แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 777 เพื่อนร่วมห้องเพิกเฉยต่อเรื่องราวในอดีต
ตอนที่ 777 เพื่อนร่วมห้องเพิกเฉยต่อเรื่องราวในอดีต
เรื่องการติดสินบนทางเพศของเหมาเซียงเอ๋อร์อันอื้อฉาวได้สร้างความฮือฮาในหมู่นักเรียนอย่างมาก
ช่วงก่อนเที่ยงมีคนให้ความสนใจเรื่องนี้น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาโดยพื้นฐานแล้วเป็นนักศึกษาชั้นนำ การนินทาเป็นเพียงการผ่อนคลาย ใครจะเอาเรื่องชั่วร้ายแบบนั้นมาใส่ใจ
ณ เวลาเที่ยง หลินม่ายกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยและมีคนคนหนึ่งนั่งตรงข้ามเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นเซิ่งหนิงเฉียวซึ่งสวมหมวก
เซิ่งหนิงเฉียวมารายงานหลินม่ายถึงสถานการณ์ที่น่าเศร้าของผู้อำนวยการฉือและผู้อำนวยการเหลียว
พวกเขาทั้งหมดรีบไปโรงพยาบาลเพราะถูกผู้ชมที่โกรธแค้นรุมประชาทัณฑ์
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจมาก “ผู้ชมเหล่านั้นทุบตีพวกเขาด้วยอะไร? ทำไมถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาลเลยล่ะ?”
“คนเรานั้นเขวี้ยงก้อนโคลนใส่พวกเขาครับ แต่ก้อนโคลนเหล่านั้นก็มีน้ำหนักไม่น้อยเลย
ผู้อำนวยการฉือและผู้อำนวยการเหลียว คนหนึ่งเลือดกำเดาไหลจากการถูกโคลนกระแทกใบหน้า ส่วนอีกคนตาบวมจากการถูกโคลนกระแทก
หลินม่ายไม่เพียงไม่เห็นอกเห็นใจเท่านั้น แต่เธอแทบจะปรบมือให้กลุ่มคนที่ทำเช่นนั้น
เซิ่งหนิงเฉียวและผู้จัดการทั่วไปซุนส่งผู้ช่วยไปยังมหาวิทยาลัยและถามหลินม่าย ตอนนี้ความจริงได้ปรากฏแล้ว เหมาเซียงเอ๋อร์ติดสินบนทางเพศให้กับผู้อำนวยการฉือและผู้อำนวยการเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ และพวกเขาต้องจัดแถลงข่าว
หลินม่ายกล่าวเตือนพวกเขาไม่ให้เร่งรีบ แค่ดำเนินตามแผนการที่วางไว้ก็พอ
……
สวีชิงหยาทำตามคำแนะนำของหลินม่าย หล่อนไปยังโรงพยาบาลเพื่อติดสินบนแพทย์ในเช้าวันนั้นและขอผลการวินิจฉัยและการรักษาสำหรับโรคไต
เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในบ้านเกิดค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยังมีพ่อ แม่ และสมาชิกในครอบครัวคอยดูแล เธอจึงขอลาป่วยกับที่ปรึกษาเป็นเวลาสามเดือนและกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด
ที่ปรึกษาของสวีชิงหยาเป็นครูผู้หญิงที่ใจดีมาก
แม้หล่อนจะไม่มีความประทับใจที่ดีต่อสวีชิงหยา แต่เมื่อพิจารณาจากความยากจนของครอบครัวหล่อนแล้ว การรักษาพยาบาลไม่ใช่ภาระเล็กน้อยสำหรับครอบครัวของหล่อน
ดังนั้นที่ปรึกษาจึงอยากระดมเงินบริจาคในชั้นเรียนเพื่อหวังจะรวบรวมค่ารักษาพยาบาลให้หล่อนได้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด
สวีชิงหยาปฏิเสธที่จะรับ
หล่อนมีเงินชดเชยห้าร้อยหยวนจากจ้าวซั่วหยางในกระเป๋าของหล่อน
แม้จะใช้กำจัดเด็กในท้องไปแล้ว แต่เงินที่ได้มาก็ยังเหลือเพียงพอที่จะใช้จ่าย ดังนั้นหล่อนจึงไม่ต้องการรับบริจาค
อย่างที่สอง หล่อนรู้สึกว่าเพื่อนร่วมชั้นไม่ชอบตน หากพวกเขาต้องบริจาคด้วยความไม่เต็มใจก็คงไม่ใช่เรื่องดี!
แต่ที่ปรึกษายืนยันที่จะบริจาค และหล่อนก็ถูกบังคับให้ยอมรับเงินนั้น
เมื่อหล่อนยืนอย่างกระวนกระวายบนโพเดียมเพื่อรับเงินบริจาคจากเพื่อนร่วมชั้น หล่อนกลับพบว่าทุกคนยื่นมือมาช่วยเหลือหล่อนโดยไม่คำนึงถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้
ทุกคนบริจาคหนึ่ง สอง หรือห้าหยวนจากค่าเบี้ยเลี้ยงของตนเองให้กับหล่อน
หลายคนสนับสนุนให้หล่อนรักษาอาการป่วยที่บ้านเกิดให้ดี และให้กลับมาเรียนต่อหลังจากหายขาดพวกเขาจะช่วยหล่อนชดเชยวิชาที่หล่อนพลาดไป
สวีชิงหยาหลั่งน้ำตาอย่างสะเทือนอารมณ์เมื่อได้ยินคำพูดที่อบอุ่นหัวใจเหล่านั้น
เมื่อหล่อนกลับมายังหอพัก รูมเมทคนหนึ่งก็มอบเงินมากกว่าหกสิบหยวนให้หล่อน
รูมเมทคนนั้นกล่าวด้วยความไม่พอใจ “นี่คือเงินที่รูมเมทของเราและรูมเมทของหลินม่ายร่วมกันบริจาคให้เธอ เธอต้องไปหาหมอและดูแลตัวเองให้ดี เข้าใจไหม?”
สวีชิงหยาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
หล่อนเอ่ย “ทำไมทั้งพวกเธอถึงบริจาคเงินให้ฉันเยอะจัง?
รูมเมททุกคนตอบกลับ “เธอไม่รู้หรือว่าหลินม่ายเป็นคนรวย? หล่อนบริจาคคนเดียวห้าสิบหยวน ส่วนเราไม่ได้บริจาคอะไรมาก”
สวีชิงหยาโค้งคำนับรูมเมทของเธอทันที “ฉันเคยผิดพลาด ใจแคบ ตั้งใจจับผิดอยู่เสมอ และคิดแต่ว่าพวกเธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับฉัน หากไม่ใช่เพราะพวกเธอถอยห่างจากฉัน ฉันก็คงเอาแต่พูดจาให้ร้ายหรือแม้กระทั่งลอบทำร้ายพวกเธอด้วย ฉันขอโทษจริง ๆ ยกโทษให้ฉันด้วยนะ”
เพื่อนร่วมห้องโบกมือพลางกล่าว “การให้อภัยไม่ใช่ปัญหา ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำแบบนั้นอีกในอนาคต”
สวีชิงหยาพูดอย่างเขินอาย “ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกในอนาคต”
วันรุ่งขึ้น หล่อนก็แอบขึ้นรถไฟไปยังมณฑลเหอเป่ยเพื่อกำจัดทารกในครรภ์ของหล่อน
……
แม้พ่อไป๋จะบอกแม่หยางว่าเขาจะช่วยดูแลลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ของหล่อน แต่แม่หยางก็ไม่ได้เชื่อใจ
หล่อนรู้ว่าพ่อไป๋เกลียดตน แต่แล้วอย่างไรเล่า?
เพราะทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน หล่อนจึงไม่เชื่อว่าพ่อของไป๋จะทำอะไรเกินเลย
เพราะเห็นแก่ลูกสาวคนโตของเขา เขาจึงไม่กล้าทำอะไรเกินเลย นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ไว้หน้าลูกสาวคนโตของเขาแล้ว
วันจันทร์ผ่านไปอย่างราบรื่น และวันอังคารก็ผ่านไปอย่างราบรื่นเช่นกัน ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากพ่อไป๋
แม่หยางภูมิใจมาก
แต่หล่อนไม่คาดคิดว่าข่าวร้ายจะเกิดขึ้นในวันที่สาม
ไม่เพียงลูกชายคนสุดท้องของหล่อนเท่านั้นที่ถูกลดตำแหน่ง แต่ลูกสะใภ้ของหล่อนที่ทำงานอยู่ก็ถูกไล่ออก โดยพวกเขาให้เหตุผลว่าหล่อนไปทำงานสายและกลับก่อนเวลาเลิกงาน
โรงงานเล็ก ๆ ที่ลูกสะใภ้ของหล่อนทำงานอยู่ไม่มีประสิทธิภาพนัก แต่หล่อนก็ได้แต่ค่าครองชีพทุกเดือน
เนื่องจากรายได้ต่ำ พนักงานในโรงงานจึงไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน การมาสายและออกก่อนเวลาก็เป็นเรื่องปกติ
ทุกคนเป็นแบบนี้ แต่เมื่อพูดถึงหวงกุ้ยอิ๋งลูกสะใภ้ตัวน้อยของแม่หยาง กลับเห็นได้ชัดว่าหล่อนกำลังจะถูกลงโทษ!
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หล่อนก็รู้ดีว่าไม่ใช่ฝีมือของคนงานในโรงงานอย่างแน่นอน
ใครจะมีอำนาจขับไล่หรือเก็บหล่อนไว้ ก็มีเพียงเหล่าหัวหน้างานเท่านั้น!
แม้จะหาข้ออ้างมาแก้ตัวกับเจ้านาย แต่พวกเขาก็สามารถหาเหตุผลมากมายที่จะเลิกจ้างได้
ในอดีต เหล่าหัวหน้ามีความประทับใจที่ดีต่อหวงกุ้ยอิ๋ง แต่คราวนี้หล่อนถูกไล่ออกอย่างกะทันหันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ไม่ว่าหวงกุ้ยอิ๋งจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเพียงใด แต่หล่อนก็รู้ว่าเป็นเพราะแม่สามีของตนทำให้พ่อของพี่สะใภ้ขุ่นเคือง
หวงกุ้ยอิ๋งกลับมาจากโรงงานด้วยความโกรธ หล่อนอารมณ์เสียอย่างมากเมื่อเห็นแม่หยาง และกล่าวโทษแม่หยางที่ทำให้หล่อนตกงาน
แม้การทำงานที่นี่จะหนักหนา แต่ก็คุ้มค่ามากที่จะได้ค่าครองชีพด้วยการทำงานในโรงงาน ที่สามารถกลับบ้านมาเลี้ยงดูลูกได้ก่อนเวลา
แต่หล่อนกลับต้องตกที่นั่งลำบากเพราะแม่สามี
เมื่อแม่หยางได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ หล่อนก็ลุกขึ้นและไปหาพ่อไป๋ทันที
ในขณะนี้เอง หยางเซิงลูกชายคนเล็กก็กลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียว
เมื่อเห็นว่าแม่หยางกำลังจะไปสะสางบัญชีกับพ่อไป๋ เขาจึงผลักหล่อนเข้าไปในห้องด้วยฝ่ามือข้างหนึ่งและพูดอย่างโกรธเคือง “แม่โง่หรือบ้ากันแน่?หลังจากใช้ชีวิตจนแก่ขนาดนี้ แม่ยังไม่เข้าใจหรือว่าเราสู้กับผู้มีอำนาจด้วยมือเปล่าไม่ได้? ตัวตนของเราคืออะไร ตัวตนของประธานไป๋คืออะไร! คิดว่าจะมีอะไรดีขึ้นเหรอหากยืนหยัดจะต่อต้านหรือสู้กับเขา? อยากให้เขาเหยียบย่ำเราให้ตายเหมือนมดเหรอ?”
แม่หยางกล่าวเสียงแข็ง “แม้เชื่อว่าทุกอย่างในโลกย่อมมีเหตุผล! ประธานไป๋คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ทำไมถึงรังแกคนที่ด้อยกว่าได้อย่างไรเหตุผล?! แม่จะรายงานท่านนายกเทศมนตรี แม่ไม่เชื่อว่าท่านนายกเทศมนตรีจะทำอะไรไม่ได้!”
หวงกุ้ยอิ๋งกล่าวอย่างดูถูก “ก่อนอื่นหาทางเข้าพบท่านนายกเทศมนตรีให้ได้ก่อนเถอะค่ะ ต่อให้แม่จะเข้าพบท่านนายกเทศมนตรีได้ แต่จะเอาหลักฐานอะไรไปพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เราถูกไล่ออกจากงาน?”
แม่หยางพูดอย่างไม่มีเหตุผล “ถ้าไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ? เป็นลูกชายของเขาเองที่บอกเราว่า เขาต้องการทำให้ถูกทั้งสองตกงาน และนี่คือข้อพิสูจน์!”
หล่อนกัดฟันกล่าว “แม่ไม่คาดคิดว่าตาแก่ไป๋จะทำงานได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เขาทำให้ลูกทั้งสองถูกไล่ออกจากโรงงานได้จริง ๆ!”
หวงกุ้ยอิ๋งหัวเราะเยาะ “คำพูดของแม่ใช้เป็นหลักฐานได้เหรอ? ต่อให้ไปคุยกับปลัดอำเภอหรือคุยกับตำรวจ ใครจะเอาคำพูดไปเป็นหลักฐาน? แม่เลิกเชื่อมั่นในตัวเองสักที! เอาแต่บอกว่าประธานไป๋ใจร้าย แต่ไม่เคยหวนกลับมาคิดว่าตัวเองเป็นยังไง และไม่ตระหนักว่าควรปฏิบัติต่อพี่สะใภ้และสามีของหล่อนอย่างไร!”
แม่หยางตัวสั่นด้วยความโกรธ “ฉันทำทุกอย่างเพื่อพวกแกสองผัวเมีย แต่ตอนนี้พวกแกกลับเอาแต่ตำหนิฉัน!”
หยางเซิงคำรามด้วยความโกรธ “เราต้องตกงานก็เพราะสิ่งแม่พยายามทำเพื่อเรา ทุกอย่างที่แม่ทำไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย อย่างน้อยก่อนหน้านี้เราก็ยังมีงานทำ”
แม่หยางโกรธมากจนน้ำตาไหลและยืนยันที่จะไปหาพ่อไป๋เพื่อสะสางเรื่องนี้
พ่อหยางและหยางเซิงเห็นว่าแม่หยางกำลังเสียสติและไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยกับหล่อนด้วยเหตุผล
พ่อหยางจึงชี้หน้าแม่หยางและกล่าวอย่างเด็ดขาด “หากคุณกล้าสร้างปัญหาให้กับประธานไป๋อีก ผมจะหย่ากับคุณทันที!”
หยางเซิงชี้หน้าแม่หยางและพูดด้วยสีหน้าดุร้ายเช่นกัน “หากแม่กล้าสร้างปัญหาให้ประธานไป๋ ผมจะตัดความสัมพันธ์แม่ลูกกับแม่”
แม่หยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ด้วยความคับแค้นใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนอื่นๆ เขาไม่ได้คิดลบกับเธอเลย เป็นเธอที่คิดมากไปเอง หลังเอาเด็กออกแล้วก็อย่าลืมหาจิตแพทย์เพิ่มเติมเพื่อบำบัดจิตด้วยนะชิงหยา
เอาซิแม่หยาง อยากโดนสามีกับลูกทิ้งก็เชิญไปหาเรื่องพ่อไป๋เลย อ้างว่าทำเพื่อลูกคนเล็ก แต่ไม่ถามลูกเลยว่าต้องการไหม
ไหหม่า(海馬)