แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 808 เทศกาลแฟชั่นนานาชาติประจำเมืองฮ่องกง
ตอนที่ 808 เทศกาลแฟชั่นนานาชาติประจำเมืองฮ่องกง
เทศกาลแฟชั่นนานาชาติฮ่องกงจัดขึ้นที่ฮ่องกงสเตเดียมเวลา 18.00 ตรงในวันที่ 5 พฤษภาคม และมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วย
อาจเป็นเพราะแบรนด์จิ่นซิ่วมาจากแผ่นดินใหญ่ แม้ผู้จัดงานจะเชิญแบรนด์จิ่นซิ่วเข้าร่วม แต่พวกเขาก็ไม่สนใจเหล่านี้มากนัก
นอกเหนือจากการแสดงเครื่องแต่งกายของห้องเสื้อจิ่นซิ่วแล้ว ช่างแต่งหน้าและสไตลิสต์หลายคนไม่คิดสนใจจัดแต่งทรงผมหรือใบหน้าให้กับนางแบบของหลินม่าย
แม้ผู้จัดจะบอกกล่าวกับหลินม่ายไว้ว่า พวกเขาจัดหาช่างแต่งหน้าทำผมให้แล้ว แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มขึ้น ทั้งหมดก็หายไป
หากนางแบบไม่ได้แต่งหน้า มันจะส่งผลกระทบกับเสื้อผ้าที่แสดง
เถาจื่ออวิ๋นกระวนกระวายและอยากคุยกับผู้จัดงาน แต่หลินม่ายหยุดเธอเอาไว้
ไม่ใช่ว่าเธอถูกข่มเหงงั้นหรือตั้งแต่เหยียบแผ่นดินฮ่องกง
เธอรู้ดีว่าผู้จัดและช่างแต่งหน้าเหล่านั้นไม่จัดการเรื่องราวของนางแบบของเธอ
พวกเขาดูหมิ่นและอยากจะข่มเหงเธอเท่านั้น แต่การที่วิ่งไปหาเขาเพื่อเรียกหาความยุติธรรม นั่นไม่ใช่การแสวงหาหนังเสืองั้นเหรอ?
หากยิ่งโวยวายเสียงดัง มันยิ่งจะส่งผลร้ายตามมา
เอาล่ะ การพาทีมนางแบบเข้าสู่ฮ่องกงคราวนี้ต้องใช้เงินมาก และยังไม่ได้รับเงินแม้แต่แดงเดียว
ยิ่งกว่านั้นมันไม่คุ้มที่จะพลาดโอกาสผลักดันแบรนด์จิ่นซิ่วให้ก้าวสู่ระดับสากล
ต้องอยู่ต่อเท่านั้น และต้องอยู่อย่างสงบ เพราะเกรงว่าผู้จัดที่เหยียดหยามชาวจีนแผ่นดินใหญ่จะข่มเหงพวกตนมากกว่านี้ ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นมันจะกลายเป็นเลวร้ายมาก
หลินม่ายอธิบายความจริงนี้แก่เถาจื่ออวิ๋น
เถาจื่ออวิ๋นกล่าวด้วยใบหน้าโศกเศร้า “แต่ถึงผู้จัดจะไม่ช่วยเหลือเรา เราก็ควรจะถามเขานะคะ
ไม่อย่างนั้นนางแบบไม่แต่งหน้าจะเดินบนเวทีได้ยังไงล่ะคะ?”
หลินม่ายกะพริบตาก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “ทำไมต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่ช่วยเราล่ะ?
ถ้าทางนี้ไม่ได้ ก็หาทางอื่น”
“ทางไหนเหรอคะ?” เถาจื่ออวิ๋นถามอย่างสับสน
“ใช้เงินแก้ปัญหา”
หลินม่ายเรียกช่างแต่งหน้าและช่างทำผมที่เก่งที่สุดในแถวนั้น ก่อนจะมอบซองแดงสามพันดอลล่าร์ฮ่องกงให้กับพวกเขา
จากนั้นบอกกล่าวให้เขาแต่งหน้าและทำผมให้กับนางแบบของตัวเอง
เธอยังให้คำมั่นสัญญาว่า หลังจากจบงานแฟชั่นโชว์คราวนี้ เธอจะให้อั่งเปาเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจอีกคนละสองพันหยวน
แน่นอนว่าการมอบเงินคราวนี้เธอมีจุดประสงค์
ด้วยเงินที่มากมายล่อตาล่อใจ อีกทั้งยังมีแรงจูงใจเป็นเงินสองพันหยวนด้วย ทั้งช่างทำผมและช่างแต่งหน้าที่รับเงินไม่กล้าตุกติก ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ได้รับเงินตอบแทนภายหลัง
ทั้งช่างแต่งหน้าและช่างทำผมเก็บเงินไว้อย่างมั่นเหมาะ ก่อนจะเริ่มแต่งหน้าให้กับและทำผมกับเหล่านางแบบของหลินม่ายอย่างมีความสุข
เถาจื่ออวิ๋นยกนิ้วให้หลินม่ายอย่างชื่นชม
เวลานี้หลินม่ายมีความคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป และแน่นอนว่าเธอย่อมหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีแปลกประหลาด
เหล่านางแบบของหลินม่ายเป็นผู้ได้รับชัยชนะในยี่สิบอันดับแรกของการแข่งขันพิเศษ
เมื่อมีการจัดงานแฟชั่นโชว์ นางแบบที่ได้รับชัยชนะ อันดับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสามไม่เพียงแต่จะได้รับโบนัสสูงสุดเท่านั้น แต่ยังได้รับการโฆษณายาวนานกว่าหนึ่งปีอีกด้วย
สำหรับผู้เข้าแข่งขันยี่สิบอันดับแรก ตราบใดที่ผู้จัดมีงานเดินแบบ พวกเขาจะได้รับความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ
ปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วไม่มีงานเดินแบบในแผ่นดินใหญ่นัก ดังนั้นงานเดินแบบที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ห้องเสื้อจิ่นซิ่วต้องการที่จะได้รับโอกาสเพื่อออกไปเฉิดฉาย
หญิงสาวกลุ่มนี้มีรูปร่างหน้าตาที่ยอดยี่ยม และได้รับเลือกจากผู้คนนับหมื่น ทุกคนต่อสู้กันอย่างหนักเพื่อชิงชัยชนะ
นางแบบทุกคนล้วนแต่มีประสบการณ์มากมาย และเดินบนพรมแดงได้อย่างไร้ที่ติ
เมื่อพวกเขาสวมใส่ชุดที่เถาจื่ออวิ๋นและหลินม่ายร่วมกันออกแบบ ทั้งหมดเดินออกจากหลังเวที
ด้วยการแต่งหน้าที่งดงาม และผ่านการตกแต่งขั้นสุดท้ายแล้ว เสื้อผ้าที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้โดดเด่นและตรงใจของเหล่ากรรมการทันที อีกทั้งยังดึงดูดสายตาจากผู้ชมรอบข้างได้อย่างล้นหลาม
หลังจบการเดินแบบแล้ว ผู้รับชมปรบมือจนเสียงดังกึกก้อง
ทุกคนเต็มไปด้วยความคิดยกย่อง ยกเว้นเพียงผู้จัดงานเติ้งกั่งเซิงที่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ
เขาหันมองใบหน้าของเหล่าช่างทำผมและช่างแต่งหน้า ก่อนจะก่นถามเสียงเย็นชา “ใครเป็นคนแต่งหน้าทำผมให้พวกบ้านนอกนั่น?”
นี่คือคำเลือกปฏิบัติสำหรับผู้หญิงในแผ่นดินใหญ่ของชาวฮ่องกง
ทันทีที่เติ้งกั่งเซิงพูดจบ ผู้สนับสนุนรายใหญ่สองคนของงานแฟชั่นโชว์เดินเข้ามา
คนแซ่เจิงถามเขาด้วยใบหน้าหดหู่ “อะไรกัน? คุณไม่ได้จัดช่างทำผมกับช่างแต่งหน้าให้พวกเขาเหรอ แล้วเรียกใครว่าบ้านนอก?”
เติ้งกั่งเซิงตกใจมาก เขารีบหุบปากสนิท
เขาดูถูกชาวจีนแผ่นดินใหญ่และต้องการสร้างความโง่เขลาให้กับเครื่องแต่งกายที่ดูงดงามพวกนั้น เขาใช้อำนาจของผู้จัดงานเพื่อข่มขู่คนเหล่านั้น
แต่เขาไม่คิดว่าผู้สนับสนุนหลักทั้งสองจะเข้ามาที่หลังเวทีและพบว่าเขากำลังใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อจัดการชาวจีนแผ่นดินใหญ่
สิ่งที่ทำให้เติ้งกั่งเชิงประหลาดใจยิ่งกว่าคือประธานการจัดงานอยู่ด้านหลังของผู้สนับสนุนรายใหญ่ทั้งสองนี้
เมื่อเติ้งกั่งเชิงเห็นหลินม่ายเดินตามหลังประธาน เขาจึงเข้าใจทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ทั้งสอง หรือประธานการจัดงาน ทั้งหมดไม่ได้ปรากฏตัวอย่างบังเอิญ แต่กลับถูกเชิญมาโดยนังบ้านนอกคนนั้น
ใช่แล้ว เขาคาดเดาถูกต้อง ทั้งหมดนี้ถูกเชิญโดยหลินม่าย
สมาชิกของกรรมการจัดงานจงใจเลือกปฏิบัติกับทีมที่เข้าร่วมจากแผ่นดินใหญ่ และจงใจกีดกันเสื้อผ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว
แต่ผู้สนับสนุนหลักกลับมีอคติกับผู้เข้าร่วมงานที่มาจากแผ่นดินใหญ่
สุดท้ายเขาคาดหวังว่าเวทีนี้จะราบรื่น และไม่อยากให้ใครมาสร้างปัญหา
เพราะสุดท้ายแล้วหากมันราบรื่น ธุรกิจทั้งหมดก็จะได้รับประโยชน์
หลินม่ายคว้าโอกาสนี้และเลือกที่นั่งสำคัญเพื่อพบปะกับผู้สนับสนุนรายใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่ามีคนถูกข่มเหงเพียงเพราะมาจากแผ่นดินใหญ่
เธอค่อนข้างแน่ใจว่าผู้จัดต้องการสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับห้องเสื้อจิ่นซิ่ว และต้องโกรธจัดมากแน่นอนหากได้เห็นนางแบบที่ยอดเยี่ยมของเธอ
เขาจะต้องถามหาช่างแต่งหน้าและช่างทำผมที่จัดการทุกอย่างให้กับนางแบบของเธอแน่นอน เพราะสิ่งนี้ทำให้นางแบบของห้องเสื้อจิ่นซิ่วดูดีเกินไปมาก
หลินม่ายขอให้คนตัวใหญ่ตรวจสอบอย่างลับ ๆ ว่าสิ่งที่เธอบอกกล่าวไปก่อนหน้าเป็นความจริง
ผู้สนับสนุนทั้งสองคนนี้คุ้นเคยกับประธานการจัดงานเป็นอย่างดี เช่นนี้พวกเขาทั้งหมดจึงมุ่งหน้าสู่หลังเวทีอย่างง่ายดาย
หลินม่ายต้องการให้คนตัวใหญ่ทั้งสามเพื่อเปิดโปงความจริงทั้งหมด
บังเอิญว่าเติ้งกั่งเชิงกำลังตั้งคำถามกับช่างแต่งหน้าและช่างทำผม
นี่คือคนรนหาที่ตาย และไม่มีใครหยุดมันได้
ประธานการจัดงานถามเติ้งกังเชิงด้วยใบหน้ามืดมนว่าทำไมจึงต้องข่มขู่คนจากแผ่นดินใหญ่ด้วย
เติ้งกังเชิงเม้มปากแน่นและไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของผู้จัดแล้ว หลินม่ายไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอกล่าวลากับคนยิ่งใหญ่ทั้งสามแล้วเดินออกไป
ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมที่รับเงินเธอส่งสายตาขอบคุณให้กับหลินม่าย อีกทั้งยังยกยิ้มมีเล่ห์นัย
แม้ว่าเธอจะสามารถจัดการกับผู้จัดได้ แต่มันก็มีประโยชน์มากถ้าหลินม่ายออกมาจัดการเติ้งกังเชิงด้วยตนเอง เพราะอีกฝ่ายจะได้ไม่มารุกรานตน
หลินม่ายมาที่หอประชุมด้านข้าง เธอนั่งลงข้างกายเถาจื่ออวิ๋น และนั่งดูการเดินแบบตรงหน้า
หลังจากนั้นไม่นานนัก เวทีเดินแบบทั้งหมดก็จบลง และกรรมการก็ประกาศผลรางวัลที่หนึ่ง สอง และอื่น ๆ
เถาจื่ออวิ๋นไม่เพียงได้ได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่ยังได้รับรางวัลความคิดสร้างสรรค์ด้วย
พิธีกรเชิญเธอขึ้นบนเวที
เถาจื่ออวิ๋นลูบเส้นผมหยิกของตนก่อนจะจัดกระโปรงให้เข้าที่ เวลานี้เธอเดินนำทีมนางแบบขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัล
เมื่อขึ้นสู่เวทีแล้ว สิ่งที่เธอทำอันดับแรกคือการโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งต่อผู้ชมโดยรอบ ก่อนจะยืนจับมือกับนางแบบแล้วเดินตรงไปด้านหน้าเวที
แต่เถาจื่ออวิ๋นเดินเพียงห้าหกก้าวเท่านั้น เธอส่งให้นางแบบเดินต่อไป ส่วนตนยืนอยู่ที่เดิม
ทันทัที่นางแบบบังเธอจนมิด เวทีทั้งหมดเป็นของเหล่านางแบบพวกนี้ และเถาจื่ออวิ๋นเต็มใจที่จะยืนอยู่เบื้องหลัง
การเคลื่อนไหวของเธอยอดเยี่ยม และได้รับความเคารพจากทุกคน พวกเขาปรบมือลือลั่น
หลังจากจบงานเลี้ยงแล้ว จะมีงานเลี้ยงรับรองจากผู้จัด
ทั้งหลินม่ายและเถาจื่ออวิ๋นเข้าไปหลังเวทีเพื่อเปลี่ยนใส่ชุดราตรี ก่อนจะตรงไปที่เลานจ์เพื่อจ่ายค่าตอบแทนให้กับช่างแต่งหน้าและช่างทำผม
พวกเขาทั้งหมดยกยิ้มอย่างรู้กันเมื่อได้รับอั่งเปาที่หลินม่ายยัดใส่มืออย่างลับ ๆ
ขณะหลินม่ายเดินออกจากเลานจ์ เขาเห็นเติ้งกังเชิงกำลังหอบข้าวของของตัวเอง และถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพาออกจากห้องผู้จัดด้วยความสิ้นหวัง เขาถูกไล่ออกแล้ว
เมื่อเติ้งกังเชิงเดินผ่านหลินม่าย เขาส่งสายตาอาฆาตให้กับหล่อนทันที
หลินม่ายจ้องเขากลับเช่นกัน
ใครกันแน่ที่ต้องกลัว!
บางคนกล้าหาญรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า และหวาดกลัวต่อผู้แข็งแกร่ง เมื่อเห็นหลินม่ายกล้าต่อสู้ เติ้งกังเชิงหดหัวกลับทันที
เขาไม่กล้าปะทะสายตากับหลินม่าย และรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป หลินม่ายตะโกนลั่นว่าสร้อยคอทองคำขาวของเธอหายไป
เวลานี้เติ้งกังเชิงคือคนที่อยู่ข้างเธอ
เมื่อเธอตะโกนออกมาอย่างนี้มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เติ้งกังเชิงจะถูกเข้าใจผิดว่าฉกชิงสร้อยคอของเธอไป
แน่นอนว่าหลินม่ายต้องการอย่างนั้น
เธอไม่กล้าว่าเติ้งกังเชิงจะต่อต้านตน
เธอไม่ได้บอกว่าเขาหยิบสร้อยคอของตนไป และคนอื่น ๆ คาดเดากันไปเอง
พวกเธอทั้งหมดมาที่ฮ่องกงและไม่คิดจะยั่วยุเขาแม้แต่น้อย แต่เพราะเขาเหยียดหยามชาวจีนแผ่นดินใหญ่และคิดใช้อำนาจข่มเหง เธอจึงอยากจะสั่งสอนบทเรียนเล็กน้อยให้กับเขาโดยตรง