แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 742 สามแม่ลูก
ตอนที่ 742 สามแม่ลูก
ที่นั่งของหลินม่ายถูกคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งแย่งไป
ที่รู้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันตั้งแต่เห็นแวบแรก เพราะพวกเขากอดกันในที่สาธารณะและประพฤติตัวอย่างสนิทสนม
หลินม่ายพูดอย่างใจดี “คุณทั้งสองคะ คุณกำลังนั่งที่นั่งของฉันอยู่ค่ะ ช่วยลุกขึ้นให้ฉันนั่งด้วยนะคะ”
หญิงสาวได้ยินดังนั้น หล่อนก็ต้องการลุกขึ้นเพื่อสละที่นั่งให้อีกฝ่าย
แต่แฟนหนุ่มคว้าตัวเธอไว้ ทำท่าเหมือนหนุ่มเจ้าเสน่ห์ในละครฮ่องกงพลางพูดอย่างโง่เขลาว่า “คุณบอกว่าตรงนี้คือที่นั่งคุณ มันมีชื่อของคุณแปะอยู่บนนั้นเหรอ?”
หลินม่ายรู้ว่าชายหนุ่มแค่ต้องการอวดเบ่งว่าเขามีพลังมากแค่ไหนต่อหน้าแฟนสาว
น่าเสียดาย พนักงานต้อนรับชายเดินตามหลังมาและไม่ให้โอกาสเขา
พวกเขาตะคอกใส่เพียงสองถึงสามครั้ง ชายหนุ่มก็ดึงแฟนสาวของตัวเองและวิ่งหนีออกไปด้วยความตกใจ
พนักงานต้อนรับเหล่านี้มีน้ำใจมาก พวกเขาช่วยเหลือหลินม่ายยกสัมภาระขึ้นวางบนชั้นวางกระเป๋า
เมื่อไม่สามารถวางเป็ดและไก่มีชีวิตบนชั้นวางสัมภาระ พวกเขาจึงวางไว้ใต้ที่นั่งของเธอ
ก่อนจากไป พวกเขายังบอกหลินม่ายอย่างกระตือรือร้นว่าถ้ามีปัญหาใดให้รีบมาหาพวกเขา
หลินม่ายขอบคุณพวกเขาด้วยรอยยิ้ม และขอให้พวกเขามาพบเธอเมื่อรถไฟเคลื่อนตัวถึงสถานีปลายทาง แล้วเธอจะตอบแทนพวกเขาด้วยค่าแรงคนละ 2 หยวน
พนักงานต้อนรับชายต่างก็ดีใจ
รถไฟเคลื่อนตัวออกไปไกลเท่าใด ผู้โดยสารก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เสียงพูดคุยดังจอแจอย่างต่อเนื่อง
บางคนตะโกนลั่นว่ามีคนเหยียบเท้า
นอกจากนี้ยังมีผู้โดยสารชาวชนบทที่ไม่ยอมให้ผู้โดยสารชาวเมืองนั่งลงบนกระเป๋า โดยอ้างว่าจะนำพาโชคร้าย
แต่ในยุคปัจจุบัน คนเมืองบางคนเย่อหยิ่งและชอบรังแกคนบ้านนอกเป็นพิเศษ
ใกล้กับที่นั่งของหลินม่าย ชาวเมืองที่เย่อหยิ่งและไม่มีเหตุผลต่างเพิกเฉยต่อคำเตือนของผู้โดยสารชาวชนบท หากพูดกันตรงๆ ก็คือเขาไม่มีมารยาท
เขานั่งบนสัมภาระของชายชนบทคนนั้น แล้วยังด่ากราดคนอื่น
ทุกคนเลือดขึ้นหน้า
แม้ว่าคนในชนบทจะขี้อายและไม่ชอบสร้างปัญหา
แต่หากถูกรังแกซึ่งๆ หน้า ต่อให้มีความอดทนสูง พวกเขาก็ไม่ทน
ชายชาวชนบทเดือดดาลหนักจนลุกขึ้นทุบตีชายชาวเมืองกระทั่งอีกฝ่ายล้มลงพื้น ชายชาวเมืองที่ถูกทุบตีร้องไห้คร่ำครวญร้องหาบิดามารดา ขณะที่ฟันหน้าของเขาหลุดออกหนึ่งซี่
ในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ การทะเลาะเบาะแว้งบนรถไฟเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง ตราบใดที่คุณไม่ทุบตีผู้คนจนถึงตายหรือทำให้พิการ จะไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานต้อนรับบนรถไฟเข้ามาจัดการกับพวกเขา
แม้ว่าชายชาวเมืองจะถูกทุบตีและกรีดร้อง เลือดกบปากดูน่าเวทนา แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
ผู้โดยสารคนอื่นเพียงนั่งดูเฉยและไม่เข้าไปห้ามปราม
คนผิดคือชายชาวเมือง คนแบบนี้ควรถูกสังคมลงโทษสักครั้ง
จากนั้นชาวเมืองที่ถูกทุบตีก็กลายเป็นคนซื่อยอมนั่งเงียบ
ในที่สุดมลพิษทางเสียงก็หายไป หลินม่ายหยิบหนังสือพิมพ์จากฝั่งตรงข้ามมาอ่าน ก่อนเห็นข่าวว่านายกเทศมนตรีวังถูกลดตำแหน่ง
เมื่อรถไฟแล่นผ่านสวี่ชาง คุณแม่และลูกสองคนก็ขึ้นรถไฟ
ผู้เป็นแม่อายุราว 30 ปี พร้อมลูกสองคนตามติด
เด็กคนโตเป็นลูกสาวอายุราว 10 ขวบ ส่วนคนเล็กเป็นลูกชายซึ่งอายุราว 4 ถึง 5 ขวบเท่านั้น
แม้สามแม่ลูกจะสวมเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด แต่ก็เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอง และดูเหมือนชาวชนบททั่วไป
เพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองได้ยืนอย่างสบายขึ้น คุณแม่ยังสาวจึงกอดลูกทั้งสองเพื่อเบียดเสียดไปยังเบาะด้านหลังหลินม่าย ซึ่งตลอดทางหล่อนถูกเบียดอย่างน่าสงสาร
ผู้เป็นแม่ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงมีรอยยิ้มแห่งความสุขประดับบนใบหน้าเสมอ ขณะที่ปล่อยให้ลูกทั้งสองจับขอบเบาะนั่งด้านหน้า
แต่เจ้าของที่นั่งซึ่งเป็นหญิงสาวผมสั้นไม่ยอมให้เด็กทั้งสองจับ ทั้งยังผลักเด็กน้อยออกไปอย่างเกรี้ยวกราด
โชคดีที่มีคนอยู่บนรถไฟจำนวนมาก เด็กทั้งสองจึงไม่พลัดตกลงไป
เด็กน้อยสองพี่น้องผวาและไม่กล้าจับเก้าอี้หญิงสาวด้านหน้าอีก
คุณแม่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปพูดคุยกับหญิงสาวผมสั้นอย่างอ่อนโยน โดยขอร้องให้ลูกทั้งสองคนจับพนักเก้าอี้ของหล่อน
หญิงสาวผมสั้นเหลือบมองด้วยหางตา “เหม็นสาบคนบ้านนอก!” จากนั้นก็ไม่เหลียวแลสามแม่ลูกอีก
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินม่ายโบกมือให้เด็กน้อยสองพี่น้อง “เด็กน้อยทั้งสอง มาหาน้าสิ น้าจะให้พวกหนูจับเก้าอี้นะ”
พี่น้องสองคนหันไปมองหน้าแม่พร้อมกัน
ผู้เป็นแม่ขอบคุณหลินม่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนหันไปบอกลูกทั้งสองว่า “ไปกันเถอะ”
ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ของพวกเขา เด็กทั้งสองเบียดเสียดตัวเองไปหาหลินม่ายอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็สามารถคว้าเก้าอี้เธอได้
หลินม่ายจงใจทำท่าสูดกลิ่นจากเด็กชายตัวน้อย “พวกหนูทั้งสองตัวหอมมาก ถ้าใครกล้ามาบอกว่าพวกหนูตัวเหม็น น้าจะตบสั่งสอนคนผู้นั้นให้!”
สองพี่น้องยิ้มอย่างดีใจ แต่ไม่กล้าพูดสิ่งใด
หญิงสาวผมสั้นเพียงลอบมองหลินม่ายจากด้านหลัง แต่ไม่กล้าทำสิ่งอื่นใด
บางคนรังแกผู้อ่อนแอ แต่เกรงกลัวผู้แข็งแกร่ง หญิงสาวผมสั้นเห็นหลินม่ายที่ดูเหมือนเศรษฐินี แล้วหล่อนจะกล้ายั่วยุอีกฝ่ายได้อย่างไร?
บนรถไฟมีผู้คนจำนวนมาก เด็กสองคนถูกเบียดอยู่กับร่างของหลินม่าย ทำให้น้ำหนักส่วนหนึ่งอยู่บนตัวเธอ
แม้จะไม่สะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้อึดอัด หลินม่ายเพียงทนต่อไปโดยไม่พูดสิ่งใด
เธอเป็นคนที่ปรับตัวเก่งมาก
หลังจากถูกเบียดไปสองสามครั้ง เด็กน้อยก็อ่อนแรงลงเล็กน้อย
เขาเงยหน้าขึ้นมองแม่อย่างน่าสงสาร เสียงออดอ้อนนั้นไพเราะมาก “คุณแม่ ผมทนไม่ไหวแล้ว”
หลินม่ายกำลังจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งตักของเธอ แต่แม่ของเขาพูดให้กำลังใจก่อน
“อดทนอีกสักพักนะลูก หลังจากถึงเมืองหลวง เดี๋ยวแม่จะซื้อบะหมี่ผัดให้ลูกกับพี่สาวของลูก”
เด็กสาว 10 ขวบพูดกับน้องชายตัวเองว่า “คุณพ่อกำลังปกป้องชายแดนในทิเบต พ่อทำงานหนักและไม่บ่นสักคำ เราก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เมื่อหลินม่ายได้ยินว่าพ่อของพวกเขาเป็นทหาร เธอจึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นนั่งบนตักตัวเองโดยไม่ลังเล
เด็กน้อยตกใจและมองแม่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง คุณแม่ยังสาวก็กลัวว่าลูกชายคนเล็กจะทำให้เสื้อผ้าอีกฝ่ายยับ
หล่อนพูดอย่างตื่นตระหนก “คุณหนูคะ วางเขาลงเถอะค่ะ เด็กคนนี้อวบอ้วนและหนักเกินไป!”
แม้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะไม่ได้ผอมมาก แต่ก็ไม่ได้อ้วนเหมือนที่พูด
หลินม่ายยิ้มอย่างใจดี “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกหนักอะไร”
ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เธอมีประจำเดือนและรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่า เธอคงกอดเด็กน้อยไปนานแล้ว
คุณแม่ยังสาวกล่าวคำขอบคุณมากมายกับหลินม่ายอย่างไม่สบายใจ
เนื้อแท้หลินม่ายเป็นคนใจกว้าง เธอกล่าวอย่างใจดี “มันไม่ง่ายเลยที่จะออกมาข้างนอก เราควรต้องดูแลซึ่งกันและกันให้ดี”
คุณแม่ยังสาวพูดกับเธอ “คุณเป็นคนดีจริงๆ”
หลินม่ายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้หญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัยพร้อมเด็กชายอวบอ้วนอายุราว 7 ถึง 8 ขวบก็เดินเบียดเข้ามาที่ด้านข้างของหลินม่าย
เธอพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “สหายร่วมทาง คุณช่วยสละที่นั่งให้ลูกชายของฉันนั่งข้างเด็กคนนั้นได้ไหม?”
หลินม่ายปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ถ้าเธอคิดจะสละที่นั่ง เธอคงยกให้เด็กน้อยสองพี่น้องไปแล้ว เช่นนั้นเธอจะยกที่นั่งให้เด็กชายตัวอ้วนคนนี้ได้อย่างไร!
เด็กคนนั้นมีร่างกายอวบอ้วนมาก หากปล่อยให้เขานั่งข้างเบียดเสียดกับเด็กน้อย ด้วยก้นที่ใหญ่ เขาต้องเบียดเด็กน้อยกระทั่งจมดิน
นอกจากนี้เธออยู่ในช่วงมีประจำเดือนและไม่ต้องการลุกจากที่นั่ง
หากเธอสละที่นั่ง นั่นหมายความว่าเธอต้องยืนเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ถึง 9 ชั่วโมง
วันนี้เธอไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี ร่างกายไม่ค่อยมีแรง มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะยืนเป็นเวลานาน
เด็กชายจ้ำม่ำคนนี้น้ำหนักตัวมาก เขาควรอดทนสักหน่อยและลดน้ำหนัก
การปฏิเสธเป็นเรื่องปกติ แต่แม่ของเด็กชายตัวอ้วนกลับเดือดดาลหนัก
หล่อนกล่าวคำอย่างไม่พอใจ “คุณยังให้เด็กบ้านนอกนั่งได้ แล้วทำไมถึงให้ลูกของฉันนั่งไม่ได้? ผู้ใหญ่นั่งสบาย ขณะที่เด็กยืนอย่างลำบาก คุณไม่อายหรือยังไง?”
หลินม่ายยิ้มอย่างดูแคลน “คุณใช้ปากกินอาหารขยะก็กินไป แต่อย่ามาพูดไร้สาระ ทำไมฉันต้องสละที่นั่ง ในเมื่อฉันซื้อตั๋วนั่งมา ที่ฉันไม่ดูแลลูกชายของคุณ เพราะพ่อของเขาไม่ใช่ทหาร”
หญิงชราแต่งตัวดูดียืนห่างออกไปไม่ไกลพลันกลอกตาไปที่หลินม่าย “นี่! คุณบอกว่าที่ดูแลเด็กเพราะเขาเป็นลูกของทหาร! ทหารคนนั้นยอมตายเพื่อประเทศหรือยังไง?”
เหลืออีกไม่กี่วันก็ปีใหม่แล้ว และตามธรรมเนียมจีน ทุกคนจะพูดในแง่มงคล
แต่หญิงชรากลับสาปแช่งว่าพ่อของเด็กน้อยตายไปแล้ว
แม่ลูกสามคนขุ่นเคืองจนตาแดงก่ำ ผู้โดยสารหลายคนต่างช่วยกันประณามหญิงชรา
โดยบอกว่าหากไม่มีทหารปกป้องประเทศ หญิงชราคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่และมาถ่มน้ำลายอยู่ที่นี่ได้อย่าง!
หญิงชราคนนั้นด่าทอหญิงสาวคนเดียว แต่หลายคนกลับช่วยกันบอกว่าทหารควรปกป้องบ้านเมืองและประเทศ ทำไมคนเหล่านี้ถึงต้องการทหาร?
ทุกคนในรถไฟกำลังเดือดดาล แต่พวกเขาไม่สามารถใช้กำลังกับหญิงชราได้
หลินม่ายโกรธจัด เธอลุกขึ้นยืนและวางเด็กน้อยลงบนที่นั่ง ก่อนขอให้พี่สาวของเด็กน้อยนั่งกับเขา
เธอบีบหน้าหญิงชราคนนั้น ก่อนกระชากผมของอีกฝ่ายและทุบตีอย่างแรง
หญิงชรานิสัยชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลพูดคุย เพียงทุบตีให้อีกฝ่ายสำนึก แล้วอีกฝ่ายจะเข้าใจทุกอย่างเอง
หญิงชราถูกทุบตีพลางกรีดร้องลั่น แต่ผู้โดยสารในรถไฟกลับปรบมือให้หลินม่าย
มีคนร่วมเตะหญิงชราสองถึงสามครั้ง ทั้งตะโกนใส่หาว่านางไม่เคารพทหาร!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รถไฟขบวนนี้มันเถื่อนจังว้า ขออย่าให้รถไฟบ้านเราเป็นแบบนั้นเลย
ไหหม่า(海馬)