แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 740 ตัดหางปล่อยวัดแหล่งปลูกผักเรือนกระจก
ตอนที่ 740 ตัดหางปล่อยวัดแหล่งปลูกผักเรือนกระจก
หลินม่ายเป็นคนรักษาคำพูด หลังจากทำงานเสร็จก็กลับบ้าน โดยเดินทางผ่านบ้านของเฉินเฟิงและเข้าไปกินซุปไก่
เคอจื่อฉิงขอให้พี่เลี้ยงเสิร์ฟซุปไก่ชามใหญ่ให้หลินม่าย และดูเธอกินอย่างกระตือรือร้นก่อนจะปล่อยให้เธอกลับบ้าน
เมื่อหลินม่ายกลับมาถึง เธอก็ได้กลิ่นหอมของซุปไก่โชยมาจากในครัวทันทีที่เข้าไปในบ้าน
เมื่อคุณย่าฟางเห็นหลินม่าย นางก็ขอให้เธอล้างมือเพื่อจะได้มากินซุปไก่ด้วยกัน
ซุปไก่อีกแล้ว!
ยังไม่ถึงปีใหม่เลย
หลินม่ายล้างมือและนั่งที่โต๊ะอาหารค่ำกับทุกคนเพื่อกินซุปไก่
เมื่อคิดว่าตัวเองได้ซุปไก่สองครั้งติดต่อกัน แต่ฟางจั๋วหรานได้กินเพียงอาหารจากโรงอาหารของโรงพยาบาล หลินม่ายก็รู้สึกสงสารเขามาก
หลังกินซุปไก่ไปสักพัก คุณย่าฟางบอกหลินม่ายว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้วจ้าวเลี่ยงซึ่งอยู่ในเมืองหลวงโทรมาหาเธอ โดยบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน
เนื่องจากหลินม่ายไม่อยู่บ้าน จ้าวเลี่ยงจึงวานคุณย่าฟางช่วยบอกให้หลินม่ายโทรกลับเมื่อสะดวก
หลินม่ายรู้สึกสับสน “จ้าวเลี่ยงอยู่ที่เจียงเฉิงไม่ใช่เหรอคะ? เขาโทรมาจากเมืองหลวงได้ยังไง?”
คุณย่าฟางส่ายศีรษะ “ย่าไม่รู้อะไรเลย ย่าเป็นแค่คนส่งสาร”
หลังจากกินซุปไก่แล้ว หลินม่ายก็ไปยังห้องนอนและกดหมายเลขโทรศัพท์โทรหาจ้าวเลี่ยง
ปลายทางรับสายอย่างรวดเร็ว
เธอเพียงต้องการถามจ้าวเลี่ยงว่าทำไมเขาถึงอยู่ในเมืองหลวง แต่จ้าวเลี่ยงกลับถามหลินม่ายก่อนว่าเธอจะกลับมาปักกิ่งเมื่อใด
หลินม่ายถามกลับ “คุณอยู่ในเมืองหลวงเหรอ?”
จ้าวเลี่ยงตอบกลับว่าใช่
“คุณไปเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อสองวันก่อน”
การแสดงออกของหลินม่ายกลายเป็นจริงจังทันที “มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นในเมืองหลวงเหรอ?”
จ้าวเลี่ยงตอบกลับ “ใช่แล้ว”
จากนั้นเขาก็พูดตะกุกตะกักและบอกหลินม่ายว่า ในวันที่เธอเดินทางกลับมายังเจียงเฉิง มีคนแอบเข้ามาซื้อผักในเรือนกระจกที่เขาปลูกในเขตชานเมือง
เนื่องจากคนเหล่านั้นเสนอราคามาค่อนข้างสูง เหล่าเกษตรกรจึงสั่งให้คนเก็บผักเรือนกระจกของตนเองไปขายให้กับพวกเขา
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องการให้เธอเดินทางกลับมายังเมืองหลวงโดยด่วน
หลินม่ายตกตะลึง “คุณไม่ได้เซ็นสัญญากับเกษตรกรเหล่านั้นเหรอ? พวกเขาเช่าที่ดินของพวกเรา และต้องปลูกผักในเรือนกระจกให้กับเรา เกษตรกรเหล่านั้นต้องทำงานให้เรา ผักเรือนกระจกในไร่ของพวกเขาไม่มีอะไรที่เป็นของพวกเขาเลย พวกเขากล้าดียังไงถึงขายผักเรือนกระจกของเราให้กับผู้อื่น?
จ้าวเลี่ยงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ใครกันนะที่ทำให้พวกเขากล้าหาญขนาดนี้? เกษตรกรนับสิบหมู่บ้านพร้อมใจกันทำเช่นนี้ คุณจะทำยังไงต่อไป?”
หลินม่ายถาม “คุณไม่ได้ส่งคนไปกวาดต้อนพวกที่แอบอ้างมาซื้อผักเรือนกระจกเหล่านั้นเหรอ?”
“ทำไมผมจะไม่ทำล่ะครับ?” จ้าวเลี่ยงกล่าว
“ผมพาคนไปที่นั่นด้วยตัวเอง และได้เห็นชาวบ้านสูงอายุกำลังเก็บผักต่อหน้าเราและขายให้คนอื่น เมื่อคนของเราเข้าไปห้ามปราม ผู้สูงอายุเหล่านั้นก็แสร้งทำเป็นล้มลงกับพื้นโดยกล่าวหาว่าคนของเราผลักพวกเขาจนล้มลง และเรียกร้องให้เราจ่ายค่ารักษาพยาบาล เมื่อเราไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ชาวบ้านเหล่านั้นก็รวมตัวกันกดดันเราและไม่ยอมปล่อยเราไปเลย”
“แจ้งตำรวจหรือยัง?”
“แจ้งความไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อตำรวจมาถึงกลุ่มคนชราเหล่านั้นก็แสร้งทำเป็นล้มลงต่อหน้าพวกเขา ทุกคนเป็นพยานให้แก่กันถึงความผิดของเรา ตำรวจเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ หากมีคนแก่เพียงหนึ่งถึงสองคนที่ทำแบบนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับมือ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจัดการกับกลุ่มคนชรานับสิบเหล่านี้”
หลินม่ายพูดไม่ออก
สิ่งนี้ทำให้หลินม่ายนึกถึงเหล่าผู้สูงวัยที่จัดกลุ่มเพื่อขโมยผักและผลไม้ที่เธอเห็นทางอินเทอร์เน็ตเมื่อชาติที่แล้ว
คนแก่เหล่านี้คดโกง แต่ไม่มีใครทำอะไรพวกเขาได้
เธอยังคิดไม่ออกว่าทำไมผู้สูงวัยบางคนถึงแก่ตัว แต่สมองไม่ต่างจากเด็ก
หลินม่ายเอ่ยถาม “คุณรู้ไหมว่าพวกที่แอบอ้างมาซื้อผักเรือนกระจกของเราเป็นใคร?”
“ผมรู้เพียงว่าพวกเขามาจากตลาดฮุ่ยหมินที่เพิ่งเปิดใหม่สองแห่งในเมืองหลวง”
หลินม่ายเคยได้ยินเกี่ยวกับตลาดทั้งสองแห่งซึ่งจะเปิดก่อนวันปีใหม่นี้
เนื่องจากการจัดการไม่สมบูรณ์เท่าตลาดฝูตัวตัว การเติบโตทางธุรกิจของพวกเขาจึงยังห่างไกลจากตลาดฝูตัวตัว
โชคดีที่ตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองแห่งอยู่ห่างจากตลาดฝูตัวตัว
พวกเขามีกลุ่มผู้บริโภคของตนเอง และแทบไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้น ตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองแห่งอาจต้องปิดตัวลง
หลินม่ายถาม “คุณควรไปคุยกับคนดูแลตลาดผักฮุ่ยหมิน แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นคนในแวดวงเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ระมัดระวังตัว อย่าให้น่าเกลียดจนเกินไป”
“ผมไปคุยมาแล้วและได้รู้ว่าพวกเขาหยิ่งยโสยิ่งกว่าใคร พวกเขาพูดกับผมว่าตราบใดที่เกษตรกรเหล่านั้นเต็มใจขายผักเรือนกระจกให้ พวกเขาก็ยินดีจะรับซื้อ เขาบอกให้ผมไปข่มขู่เกษตรกรเหล่านั้นว่าอย่าขายผักเรือนกระจกให้กับพวกเขา แต่ใครเล่าจะทำแบบนั้น!” จ้าวเลี่ยงกล่าว
“ผมได้ทำการตรวจสอบผู้จัดการของตลาดฮุ่ยหมินสองคนแล้วพวกเขาเป็นแค่คนธรรมดา ดังนั้นพวกเขาน่าจะไม่กล้าเปิดตลาดเพื่อทำการแข่งขันหรือแม้แต่แย่งแหล่งผักของเรา ผมเดาว่าผู้จัดการสองคนนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดและมีเจ้านายอีกคนอยู่เบื้องหลังพวกเขา และเจ้านายคนนี้ต้องมีภูมิหลังมากมาย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้าหยิ่งยโสขนาดนั้น แต่ผมแค่ไม่รู้ว่าจะสืบหาเบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้านายคนนี้อย่างไร”
หลินม่ายตอบกลับ “ไม่จำเป็นต้องสืบหา เพราะแม้คุณจะรู้ว่าเจ้าหน้าที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือใคร แต่เชื่อฉันเถอะว่าทัศนคติของเขาก็คงไม่ได้แตกต่างจากผู้จัดการทั้งสองคนนี้นัก คนที่พยายามขโมยแหล่งผักของเราไปจะต้องมีจุดประสงค์เล่นงานตลาดฝูตัวตัวอย่างแน่นอน”
จ้าวเลี่ยงถามด้วยความสงสัย “ตลาดฝูตัวตัวและตลาดฮุ่ยหมินไม่ได้อยู่ในเขตเดียวกัน พวกมันจะทำแบบนั้นไปทำไม?”
หลินม่ายวิเคราะห์ “หากไม่ใช่เหตุผลนี้ ก็คงต้องเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าฉันจะใช้ผักในเรือนกระจกเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตลาดของตัวเอง”
“หากคิดแบบนั้นจริงก็เรียกว่าชั่วร้ายมาก!” จ้าวเลี่ยงพูดอย่างโกรธเคือง
“เราไม่สามารถควบคุมความชั่วร้ายของผู้คนได้” หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ในเมื่อเราไม่อาจรักษาแหล่งผักเรือนกระจกแห่งนั้นไว้ได้ งั้นก็ปล่อยไปเถอะ”
จ้าวเลี่ยงตกตะลึง
เขาต้องการให้หลินม่ายเดินทางกลับเมืองหลวงเพราะคิดว่าเธอจะมีทางออกที่ดี แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
เขาพยายามและทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการปลูกผักเรือนกระจกเหล่านี้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากยอมแพ้
เขาถามอย่างขมขื่น “เราจะยอมปล่อยให้คนพวกนั้นคว้าไปเหรอ?”
หลินม่ายถามกลับ “แล้วคุณทำอะไรได้บ้างล่ะ?”
จ้าวเลี่ยงตะกุกตะกักทันที “ไม่… ไม่มี…”
คุณหลินถามแบบนี้ออกมาได้อย่างไร?
หากเขารู้วิธีทางแก้ไขก็คงไม่โทรหาเธอ
หลินม่ายกล่าว “แม้ว่าเราจะประสบกับการล่มสลายครั้งใหญ่จากหมู่บ้านหลายสิบแห่งนี้ แต่เราก็ยังสามารถแก้แค้นพวกเขาได้ ประการแรก เรื่องนี้จะต้องถูกรายงานให้สื่อและนักข่าวได้ทราบ เราต้องทำให้ชื่อเสียงของหมู่บ้านนับสิบเหล่านี้โด่งดัง หากชื่อเสียงของพวกเขาย่ำแย่ ใครจะกล้าลงทุนกับพวกเขาอีกในอนาคต? และฉันต้องการให้คุณเดินทางไปยังพื้นที่โดยรอบของหมู่บ้านนับสิบแห่งนี้เพื่อถ่ายทอดวิธีการปลูกผักเรือนกระจกให้กับชาวบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย”
“เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ แต่หากเกษตรกรพวกนั้นขายผักเรือนกระจกให้กับตลาดฮุ่ยหมินเหมือนอย่างที่ชาวบ้านกลุ่มนี้ทำ ก็จะไม่เท่ากับว่าเรากำลังสร้างปนะโยชน์ให้คนอื่นเหรอครับ?” จ้าวเลี่ยงค้าน
“ฉันจะดำเนินมาตรการส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้าของฮุ่ยหมินมาที่ตลาดของเรา และทำให้ตลาดฮุ่ยหมินล่มสลาย ตราบใดที่ตลาดฮุ่ยหมินล่มสลาย ก็จะไม่มีใครรับซื้อผักเรือนกระจกของชาวบ้านกลุ่มนั้นอีก เมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็มาดูกันเถอะว่าชาวบ้านเหล่านั้นจะขายผักเรือนกระจกของพวกเขาให้ใคร! นี่คือการแก้แค้นทางเศรษฐกิจที่ดีไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งเรายังสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้กำจัดตลาดฮุ่ยหมินได้”
จ้าวเลี่ยงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “หากเราไม่มีผักเรือนกระจกขายในช่วงนี้ แล้วเราจะทำการตลาดเพื่อเอาชนะตลาดฮุ่ยหมินได้อย่างไร? ตัวผมเองกลับคิดว่าตลาดฮุ่ยหมินต่างหากที่จะทำลายพวกเราโดยใช้ผักเรือนกระจกเป็นตัวกลาง”
หลินม่ายกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลว่าตลาดของเราจะไม่มีผักเรือนกระจกขายในปัจจุบัน อุปทานของผักในโรงเรือนในพื้นที่ชนบทของมณฑลหูเป่ยมีมากกว่าความต้องการอย่างมาก เราควรช่วยเกษตรกรเหล่านั้นในการซื้อผักเรือนกระจกที่ล้นตลาดไม่ใช่เหรอ? เราจะรับซื้อผักจากเกษตรกรเหล่านั้นและนำไปขายยังเมืองหลวงในราคาถูก มีเพียงพลังแห่งการส่งเสริมอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถทำลายตลาดฮุ่ยหมินได้”
การปลูกผักในเรือนกระจกในเขตชานเมืองของกรุงปักกิ่งมีราคาแพงมากเนื่องจากต้องใช้ความร้อน
แต่การปลูกผักเรือนกระจกในเจียงเฉิงใช้เพียงไม้ไผ่และฟิล์มพลาสติกก็เพียงพอแล้ว สิ่งที่ต้องใช้นอกเหนือจากนั้นก็มีเพียงกำลังคนและปุ๋ยเคมี
ต้นทุนต่ำกว่าผักเรือนกระจกที่ปลูกในเขตชานเมืองปักกิ่งมากกว่าครึ่ง
ผักเรือนกระจกที่ซื้อในชนบทของเจียงเฉิงจะถูกขนส่งไปยังเมืองหลวง ไม่ว่าราคาขายที่นั่นจะต่ำเพียงใด ก็สูงกว่าที่ขายในเจียงเฉิงแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ช่องว่างด้านราคาระหว่างสองเมืองยังคงมีขนาดใหญ่มาก
หลินม่ายยังคงทำกำไรได้ แม้กำไรนั้นจะไม่มากก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการปลูกผักเรือนกระจกในเมืองหลวง
ไม่ว่าราคาขายของหลินม่ายจะต่ำเพียงใดก็ไม่ต่ำกว่าต้นทุนของผักในโรงเรือนของเมืองหลวงอย่างแน่นอน
วิธีการนี้จะทำให้ราคาผักเรือนกระจกในตลาดฮุ่ยหมินลดต่ำลงด้วย ซึ่งจะทำให้พวกเขาขาดทุนและได้รับผลกระทบหนัก
จ้าวเลี่ยงยิ้มอย่างมีความสุขที่ปลายสายของโทรศัพท์ “วิธีแก้ปัญหาของคุณหลินเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ผมจะทำตามคำแนะนำของคุณทันทีครับ”
หลินม่ายคิดกับตัวเอง เธอเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง และเธอทำได้เพียงเท่านี้
หากเธอเป็นคนมีความสามารถจริง เธอจะไม่มีวันปล่อยให้คนไร้ยางอายเหล่านั้นเข้ามาแย่งชิงแหล่งผักเรือนกระจก และจะไม่ยอมปล่อยให้เกษตรกรหักหลังตนและขายผักให้คนอื่นอย่างง่ายดาย เพราะนั่นเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อเล่นบทโหดแล้ว ในเมื่อโกงกันแบบนี้ก็โจมตีกลับแบบไม่โกงเหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)