แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 714 บังเอิญเจอซูอวี้เจี๋ย
ตอนที่ 714 บังเอิญเจอซูอวี้เจี๋ย
ในวันปีใหม่ ทั้งครอบครัวของหลินม่ายนอนหลับจนกระทั่งถึงรุ่งสาง
สาเหตุหลักคืออากาศที่หนาวเย็นเกินไปจนต้องเข้าไปซุกตัวในผ้านวม
เป็นเรื่องหายากที่ฟางจั๋วหรานจะอยู่บ้านในช่วงวันหยุด ดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นด้วยกัน
ทุกคนไปยังร้านสาขาของเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนเพื่อกินอาหารเช้า
เวลานี้เป็นเวลาสิบโมงเช้าเท่านั้น แต่ห้องรับรองของร้านค้าสาขากลับแน่นขนัด
แต่โชคดีที่ห้องส่วนตัวยังคงว่างอยู่สองห้อง
ครอบครัวหลินม่ายเลือกกินอาหารนึ่งสำหรับมื้อเช้าในห้องส่วนตัว หลังจากนั้นจึงไปเดินเล่นในตลาดสดฝูตัวตัว
ครั้งนี้ผักทั้งหมดที่ขายในตลาดสดฝูตัวตัวล้วนเป็นผักในเรือนกระจกที่จ้าวเลี่ยงไปขนมาจากเขตชานเมืองของปักกิ่ง ดังนั้นผักทุกชนิดจึงมีความสดใหม่เป็นพิเศษ
เนื้อวัวและเนื้อแกะ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม และน้ำผึ้งที่ไม่เคยมีขาย เวลานี้ล้วนถูกนำมาจำหน่ายมากมายเช่นกัน
ปัจจุบันตลาดสดฝูตัวตัวกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเพียงแห่งเดียวในเมืองหลวง และมีลูกค้ามากมายแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอย
ขณะที่มีเสียงพร่ำบ่นว่าผักจากเรือนกระจก เนื้อวัว เนื้อแกะ รวมถึงสินค้าอื่นๆ นั้นราคาแพง ทว่าทุกคนกลับเลือกซื้อโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นว่าธุรกิจไปได้ดี หลินม่ายจึงวางแผนเปิดสาขาตลาดสดฝูตัวตัวเพิ่มในปีหน้า
อย่างแรกมันจะทำให้เธอมีรายได้มากขึ้น และอย่างที่สองชาวปักกิ่งจะสามารถหาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น
ปีก่อนหน้ามีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ เธอจึงไม่มีเวลาเปิดสาขาตลาดสดเพิ่มเติม
ร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วขยายกิจการ 20 แห่งในปักกิ่งอย่างรวดเร็วเมื่อต้นเดือนธันวาคม
เพื่อที่จะปรับปรุงร้านค้าปลีกทั้ง 20 แห่งโดยเร็วที่สุดจนสามารถดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี จางเหวินปิงจึงร้องขอนายช่างจางผู้เป็นบิดามาเป็นพิเศษ
สองพ่อลูกนำพนักงานส่วนหนึ่งทำงานล่วงเวลาทั้งวันและคืน ในที่สุดก็ตกแต่งร้านค้าปลีกทั้ง 20 แห่งได้เสร็จสิ้นก่อนวันปีใหม่
วันนี้เป็นวันเปิดตัวร้านค้าปลีกของร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วทั้ง 20 แห่ง หลินม่ายจึงอยากแวะเวียนไปเยี่ยมชมร้านค้าปลีกที่อยู่ใกล้ๆ สักสองถึงสามร้าน
ทั้งครอบครัวเดินมาถึงร้านค้าปลีกที่อยู่ใกล้มากที่สุด
ในช่วงเปิดตัวร้านมีกิจกรรมส่งเสริมการขาย นั่นคือการประกวดแข่งขันชิงรางวัลนางแบบห้องเสื้อจิ่นซิ่ว ซึ่งกำลังดำเนินไปอย่างดีและได้รับความนิยมค่อนข้างสูง
ธุรกิจของร้านค้าปลีกกำลังเฟื่องฟู เถ้าแก่ดีใจจนแทบปิดปากไม่มิด
หลินม่ายยืนมองอยู่หน้าประตูร้านไม่กี่นาที ก่อนตัดสินใจเดินจากไป
ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงโต้เถียงดังขึ้นจากในร้าน
หลินม่ายรู้สึกว่าหนึ่งในเสียงของหญิงสาวฟังดูคุ้นเคย เธอยืนเขย่งเท้าเพื่อเพ่งมองดูด้านใน พบว่าเจ้าของเสียงคือแม่หยางที่กำลังซื้อเสื้อผ้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง
หญิงสาวซื้อเสื้อคลุมขนสัตว์มูลค่ามากกว่า 100 หยวน และขอให้พนักงานร้านลดราคาให้เธอ 20 หยวน
พนักงานร้านอธิบายด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันเปิดตัวร้าน คุณจะได้รับส่วนลด 20 หยวนหากมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 200 หยวน ราคาชุดที่คุณผู้หญิงเลือกคือ 168 หยวน ซึ่งไม่ตรงตามเงื่อนไขของกิจกรรม เราต้องขออภัยจริงๆ แต่ทางเราไม่สามารถให้ส่วนลด 20 หยวนแก่คุณได้ โปรดอภัยให้ด้วย”
หญิงสาววางเสื้อคลุมขนสัตว์กลับที่เดิมด้วยท่าทางอับอาย
แม่หยางพูดด้วยสีหน้าดูถูก “ให้ฉันบอกคุณไหมว่า ฉันเป็นถึงแม่ยายของน้องสาวหลินม่าย เจ้าของร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วแห่งนี้ ฉันมีเมตตากับลูกสะใภ้คนเล็กมากแล้วด้วยขอส่วนลดแค่ 20 หยวน ถ้าหลินม่ายอยู่ที่นี่ เธอคงมอบให้ฉันโดยตรง คุณเชื่อไหมล่ะ?”
ผู้จัดการร้านกล่าวคำประชดประชัน “เราเป็นแค่ร้านแฟรนไชส์ ไม่ใช่ร้านของคุณหลิน จึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณหลินจะทำการร้องขอเราอย่างไม่สมเหตุสมผล”
แม่หยางถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ให้ส่วนลดฉัน 20 หยวนไม่ได้จริงเหรอ?”
“ไม่ได้จริงๆ ค่ะ” หลินม่ายเดินไปบอกผู้จัดการร้านว่า “ใครก็ตามที่พยายามเอาเปรียบโดยการอ้างชื่อฉัน ไม่ต้องไปสนใจ”
แม่หยางแทบเดือดดาลด้วยความโกรธ “ม่ายจื่อ เราเป็นญาติกัน ทำไมถึงทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนี้?”
หลินม่ายตอบกลับ “คุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่คุณอ้างชื่อของฉันเพื่อฉกฉวยประโยชน์จากร้านแฟรนไชส์ของฉันอย่างงั้นเหรอ?”
สิ้นเสียง เธอเดินจากไปพร้อมกับปู่ฟางและคนอื่นๆ
ต่อให้แม่หยางมีข้อโต้แย้งมากมาย แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยด้วยต่อ
หลินม่ายรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่กล้าลงมือกับคนรอบข้างหรือทำลายข้าวของในร้าน เธอจึงกล้าก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
ครอบครัวหลินม่ายเยี่ยมชมร้านแฟรนไชส์เสร็จแล้วก็ไปต่อที่ห้างสรรพสินค้า เพียงพริบตาเวลาก็ล่วงเลยมาถึงบ่ายสองโมง
หลินม่ายเคยสัญญากับโต้วโต้วนานแล้วว่าจะมากินเนื้อหม้อไฟทองแดง แทนที่จะออกไปตากแดดข้างนอก พวกเขาจึงเลือกมากินอาหารกลางวัน
ครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนเลือกภัตตาคารที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี เมื่อมาถึงหน้าร้าน พวกเขาพบซูอวี้เจี๋ยเดินออกจากร้านด้วยอาการหัวเสียและเกือบเดินชนฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานยื่นมือออกไปวางบนไหล่ของหล่อน
จากนั้นซูอวี้เจี๋ยจึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เธอมีท่าทางโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะอารมณ์เสียมากเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าหาเรื่องอีกฝ่าย หล่อนจึงต้องฝืนเดินจากไปด้วยความขมขื่น
หลินม่ายและคนอื่นๆ ตกตะลึง พวกเขาเพิ่งบังเอิญพบกันวันนี้ เพราะอะไรหล่อนถึงทำสีหน้าแบบนั้นกัน?
แต่ทุกคนไม่นำเรื่องนี้มาใส่ใจ ก่อนเข้าไปกินเนื้อหม้อไฟทองแดงอย่างมีความสุข
จากนั้นคุณปู่ฟางก็พูดว่า เนื้อไฟหม้อทองแดงของร้านเก่าแก่นับศตวรรษนี้กลับไม่ดีเท่าหม้อไฟร้านเปาห่าวชือของหลินม่าย
ถ้าเขารู้ก่อนหน้า คงตัดสินใจไปร้านเปาห่าวชือเพื่อกินหม้อไฟที่นั่น เพราะมีหม้อไฟอาหารทะเลรสชาติอร่อย!
ขณะที่ครอบครัวหลินม่ายกำลังพูดคุยเรื่องหม้อไฟของภัตตาคารอายุนับศตวรรษ ซูอวี้เจี๋ยก็เพิ่งกลับถึงบ้าน
เมื่อเห็นหญิงสาวกลับมา แม่เจี๋ยก็รู้สึกท้อแท้และถามด้วยความผิดหวัง “นัดบอดวันนี้ก็ไม่รอดเหรอ?”
ซูอวี้เจี๋ยมองไปยังซูอวี้อิ๋งและสามีที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวด้านข้าง
หล่อนตอบกลับด้วยสีหน้าไม่มีความสุขนัก “ทันทีที่ผู้คนได้ยินชื่อของหนู พวกเขาก็ถามหนูทันทีว่าหนูคือซูอวี้เจี๋ยที่ทำให้ตระกูลฟางขุ่นเคืองใช่ไหม หนูจึงตอบตามตรงว่าใช่ พวกเขาไม่แม้แต่จะสั่งอาหาร ก่อนจะหาข้ออ้างชิ่งหนีไป คิดว่านัดบอดครั้งนี้ไปได้ด้วยดีไหมล่ะ?”
เมื่อแม่เจี๋ยรับฟังเรื่องราว หล่อนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หล่อนอยากจะตำหนิลูกสาวสุดที่รักของตัวเองจริงๆ ว่าทำไมถึงไปมีเรื่องขัดแย้งกับหลินม่ายในระหว่างการซื้อของครั้งนั้น
พูดถึงเรื่องนี้ หล่อนแทบไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากตอนนั้นเลย หลังจากนั้นฟางจั๋วหรานก็ไปบ้านคู่หมั้นของหล่อนเป็นการส่วนตัวเพื่อกล่าวเตือนเขา ทำให้การขอแต่งงานที่ควรจะออกมาสมบูรณ์แบบกลับพังพินาศ
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไปในแวดวงของพวกเขา เมื่อผู้คนได้ยินว่าครอบครัวของเธอทำให้ตระกูลฟางขุ่นเคือง ทุกคนล้วนหลีกเลี่ยงเพราะเกรงกลัว กระทั่งไม่มีใครกล้านัดบอดกับซูอวี้เจี๋ย
พ่อเจี๋ยและแม่เจี๋ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลดความคาดหวังลงและปล่อยให้ซูอวี้เจี๋ยนัดบอดกับครอบครัวที่ด้อยกว่า ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ตกลงปลงใจกับหล่อน
เหตุผลที่ลูกสาวของตัวเองต้องตกต่ำถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เพื่อช่วยปกป้องซูอวี้อิ๋ง
แม่เจี๋ยยิ้มขมขื่น ก่อนหันไปพูดกับซูอวี้อิ๋งด้วยถ้อยคำแฝงความนัย “อิ๋งอิ๋ง หนูและเจี๋ยเจี๋ยของเราสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาหนูมีปัญหาอะไร แทบไม่ต้องร้องขอ เจี๋ยเจี๋ยของเราก็ยืนหยัดเพื่อหนูเสมอ ตอนนี้เจี๋ยเจี๋ยของเราเจออุปสรรคที่ก้าวข้ามไม่ได้ หนูคงไม่สามารถยืนเฉย และจะต้องช่วยเหลือเจี๋ยเจี๋ยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
ซูอวี้อิ๋งกัดริมฝีปากของตน
ตั้งแต่ซูอวี้เจี๋ยลุกขึ้นปกป้องตนและยั่วยุหลินม่ายในงานแต่งงาน หลังจากนั้นหล่อนก็พูดกับซูอวี้เจี๋ยอย่างจริงจังว่าอย่าทำเรื่องโง่เขลาแบบนั้นอีก
หลินม่ายแต่งงานกับฟางจั๋วหรานแล้ว ดังนั้นจึงถือเป็นสมาชิกครอบครัวตระกูลฟาง และไม่ง่ายที่จะต่อกรด้วย
การยั่วยุหลินม่ายก็เหมือนกับยั่วยุตระกูลฟาง แล้วจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร?
นับประสาอะไรกับงานแต่งงาน!
แต่ซูอวี้เจี๋ยไม่ฟังคำเตือนของหล่อน แล้วยังวิ่งเข้าไปหาเรื่องหลินม่ายจนทำให้อีกฝ่ายขายหน้า
แม้จะปล่อยซูอวี้เจี๋ยไปในงานแต่ง แต่คราวนี้ตระกูลฟางคงไม่ยอมปล่อยหล่อนไปและต้องการคิดบัญชีกับหล่อน
ทุกอย่างเป็นความผิดของซูอวี้เจี๋ย เหตุใดคุณป้าถึงต้องให้หล่อนเป็นคนรับผิดชอบด้วย?
ซูอวี้อิ๋งทั้งโกรธและเสียใจ แต่ยังคงปั้นยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “คุณป้าต้องการให้หนูช่วยเจี๋ยเจี๋ยอย่างไรคะ?”
ผู้หญิงที่เคยผ่านประสบการณ์การแต่งงานจะไม่เอาแต่ใจและหุนหันพลันแล่นเหมือนตอนเด็กสาวอีกต่อไป
และมีความอดกลั้นมากขึ้น
แม่เจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ป้าอยากให้สามีของหนูแนะนำแฟนหนุ่มให้เจี๋ยเจี๋ยหน่อย เจี๋ยเจี๋ยอายุ 23 ปีแล้ว หล่อนจะทำอย่างไรหากไม่มีคู่ครอง?”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น หล่อนก็หันมองไปทางสามีของซูอวี้อิ๋ง
สามีของเธอมีครอบครัวที่ดี หากสามีซูอวี้อิ๋งช่วยแนะนำแฟนหนุ่มให้กับลูกสาวที่น่ารักของเธอได้ พื้นฐานของครอบครัวจะต้องได้รับการฟื้นฟูเป็นแน่
ซูอวี้อิ๋งหัวเราะและตอบว่า “ถ้าเราพบเจอคนที่เหมาะสม เราจะแนะนำให้เจี๋ยเจี๋ยอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ครอบครัวของหลินม่ายกินหม้อไฟเสร็จแล้ว ปู่ฟาง ย่าฟาง และโต้วโต้วต่างก็ต้องการกลับบ้านไปพักผ่อน
พวกเขาเป็นผู้อาวุโสและเด็กเล็ก หลังจากออกมาซื้อของเป็นเวลานาน ร่างกายก็เริ่มเหนื่อยล้ามากเกินไป
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานขับรถไปส่งพวกเขาที่บ้าน จากนั้นหลินม่ายไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนตามลำพัง
ฟางจั๋วหรานมีโครงการจำเป็นต้องศึกษาและไม่มีเวลาว่างไปกับเธอ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แล้วแต่วาสนาแล้วกันนะอวี้เจี๋ย คงจะมีชายตาถั่วสักคนมาชอบเธอเองแหละ เล่นไปก่อเรื่องกับตระกูลฟางไว้ขนาดนั้น
ไหหม่า(海馬)