
เพื่อนร่วมชั้นหญิงที่สนิทสองสามคนจองที่นั่งให้เธอและกวักมือเรียกให้เธอมานั่ง
ทันทีที่หลินม่ายนั่งลงในที่นั่งที่เพื่อนของเธอจับจองไว้ หัวหน้าชั้นปีก็มา
เขาแจ้งให้เธอทราบว่าในปลายเดือนนี้หรือคือวันที่ 31 ธันวาคม จะมีการจัดเลี้ยงฉลองปีใหม่ให้กับน้องใหม่ปีหนึ่ง ณ ห้องบอลรูม
ทุกคนควรมีส่วนร่วมในงานนี้
อีกทั้งยังบอกเธอว่าอย่ารีบสะพายกระเป๋านักเรียนกลับบ้านเหมือนวันนั้นอีก
หลินม่ายไม่สนใจกิจกรรมอย่างการเต้นรำเช่นนี้เลย
แต่เนื่องจากหัวหน้าชั้นปีแจ้งให้เธอทราบแล้ว หากไม่เข้าร่วมก็คงจะไม่ดีนัก
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 มีนักเรียนไม่มากนัก และนักเรียนเหล่านั้นก็ไม่ค่อยมีความสามารถในด้านนี้ ดังนั้นจึงมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่สามารถเต้นระบำบอลรูมได้
ถ้าไม่รู้วิธีเต้นบอลรูม ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงวันปีใหม่ได้
เพื่อให้งานเลี้ยงวันปีใหม่ดำเนินไปอย่างราบรื่น หัวหน้าชั้นปีได้เชิญชายและหญิงจากโรงเรียนสอนศิลปะมาสอนทุกคนถึงวิธีการเต้นรำ
ในเวลาเที่ยง เพื่อนร่วมห้องของหลินม่ายรีบกินข้าวเที่ยงและไปเรียนเต้นด้วยความสนใจ
พวกหล่อนต้องการพาหลินม่ายไปด้วย แต่ให้ตายอย่างไรอีกฝ่ายก็ปฏิเสธ ดังนั้นพวกหล่อนจึงต้องยอมแพ้
เที่ยงวันนี้ที่โรงอาหารมีขาหมูพะโล้ขาย
การได้กินหมูพะโล้ที่หอมไปด้วยเครื่องเทศย่อมดีกว่าการเรียนเต้นไม่ใช่เหรอ?
หลินม่ายซื้อหมูพะโล้และกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่ได้สังเกตว่ากงเสวี่ยฉินและตู้เจวียนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารไม่ไกล
กงเสวี่ยฉินสะกิดตู้เจวียนด้วยข้อศอก กระตุ้นให้หล่อนมองไปยังหลินม่าย
ตู้เจวียนชำเลืองมองหลินม่ายและถามอย่างไม่เข้าใจ “สะกิดให้ฉันมองหล่อนทำไม?”
กงเสวี่ยฉินบอกตู้เจวียนถึงสิ่งที่ตนเห็นที่ประตูมหาวิทยาลัยในตอนเช้า
ก่อนจะกล่าวเตือน “เธอต้องจับตาดูแฟนของเธอให้ดี ฉันคิดว่าเขาสนใจหลินม่าย”
ตู้เจวียนหยิบเนื้อเข้าปาก “สนใจใครนะ?”
“หลินม่าย” กงเสวี่ยฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดตามความเป็นจริง “แฟนของเธอหล่อเหลาและมีความสามารถ แต่ฉันไม่คิดว่าหลินม่ายสนใจแฟนเธอ เลยคุยกับเขาแบบลวก ๆ แล้วก็หาข้อแก้ตัวหนีไป”
ตู้เจวียนไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป และกงเสวี่ยฉินก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
หลินม่ายออกจากโรงอาหารหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ
กงเสวี่ยฉินและตู้เจวียนรับประทานอาหารกลางวันเสร็จและเดินตามหลินม่ายไป
พวกหล่อนเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้กลับไปยังหอพักและไม่ได้ไปยังหอประชุมที่เรียนเต้น แต่กำลังเดินไปยังห้องสมุด กงเสวี่ยฉินก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“หือ? นักเรียนชั้นปีหนึ่งเรียนเต้นอยู่ห้องบอลรูมไม่ใช่เหรอ? ทำไมหลินม่ายไม่ไป?”
ตู้เจวียนจ้องมองที่ด้านหลังของหลินม่ายด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ดวงตาของกงเสวี่ยฉินเบิกกว้างทันทีพลางกล่าว “ฉันจำได้ว่าเธอโทรหาฉือเหล่ยเพื่อชวนเขามากินข้าวเที่ยวกับเธอ และฉือเหล่ยบอกว่าเขาจะไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือตอนเที่ยง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ เขาและหลินม่ายจะยังเอิญไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือเหมือนกันได้ยังไง?
ใบหน้าของตู้เจวียนจริงจังมากขึ้น
กงเสวี่ยฉินดึงแขนเสื้อพลางกล่าว “ตามไปดูกันเถอะ”
ตู้เจวียนยังคงเงียบ ปล่อยให้กงเสวี่ยฉินดึงหล่อนให้เดินตามหลินม่ายไปอย่างเงียบงัน
หลินม่ายไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิต
หลังจากเฝ้าดูอยู่สองสามนาที เธอก็รู้สึกว่ามีคนเดินมาหาเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นฉือเหล่ย
หลินม่ายถามอย่างสุภาพ “รุ่นพี่ มาอ่านหนังสือด้วยเหรอคะ?”
ฉือเหล่ยนั่งลงข้างเธอ
เขาพยักหน้า ชี้ไปยังหนังสือในมือของเธอแล้วกล่าว “เธอชอบอ่านหนังสือแบบนั้นด้วยเหรอ?”
หลินม่ายเผยรอยยิ้มโดยไม่ได้ตอบกลับอะไร
เธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเธอกำลังอ่านหนังสือประเภทนี้ ราวกับว่าความเป็นส่วนตัวของเธอกำลังถูกล่วงละเมิด
แต่การอ่านในห้องสมุดไม่ถือเป็นเรื่องส่วนตัว
มิฉะนั้นเธอคงขับไล่ฉือเหล่ยออกไปนานแล้ว เพราะเขาแอบดูความเป็นส่วนตัวของเธอ
เธอยิ้มแห้งพลางกล่าว “ฉันไม่ได้ชอบ แค่ลองอ่านดูน่ะค่ะ”
หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่ง
เมื่อเห็นดังนี้ ฉือเหล่ยก็รู้ในใจว่าหลินม่ายจงใจหลีกเลี่ยงเขา และใบหน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความลำบากใจ
เขานั่งอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง รวบรวมความกล้าก่อนจะเดินไปหาหลินม่าย แล้วถามเสียงแผ่ว “ฉันทำอะไรผิดไป? ทำไมเธอถึงพยายามหลบหน้าฉัน?”
หลินม่ายมองเขาด้วยความเห็นใจ
เธอจะบอกเขาอย่างไรว่าเป็นเพราะแฟนของเขาร้องขอมา เธอจึงพยายามหลบเลี่ยงเขา
หากบอกความจริงกับฉือเหล่ย ความสัมพันธ์ของเขากับตู้เจวียนอาจมีปัญหา
เขาสองคนเลิกกันได้ แต่ต้องไม่ใช่เพราะเธอ
หลินม่ายยิ้มให้ฉือเหล่ยด้วยความรู้สึกผิด “สามีของฉันหึงหวง เขาไม่ชอบนักหากจะให้ฉันพูดคุยกับรุ่นพี่บ่อย ๆ”
ความผิดนี้ปล่อยให้ฟางจั๋วหรานแบกรับไว้ก็แล้วกัน
หลินม่ายพูดอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง “ความรักเป็นดอกไม้ที่บอบบางและขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายที่จะดูแลมันให้ดีหรือไม่ ฉันไม่กล้าที่จะละเลยดอกไม้ของฉัน”
หลังกล่าวจบ เธอก็ก้มลงอ่านหนังสือต่อไป
ฉือเหล่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินออกไปด้วยความลำบากใจ ค้นหาหนังสือบนชั้นหนังสือและหาสถานที่เพื่อนั่งอ่าน
กงเสวี่ยฉินซ่อนตัวอยู่หลังชั้นหนังสือและแสร้งทำเป็นมองหาหนังสือ เมื่อเห็นดังนั้นหล่อนก็ถอนหายใจและพูดกับตู้เจวียน “โอ้! หลินม่ายนั่งนิ่งโดยไม่ขยับ แต่หล่อนก็ยังสวยมาก ดูเป็นหญิงอารมณ์ดีและมีเสน่ห์ ผู้ชายคนไหนจะไม่มีความสุขเมื่อเห็นหล่อน? ไม่แปลกใจเลยที่แฟนของเธอหลงใหลหลินม่ายจนละเลยเธอ ความงดงามของผู้หญิงบางครั้งก็เป็นเหมือนตราบาปนะเนี่ย”
ใบหน้าของตู้เจวียนพลันหม่นลง
ไม่นานก็ถึงเวลาเรียนคาบบ่าย หลินม่ายเอาหนังสือคืนและออกจากห้องสมุด
ฉือเหล่ยเชื่อในสิ่งที่หลินม่ายบอกเขา และเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อปัญหาให้กับเธอ เขาจึงรอประมาณห้าหรือหกนาทีก่อนจะจากไป
ทันทีที่เขาเดินออกจากห้องสมุด เขาเห็นตู้เจวียนยืนอยู่นอกห้องสมุดและจ้องมองมายังเขา
ฉือเหล่ยรู้สึกประหลาดใจจึงเอ่ยถาม “ทำไมเธอมายืนอยู่ที่นี่? ลมแรงมาก เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
เขากล่าวพลางเดินเข้าไปหาตู้เจวียน เอื้อมมือไปจับมือหล่อนเพื่อทดสอบอุณหภูมิร่างกาย
แต่ตู้เจวียนดึงมือกลับและพูดประชดประชัน “ฉันจะป่วยหรือไม่นายสนใจด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ ฉันเป็นห่วง” ฉือเหล่ยถกล่าวด้วยความงุนงง “เธอเป็นอะไรไป? ทำไมถึงดูโกรธฉันราวกับฉันทำอะไรผิดมาก”
ตู้เจวียนเย้ยหยันพลางกล่าว “ฉันเป็นอะไรเหรอ? แฟนฉันกำลังหลงรักผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว นายยังกล้าถามอีกหรอว่าฉันเป็นอะไร?! ฉันบอกว่าฉันอยากกินข้าวกับนายตอนเที่ยง แต่นายก็หาเหตุผลที่จะปฏิเสธ นายปฏิเสธฉันเพื่อมายังห้องสมุด แสดงความรักต่อผู้หญิงสวย แต่น่าเสียดายที่หล่อนเพิกเฉยต่อนาย”
ทันทีที่ฉือเหล่ยได้ยินเรื่องนี้ เขาก็เข้าใจว่าตู้เจวียนได้เห็นทั้งหมดที่เขาพูดคุยกับหลินม่ายในห้องสมุดแล้ว
เขารู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ทำไป หากตู้เจวียนจะโกรธเคืองก็ไม่ใช่ความผิดของหล่อน
เขาระงับความโกรธพลางกล่าว “อย่าเสียงดังตรงนี้ ตกลงไหม? ฉันเป็นผู้ชาย ยังไงก็ไม่เสียหายอะไร แต่หลินม่ายเป็นผู้หญิง และหล่อนก็แต่งงานแล้ว หากคำพูดเหล่านี้ไปถึงหูสามีหล่อนก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาได้”
ตู้เจวียนพูดประชดประชัน “ดูเป็นห่วงหลินม่ายจริง ๆ เลยนะ ห่วงด้วยว่าสามีและภรรยาจะขัดแย้งกัน ถ้านายกลัวว่าสามีและภรรยาจะทะเลาะกัน ก็เลิกยุ่งกับหล่อนเสียสิ!”
ฉือเหล่ยพูดด้วยความโกรธ “ฉันไม่ได้จีบหล่อน ฉันแค่บังเอิญเจอหล่อนในห้องสมุด บังเอิญจริง ๆ เธอน่ะคิดมากไปเอง อีกอย่าง ฉันเป็นคนที่รักอิสระ เธอจะไม่ให้ฉันมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมตามปกติเลยเหรอ? ฉันคุยกับหลินม่ายแค่ไม่กี่คำ เธอก็คิดว่าฉันแสดงความรักกับหล่อนแล้ว หยุดคิดสกปรกแบบนั้นนะ!”
เมื่อเห็นว่าฉือเหล่ยโกรธ ตู้เจวียนก็ไม่กล้าที่จะรุนแรงกับเขาต่อไป หล่อนดึงแขนเสื้อของเขาอย่างอ่อนแรงพลางกล่าว “หลินม่ายสวยเกินไป และสมบูรณ์แบบมาก ฉันไม่ชอบที่นายเข้าใกล้หล่อนมากเกินไป มันไม่ปลอดภัย ในอนาคตหยุดเข้าใกล้หล่อนได้ไหม?”
ฉือเหล่ยไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับหลินม่าย และตัดสินใจในใจแล้วว่าจะติดต่อกับเธอให้น้อยลง
หลังจากได้ยินคำพูดของตู้เจวียน เขาก็พยักหน้า
ตู้เจวียนยิ้มทันทีและเดินคล้องแขนเขาไป
กงเสวี่ยฉินซึ่งแอบมองอยู่ไม่ไกลรู้สึกผิดหวังมาก
การทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตู้เจวียนและฉือเหล่ยครั้งนี้ล้มเหลว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
การรักษาความเชื่อใจคือกุญแจสำคัญในความสัมพันธ์เลยแหละค่ะ ถ้าจริงใจกันมากพอ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแทรกกลาง
ไหหม่า(海馬)