แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 796 สะกดจิตหลินเพ่ย
ตอนที่ 796 สะกดจิตหลินเพ่ย
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
หลินเพ่ยไม่มีผู้ติดตามในเมืองหลวง ทำไมหล่อนถึงไปคนเดียวโดยไม่รอให้เขามารับหลังจากออกจากคุก?
หล่อนจะไปไหนคนเดียวได้?
นอกจากนี้ เมื่อเขาไปเยี่ยมเรือนจำก่อนหน้านี้ เขาได้นัดหมายกับหลินเพ่ยว่า เมื่อใดที่หล่อนออกจากคุก เขาจะมารับหล่อน ทำไมหล่อนถึงออกไปคนเดียว?
เป็นไปได้ไหมที่เฉาต้าจะพาหลินเพ่ยออกไปก่อนเขา?
เมื่อนึกถึงสถานการณ์นี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็รู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เขามาอย่างตื่นเต้นและจากไปอย่างผิดหวัง
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนประสบอุบัติเหตุจนทำให้เสียเวลาและมาสาย เขาเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่แม้เขาจะมาถึงคุกก่อนเวลา หลินเพ่ยก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยงเขา
เธอต้องวางแผนให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตายใจ จากนั้นจึงริเริ่มที่จะขอเงินเขามาเพื่อทำศัลยกรรมพลาสติก
หล่อนไม่ต้องการประหยัดเงินอีกต่อไป จึงขอให้แพทย์จากฮ่องกงป็นคนทำศัลยกรรมให้หล่อน
หล่อนกำลังจะไปทำศัลยกรรมที่ฮ่องกง หล่อนต้องมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามกว่าหลินม่ายแน่!
เมื่อนึกถึงหลินม่าย หลินเพ่ยก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง
แต่หล่อนรู้ว่าตอนนี้ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินม่าย และไม่สามารถแข็งข้อกับเธอได้
หลังจากทำศัลยกรรมแล้วหล่อนจะสวยขึ้น แล้ววางแผนที่จะจับผู้ชายรวยทรงอำนาจเพื่อให้เขาช่วยสังหารหลินม่าย
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาแปดโมงครึ่ง สิ่งแรกที่หลินเพ่ยทำทันทีที่ออกจากคุกคือ แอบมองเข้าไปในล็อบบี้ของเรือนจำ
เมื่อเห็นว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่ได้อยู่ที่นั่น หล่อนจึงรีบออกไป
เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสุนัขอู๋แสนสัตย์ซื่อและส่งผลกระทบต่อแผนของตัวเอง หลินเพ่ยจึงเดินไปตามทางเดินตลอดทาง
แต่ในขณะที่หล่อนกำลังเดินจากไป จู่ ๆ หล่อนพลันถูกตีด้วยของแข็งและหมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นด้วยความงุนงง หล่อนก็พบว่าตัวเองถูกมัดไว้กับเก้าอี้
หลินม่ายนั่งห่างจากหล่อนสองสามเมตรและมองหล่อนอย่างเฉยเมย
ใบหน้าของหลินเพ่ยบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว และใบหน้าที่น่าเกลียดไร้ที่ตินั้นยิ่งน่ารังเกียจมากกว่าเดิม
หล่อนกรีดร้องโดยสัญชาตญาณ “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มีคนกำลังจะฆ่าฉัน!”
ชายหนุ่มรูปงามรูปร่างสูงกำยำพุ่งเข้ามาตบหล่อนสองสามครั้ง “หยุดร้อง ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดารห่างไกลผู้คน ไม่มีใครมาช่วยเธอได้หรอก ต่อให้มีคนมาช่วยเธอ แต่พอเห็นสารรูปน่าเกลียดเหมือนผีของเธอก็คงปอดแหกหนีกันหมด ดังนั้นเก็บแรงไว้ซะ หยุดตะโกน ไม่อย่างงั้นฉันตบเธออีกครั้งแน่!”
จากนั้นหลินเพ่ยก็สงบลง มองไปยังหลินม่ายและชายคนนั้นด้วยความสยดสยอง
หลินม่ายพูดกับชายคนนั้นอย่างอ่อนโยน “โอเค คุณออกไปได้”
ชายคนนั้นคือเซิ่งหนิงเฉียว เขาเป็นคนจับหลินเพ่ยมา
เขาปิดประตูและเดินจากไป
หลินม่ายลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหาหลินเพ่ยแล้วกล่าว “มองตาฉันสิ”
เสียงของเธอมีอำนาจชวนพิศวง และหลินเพ่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังดวงตากระจ่างลึกล้ำของเธอด้วยความกลัว
หลังจากเฝ้าดูเพียงเสี้ยววินาที หล่อนก็รู้สึกว่าสติของตนเหมือนจะถูกดึงดูดให้จมลึกลงไปด้วยพลังลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
หล่อนตกใจและต้องการมองไปทางอื่นโดยสัญชาตญาณ
แต่ที่น่าสยดสยองก็คือ หล่อนพบว่าดวงตาของตนเหมือนจะดึงดูดกับดวงตาของหลินม่าย และไม่สามารถละออกไปได้เลย
สามสิบวินาทีต่อมา หลินเพ่ยรู้สึกมึนงงราวกับว่ากำลังจะหลับไหลอีกครั้ง
แม้ว่าจะเป็นเพียงการสะกดจิตไม่ถึงครึ่งนาที แต่หลินม่ายก็เริ่มหมดเรี่ยวแรงแล้ว
การสะกดจิตด้วยพลังงานและจิตวิญญาณของตนเองได้ผลอย่างรวดเร็ว แต่ผู้สะกดจิตก็ต้องใช้พลังงานมากเช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นว่าสติของหลินเพ่ยถูกควบคุมแล้ว หลินม่ายจึงรีบหยุดการสะกดจิตและหยิบนาฬิกาพกแบบเก่าออกมาจากกระเป๋า
ในขณะที่หลินเพ่ยยังคงจมอยู่ในห้วงสะกดจิตที่รุนแรงและยังไม่คืนสติดี หลินม่ายก็เปลี่ยนวิธีการสะกดจิตเพื่อรวบรวมผลการสะกดจิตในตอนนี้
มีเหตุผลที่หลินม่ายต้องการสะกดจิตหลินเพ่ยด้วยวิธีการสะกดจิตสองวิธี
การสะกดจิตประเภทแรกนั้นทรงพลังมากและสามารถล่อลวงผู้ถูกสะกดจิตได้อย่างรวดเร็ว แต่หลินม่ายจะเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก
เมื่อเธอหยุดสะกดจิต ผู้ถูกสะกดจิตจะตื่นขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที และความพยายามก่อนหน้านี้จะไร้ผล
ในเวลานี้จำเป็นต้องใช้การสะกดจิตประเภทที่สองเพื่อให้ได้ผลยิ่งขึ้นและป้องกันไม่ให้ผู้ที่ถูกสะกดจิตฟื้นคืนสติ
การสะกดจิตประเภทที่สองจะไม่ใช้พลังงานของผู้สะกดจิตมากเกินไป และไม่สำคัญว่าการสะกดจิตจะอยู่นานแค่ไหน
แม้การสะกดจิตแบบนี้จะดีต่อผู้สะกดจิตมาก แต่ก็มีข้อเสีย นั่นคือหากอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือก็จะไม่สามารถทำการสะกดจิตได้
แตกต่างจากการสะกดจิตประเภทแรกที่สามารถบังคับให้เข้าสู่สภาวะถูกสะกดจิตได้ภายในครึ่งนาที โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายยินยอมหรือไม่
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินม่ายใช้ทักษะการสะกดจิตทั้งสองกับหลินเพ่ย
หลินม่ายแกว่งนาฬิกาพกแบบเก่าตรงหน้าหลินเพ่ยเป็นจังหวะ “ดูนี่ ดูนี่ จ้องนาฬิกาเรือนนี้ จ้องนาฬิกาเรือนนี้ต่อไป…”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลินเพ่ยได้เข้าสู่สภาวะที่ถูกสะกดจิตโดยสมบูรณ์ ดวงตาของหล่อนพร่ามัวและว่างเปล่า
นี่คือความรู้สึกที่เรียกว่า การปราศจากความตระหนักรู้ในตนเอง
หลินม่ายแอบดีใจที่การสะกดจิตของตัวเองนั้นได้ผลดีเยี่ยม
จากนั้นเธอก็เริ่มถาม “เธอเกิดใหม่ใช่ไหม?”
หลินเพ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช่”
“เธอรู้อะไรหลังจากเกิดใหม่?”
“ฉันรู้ว่าพ่อแม่ของฉันเป็นฆาตกร ฉันรู้ว่าเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว แม่ของฉันสลับตัวไป๋ซวงกับนังสารเลวหลินม่ายเพื่อให้ลูกสาวตัวเองมีชีวิตที่ดี…”
แม้หลินเพ่ยจะไร้สติไปแล้ว หล่อนก็ยังเรียกหลินม่ายว่านังสารเลว
เห็นได้ชัดว่าความเกลียดชังของหลินเพ่ยที่มีต่อเธอนั้นฝังเข้ากระดูกดำ
ภายใต้การล่อลวงของหลินม่าย หลินเพ่ยอธิบายทุกอย่างที่หล่อนรู้หลังจากเกิดใหม่
ซึ่งรวมถึงแนวโน้มของหุ้นฮ่องกงและหุ้นสหรัฐฯ จำนวนมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
หลินม่ายรู้ว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้เธอฟังในชาติที่แล้วหลังจากเห็นในหนังสือพิมพ์หรือหนังสือหุ้น
หลินม่ายไม่ได้บันทึกทุกอย่างที่รู้
แต่เธอจดบันทึกทุกอย่างที่ไม่รู้
เธอวางแผนที่จะซื้อหุ้นสองสามตัวเพื่อความสนุกสนานตามข้อมูลจากหลินเพ่ย
หลังจากหลินเพ่ยอธิบายทุกอย่างเสร็จ หลินม่ายก็ถามหล่อนอีกครั้ง “คุณอยากจัดการกับใครมากที่สุดหลังจากที่เกิดใหม่?”
แววงุนงงในดวงตาของหลินเพ่ยหายไปทันที หล่อนกัดฟันตะโกนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คนที่ฉันต้องการจัดการมากที่สุดคือหลินม่าย ฉันต้องการฉีกหล่อนให้แหลกเป็นชิ้น!”
หลินม่ายคาดหวังคำตอบจากเรื่องนี้ เธอจึงถามอย่างใจเย็น “เธอต้องการจัดการกับหลินม่ายอย่างไร?”
หลินเพ่ยดูมั่นใจ “ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นไม่ใช่เหรอ? หลังจากที่ฉันทำศัลยกรรม ฉันจะหาทางไปจับผู้ชายรวยในฮ่องกง ใช้หุ้นเป็นตัวจูงใจหลอกล่อพวกเขา จากนั้นก็จะใช้อำนาจของเขาจัดการหลินม่ายให้ตายอย่างอนาถ ฮ่าๆ!”
กล่าวจบหล่อนก็หัวเราะเหมือนคนบ้า
หลินม่ายเคยได้ยินเกี่ยวกับนายท่านฉุยในฮ่องกงที่หลินเพ่ยพูดถึงในชีวิตที่แล้วของเขา
เหตุผลหลักคือ นายท่านฉุยมีชื่อเสียงมากในช่วงปี 1980 แม้หลินม่ายจะเป็นเพียงคนขายของริมถนนเล็ก ๆ ในเจียงเฉิงในเวลานั้น แต่ก็เคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเขา
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 นายท่านฉุยมีอำนาจมากที่สุดในฮ่องกง
เขาอ้างว่าเป็นตนเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
ว่ากันว่าเขาคือผู้ยิ่งใหญ่คนแรกที่ขับเบนซ์คันใหญ่ในฮ่องกง
ว่ากันว่าเขาเป็นคาสโนว่าที่เปลี่ยนผู้หญิงทุกวัน
เขามีบอดี้การ์ดหลายร้อยคนอยู่รอบตัว และมีลูกน้องอีกนับไม่ถ้วน
ทุกการเดินทางเป็นเรื่องใหญ่และน่าเกรงขาม
ในยุคนั้น หากทุกบ้านที่นำชื่อนายท่านฉุยไปอ้าง เด็กทุกบ้านก็ไม่กล้าจะร้องไห้
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 นายท่านฉุยเคยข่มขู่เจ้าของธุรกิจวัสดุก่อสร้างด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อแข่งขันกับผู้อื่นในธุรกิจวัสดุก่อสร้าง
เขาทำให้คู่แข่งต่างหวาดผวาจนต้องเลิกกิจการและพาครอบครัวหนีออกจากบ้านไปในที่สุด
ความโหดร้ายเช่นนี้เป็นที่เลื่องลือยิ่ง
ด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมเหล่านี้ นายท่านฉุยได้สร้างชื่อเสียงทางลบเป็นอย่างมากในฮ่องกง
กล่าวได้ว่า ทุกครั้งนายท่ายฉุยกระทืบเท้า ทั้งจังหวัดทางตอนเหนือก็สั่นสะท้าน
ทั่วทั้งเขตตะวันออกเฉียงเหนือ เขาเป็นดังจักรพรรดิแห่งวงการใต้ดินที่เรียกลมและฝนได้
หลินม่ายคิดว่าหากหลินเพ่ยติดต่อกับนายท่านฉุยจริง ๆ เธอจะใช้อำนาจของคุณปู่ฟางเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง
หลินเพ่ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะฆ่าเธอ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีศาสตร์การสะกดจิตด้วยแฮะ เนื้อเรื่องเริ่มแฟนตาซีหน่อยๆ แล้ว
ไหหม่า(海馬)