แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 736 เหล้าที่ดื่มไปไม่เสียเปล่
ตอนที่ 736 เหล้าที่ดื่มไปไม่เสียเปล่า
นายกเทศมนตรีวังจิบเครื่องดื่มเล็กน้อยและพูดกับหลินม่ายอย่างจริงจัง
“เสี่ยวหลิน คุณเป็นคนจากมณฑลหูเป่ยมาโดยกำเนิด และเป็นผู้ร่ำรวยในเจียงเฉิง ไม่ต้องพูดถึงความช่วยเหลือที่ผอ.โอวหยางเคยมอบให้คุณเลย ผมเพียงอยากรู้ว่าคุณคิดจะออกจากเจียงเฉิงและพัฒนาเมืองอื่น ๆ หรือไม่?”
หลินม่ายตอบในใจอย่างเงียบงัน เมื่อครั้งที่ผอ.โอวหยางยังเป็นหัวหน้าเขต ความกังวลและความยากลำบากมากมายที่เธอมีก็ได้รับการแก้ไขโดยผอ.โอวหยาง!
แต่เธอทำได้เพียงพูดคำเหล่านี้ในใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดออกมา
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่เผชิญหน้ากับผู้นำระดับสูงโดยไม่ระมัดระวังตัว
หลินม่ายพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว “นายกเทศมนตรีวังพูดถูก หากปราศจากความช่วยเหลือจากท่านผู้นำโอวหยาง ฉันก็ยังสามารถสร้างรายได้มากมายได้โดยพึ่งพานโยบายของรัฐเพียงอย่างเดียว”
นายกเทศมนตรีวังเผยรอยยิ้ม แต่ในใจของเขากลับตื่นตระหนก
เสี่ยวหลินคนนี้ช่างพูดจริงยิ่งนัก ‘หากปราศจากความช่วยเหลือจากท่านผู้นำโอวหยาง ฉันก็ยังสามารถสร้างรายได้มากมายได้โดยพึ่งพานโยบายของรัฐเพียงอย่างเดียว’ คำพูดนี้ทำให้ท่านผู้นำโอวหยางยอมช่วยเหลือเธอทันที
แต่เขาไม่สามารถตำหนิเธอได้
สิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาปฏิเสธหลินม่าย ก็เท่ากับว่าเขาปฏิเสธนโยบายของประเทศ!
หญิงชาญฉลาดผู้นี้ปิดกั้นจุดอ่อนด้วยคำพูดของตัวเอง และสามารถพูดจูงใจให้ท่านผู้นำโอวหยางช่วยเหลือเธอได้ด้วยประโยคเดียว
เมื่อนายกเทศมนตรีวังกำลังครุ่นคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายอยู่ต่อ หลินม่ายก็พลันเอ่ยขึ้น “แม้ว่าฉันจะมาจากมณฑลหูเป่ยและเป็นคนร่ำรวยในเจียงเฉิง แต่ท่านผู้นำโอวหยางก็ช่วยเหลือฉันมาก แต่นายกเทศมนตรีวัง หากจะพูดแบบนั้นก็คงไม่ถูกนะคะ พูดถึงเรื่องนั้น เราทุกคนล้วนเป็นบุตรและธิดาของจีน ไม่ว่าฉันจะไปพัฒนาเมืองใดก็ถือเป็นการช่วยเหลือประเทศ และไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เจียงเฉิงเพียงที่เดียว ฉันเชื่อว่าท่านผู้นำโอวหยางทราบความตั้งใจของฉันดี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้ฉันไปพัฒนาเมืองอื่นหรอกค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอจงใจถามนายกเทศมนตรีวัง “นายกเทศมนตรีวังและผู้นำโอวหยางคิดว่าฉันเป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยเหรอคะ? ตอนนี้ฉันไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยแบบนั้นแล้วนะคะ”
นายกเทศมนตรีวังแทบร่ำไห้ แต่ไม่มีน้ำตา
ในเมื่อหลินม่ายพูดเช่นนี้แล้ว พวกเขาควรจะตอบกลับอย่างไร?
ในการวัดความสามารถของเจ้าหน้าที่ราชการนั้นต้องดูเศรษฐกิจก่อน หาก GDP ไม่ดีแสดงว่าการดำเนินงานไม่เป็นไปตามจุดประสงค์
เผชิญหน้ากับอาหารแสนอร่อยมากมายบนโต๊ะ นายกเทศมนตรีวังกลับไม่มีความอยากอาหารเลย เขาวางตะเกียบลงและพูดเกลี้ยกล่อม
เสี่ยวหลิน ผมคิดว่าคุณไม่ควรย้ายบริษัทไปที่ชิงเฉิง เพราะการทำแบบนั้นคงไม่เป็นประโยชน์ และคุณจะสูญเสียไปมาก แทนที่จะสูญเสีย คงเป็นการดีกว่าที่จะไม่เผาผลาญเงินทุนด้านวิศวกรรมของโรงงานโดยเปล่าประโยชน์ ค่าธรรมเนียมการก่อสร้างโรงงานนั้นเทียบไม่ได้เลยกับค่าใช้จ่ายในการย้ายบริษัทของคุณไปที่ชิงเฉิง คุณเป็นคนฉลาด แต่ทำไมถึงคิดไม่ได้ล่ะครับ? หากการรักษาโรงงานอุตสาหกรรมเบาแห่งนั้นเป็นเรื่องยากก็แค่ปล่อยไป”
หลินม่ายหัวเราะเยาะในใจพลางกล่าว “นายกเทศมนตรีวังกำลังพยายามประจบประแจงฉัน หากฉันไร้ปัญญาก็คงเชื่อฟังอย่างง่ายดาย ฉันรู้แค่ว่าหากเราไม่ทำแบบนี้ต่อโรงงานอุตสาหกรรมเบา เราก็คงไม่ได้เงินคงการที่พวกเขาติดค้างเราไว้คืน และในอนาคตเราจะมีทั้งโรงงาน โรงทอ… แน่นอนว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจะไม่ช่วยเราจ่ายเงินสร้างอาคารหอพักให้กับพนักงาน แรงงานต่างถิ่นในบริษัทของฉันก็จะทำงานโดยเปล่าประโยชน์ ในประเทศของเรา คนที่ทุกข์ยากที่สุดคือชาวนาและแรงงาน ฉันคงจะรู้สึกผิดไม่น้อยหากรู้ว่าแรงงานต่างถิ่นซึ่งเป็นคนงานของฉันไม่ได้รับค่าตอบแทน! ฉันคิดว่านายกเทศมนตรีวังก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน จริงไหมคะ?”
นายกเทศมนตรีวังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ถึงอย่างไรว่านถงกรุ๊ปก็มีผลกำไรดีอยู่แล้ว คุณจ่ายค่าจ้างให้กับแรงงานต่างถิ่นได้อย่างแน่นอน!”
เสี่ยวหม่านดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มก่อนจะพึมพำด้วยความไม่พอใจ “มีหน่วยงานของรัฐมากมายในเมืองที่ทำกำไรไม่ได้ แต่ทำไมว่านถงกรุ๊ปไม่ใช้เงินของเราเพื่อสนับสนุนพวกเขาน่ะเหรอคะ? เป็นเวลานานแล้วที่องค์กรเอกชนของเราเป็นเพียงหมูอ้วนที่รอให้ผู้นำของคุณเชือด คงจะเป็นการดีกว่าหากเรายุติคนกลุ่มนั้นและรักษาเงินในมือของตัวเองเอาไว้”
ใบหน้าของนายกเทศมนตรีวังแดงก่ำ เช่นเดียวกับหูของเขา และเขาอายมากจนทนไม่ได้
สิ่งที่เสี่ยวหมานพูดทำให้หลินม่ายกระอักกระอ่วน ราวกับเธอไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือถอยอย่างไร
หลินม่ายสามารถพลิกสถานการณ์เรื่องนี้ได้โดยบอกว่าเสี่ยวหม่านมีความตระหนักรู้ต่ำ
หลินม่ายแสร้งทำเป็นตำหนิเสี่ยวหมาน
จากนั้นเธอก็ยิ้มให้นายกเทศมนตรีวัง “ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ฉันใจแคบ และไม่สามารถเสียสละผลประโยชน์ของตัวเองได้ ฉันควรย้ายออกไปดีกว่า”
การประชุมยุติลงอย่างไม่มีความสุข
เมื่อเรื่องนี้จะถึงทางตัน หลินม่ายก็ส่งนายกเทศมนตรีวังและเลขานุการของเขาออกไปด้วยความเคารพ
เธอหันหน้าไปทักทายหลี่หมิงเฉิงซึ่งยืนอยู่ที่ประตูร้าน เขามารับเสี่ยวหม่านกลับบ้าน
เธอคิดว่าหลี่หมิงเฉิงและเสี่ยวหม่านคบกันมานานแล้วและถึงเวลาแต่งงานแล้ว
เธอยิ้มและถามทั้งคู่ว่าเมื่อใดจะแต่งงาน?
หลี่หมิงเฉิงหน้าแดงเล็กน้อย “เรายังไม่ได้พบพ่อแม่ของเราเลย แต่จะไปพบพวกท่านในช่วงปีใหม่นี้ จากนั้นค่อยคุยเรื่องงานแต่งกันน่ะ”
หลินม่ายพยักหน้าและบอกให้ทั้งสองคนกลับบ้านอย่างปลอดภัย และพวกเขาก็กำลังจะแยกย้ายกันไป
เสี่ยวหม่านดึงหลินม่ายเข้ามาใกล้และกระซิบ “นายกเทศมนตรีวังจะบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมเบาจ่ายเงินค่าโครงการให้เราหรือเปล่า? หากเขาไม่จ่าย เหล้าในคืนนี้ก็เป็นหมันแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่หมิงเฉิงก็ถามอย่างกระวนกระวายทันที “คุณดื่มเหล้าไปเยอะเหรอ?”
เสี่ยวหม่านกลอกตาใส่เขา “ฉันไม่ได้ดื่มเยอะสักหน่อย คุณก็เห็นนี่ว่าฉันไม่ได้เมาเลย”
อันที่จริงหล่อนดื่มเหล้าไปมาก แถมยังเมามาย แต่กลับแสร้งบอกว่าไม่ได้เมา
หลินม่ายกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล เหล่าที่ดื่มไปจะไม่เสียเปล่าในคืนนี้ และเราจะได้รับเงินค่าโครงการคืนอย่างช้าไม่เกินสองวัน หากพวกเขาไม่สามารถนำเงินมาจ่ายคืนเราได้จริง ๆ นายกเทศมนตรีวังจะขอให้ผู้อำนวยการหูปล่อยอาคารหอพักของพวกเขาเพื่อจำนองเงินส่วนหนึ่งของโครงการ”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายเหมาแท็กซี่เพื่อพาคุณปู่ฟางและโต้วโต้วไปเดินเล่นในชนบท
โดยมีจุดประสงค์เพื่อสังเกตสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรในท้องถิ่น
เทียบกับปีที่แล้ว ชนบทในเมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นกว่าปีก่อน
ผู้คนกำลังสร้างบ้านใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ
หลายคนสร้างอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็ก แม้แต่ผู้ที่มีฐานะยากจนก็ยังสร้างบ้ายด้วยอิฐแดงและกระเบื้อง
เสื้อผ้าของชาวนาจะไม่ขาดรุ่ยอีกต่ออีกต่อไป
หญิงสาวทั้งสองคนนั้นที่สวมเสื้อผ้าใหม่สีสันสดใสดูมีความสุขอย่างมาก
รถแท็กซี่จอดที่หน้าบ้านเก่าของคุณปู่ฟางและภรรยาของเขา ดึงดูดความสนใจของชายและหญิงชราที่กำลังคุยกันอยู่กลางแดดในทันที
ทุกคนล้อมรอบพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และพวกเขาต่างก็มีความสุขมากที่เห็นหลินม่ายและคนอื่น ๆ ลงจากรถแท็กซี่
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางโห่ร้องทักทายผู้คนรอบข้าง
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางแจกจ่ายของฝากให้กับชาวบ้านอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับโต้วโต้ว
หลินม่ายพูดคุยสองสามคำกับชายหญิงวัยชรากลุ่มนี้ก่อนจะเดินไปรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียง
ชาวบ้านที่พบเธอระหว่างทางต่างทักทายเธออย่างอบอุ่น
หลายคนกล่าวขอบคุณเธอพร้อมบอกว่าปีนี้มีคนปลูกผักในโรงเรือนมากเกินไป ผักในเรือนกระจกของพวกเขาจึงใช้เลี้ยงกระต่ายได้เท่านั้น
โชคดีที่ผู้ซื้อจากครอบครัวหลินม่ายซื้อผักทั้งหมดในเรือนกระจกของพวกเขา มิฉะนั้นผักในเรือนกระจกในปีนี้อาจไม่สามารถทำเงินได้ และพวกเขาก็จะขาดทุน
ทุกคนเอาแต่กล่าวขอบคุณ
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าว “ฉันเป็นผู้หญิงที่เกิดและเติบโตที่นี่ ฉันจะช่วยพวกคุณอย่างแน่นอน ช่วยด้วยความยินดีเลยค่ะ”
เธอถามชายชราคนหนึ่ง “เมื่อครู่ฉันได้ยินคุณตาบอกว่าผักในเรือนกระจกของคุณตาใช้เลี้ยงกระต่ายได้เท่านั้น แสดงว่าคุณตาเลี้ยงกระต่ายด้วยเหรอคะ?”
“ใช่!” ชายชราตอบกลับ “ไม่ใช่แค่ฉันที่เลี้ยงกระต่าย แต่ทุกคนในพื้นที่ของเราก็เลี้ยงกระต่ายด้วย”
ชาวบ้านหลายคนที่มารวมตัวกันที่นี่ต่างพยักหน้า
ทุกคนยกย่องฟู่เฉียงในความใจดีของเขาที่แจกจ่ายกระต่ายให้กับชาวบ้าน
เขาไม่เพียงขายกระต่ายพันธุ์ในราคาทุนเท่านั้น แต่ยังรักษากระต่ายป่วยฟรีอีกด้วย
นอกจากนี้พวกเขายังยกย่องผู้ซื้อของหลินม่ายอีกด้วย เพราะตราบใดที่กระต่ายของพวกเขามีคุณสมบัติเหมาะสม ก็จะถูกซื้อไปจนหมดสิ้น
หลินม่ายยิ้มและเดินไปที่บ้านของฟู่เฉียง
เธอต้องการยกย่องฟู่เฉียงเป็นอย่างดี
เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งยังรู้วิธีสอนคนให้จับปลาแทนที่จะมอบปลาให้แก่พวกเขา
นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการเปิดใจช่วยเหลือผู้อื่น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ต้องเล่นใหญ่สินะถึงจะยอมจัดการเรื่องให้
ไหหม่า(海馬)