แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 820 ฟางจั๋วเยวี่ยร่าเริงขึ้น
ตอนที่ 820 ฟางจั๋วเยวี่ยร่าเริงขึ้น
เมื่อรับประทานอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ป้าแม่บ้านก็นำชามซุปไก่ใส่พุทราแดงและดอกเก๊กฮวยมาวางตรงหน้าหลินม่าย
หล่อนยิ้มพลางกล่าว “คุณนายขอให้ป้าต้มซุปไก่นี้ให้คุณในตอนเช้าน่ะค่ะ”
หลินม่ายชำเลืองมองคนอื่น ๆ แล้วถาม “นอกจากฉันแล้วไม่มีใครกินซุปไก่เลยเหรอคะ?”
คุณย่าฟางหยิบซาลาเปาลูกเล็กที่ซื้อจากร้านเปาห่าวชือขึ้นมากิน ก่อนพูดอย่างขุ่นเคือง “ตอนนี้หลานอยู่ในสถานการณ์พิเศษ จะให้เรากินเหมือนกันได้ยังไง? เรามีซาลาเปาและขนมจีบให้กิน ไก่แก่ที่ตุ๋นให้หลานคือไก่กระดูกดำในท้องถิ่นหูเป่ยของเรา หลังจากโตมาได้หนึ่งปีกว่าจะถือว่าโตเต็มวัย พอเชือดแล้วก็ถอนขนและควักเครื่องในออก เหลือเพียงเนื้อไม่กี่ชั่ง หลานกินคนเดียวเถอะ เราไม่กิน แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะไม่มีซุปไก่กิน ย่าจะขอให้เสี่ยวตู๋ซื้อไก่ซานตงจากตลาดผักของหลานมาให้ในภายหลัง ไก่ซานตงมีน้ำหนักเจ็ดถึงแปดชั่ง ใช้ตุ๋นซุปไก่ให้ทุกคนดื่มจนท้องแตกได้เลยล่ะ”
ป้าตู๋กล่าว“ไก่กระดูกดำจากหูเป่ยนั้นหาซื้อได้ไม่ง่ายนัก คุณหมอฟางตามหาซื้อไก่ชนิดนี้ทั่วทั้งตลาด อย่าปล่อยให้คุณหมอฟางและคุณนายผิดหวังนะคะ ดื่มซุปให้หมด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินม่ายก็กินซุปไก่อย่างเชื่อฟังในทันที และกินเกี๊ยวนึ่งอีกสองสามชิ้นให้อิ่ม
หลังอาหารเช้า ทั้งคู่ก็ออกเดินทางไปเจียงเฉิง
โต้วโต้วดึงกระโปรงของหลินม่ายและถามอย่างกระตือรือร้นว่าเธอจะกลับมาคืนนี้หรือไม่ เพราะหล่อนต้องการให้หลินม่ายและฟางจั๋วหรานพาหล่อนไปเที่ยวงานวันเด็ก
หลินม่ายจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเด็ก
ฟางจั๋วหรานคุกเข่าลงและกล่าวขอโทษ “พ่อจะกลับมาอย่างแน่นอน แต่กลัวว่าจะกลับมาช้าเกินไป แม่คงเหนื่อยและต้องเข้านอน”
โต้วโต้วหน้ามุ่ยด้วยความผิดหวัง
ทันใดนั้น ดวงตาของหล่อนก็สว่างขึ้นอีกครั้งและถามฟางจั๋วหราน “งั้นพ่อไปฉลองวันเด็กกับหนูได้ไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “แน่นอน!”
โต้วโต้วยิ้มเหมือนดอกไม้บานในทันใด
ระหว่างทางไปเจียงเฉิง ฟางจั๋วหรานดูแลหลินม่ายตลอดทางเหมือนราวกับเธอเป็นที่ล้ำค่าและเปราะบาง
หลินม่ายบอกเขาว่าอย่าทำเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ฟัง
ห้าชั่วโมงต่อมา ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงเจียงเฉิง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน น้าหวงก็ยังไม่ไปไหน
หล่อนยิ้มและแสดงความยินดีกับคู่หนุ่มสาวที่มีลูก จากนั้นบอกหลินม่ายว่ามีซุปนกพิราบตุ๋นอยู่ในหม้อหุงข้าว และขอให้เธอดื่มชามหนึ่ง
หลังจากอธิบายแล้ว หล่อนก็ออกจากงานไป
หลินม่ายหันศีรษะถามฟางจั๋วหราน “คุณบอกน้าหวงว่าฉันท้องและขอให้หล่อนตุ๋นซุปนกพิราบเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “โภชนาการเป็นสิ่งสำคัญมากในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ผมยังขอให้น้าหวงทำงานมากขึ้น และผมก็จ่ายมากขึ้นด้วย ผมจะไม่ปล่อยให้หล่อนทำไปโดยเปล่าประโยชน์”
สิ่งที่หลินม่ายใส่ใจไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ฟางจั๋วหรานให้ความสำคัญกับเธอและลูกในท้องมากเกินไป
แม้ว่าซุปนกพิราบจะอร่อย แต่หลินม่ายก็กลัวว่าตนจะอ้วนหากกินและดื่มสามมื้อต่อวัน และทารกในครรภ์จะตัวใหญ่เกินไปที่จะคลอดเอง ดังนั้นเธอจึงดื่มเพียงเล็กน้อยและปฏิเสธที่จะดื่มต่อ
แต่ฟางจั๋วหรานบอกว่าไม่สำคัญ เธอควรกินให้กินมากขึ้นในไตรมาสแรกและควบคุมอาหารในไตรมาสกลางและปลาย ดังนั้นเธอจึงต้องดื่มซุปนกพิราบชามนั้นให้หมด
หลังจากที่หลินม่ายกินซุปนกพิราบเสร็จ เธอก็ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับฟางจั๋วหราน ไปยังห้องของฟางจั๋วเยวี่ย
ห้องนั้นว่างเปล่าและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่มีขวดเบียร์เปล่าวางอยู่บนพื้น และดูไม่เหมือนห้องสำหรับคนแก่
ทั้งคู่มองหน้ากัน
หลินม่ายสงสัย “ความเป็นเลิศด้านการสร้างขยะและความสกปรกในห้องเขาหายไปไหนแล้ว?”
ฟางจั๋วหรานหยิบโทรศัพท์ข้างเตียงของฟางจั๋วเยวี่ยและโทรไปยังโรงงานทีวีของเขา
ผู้ช่วยของฟางจั๋วเยวี่ยรับสาย
เขาบอกฟางจั๋วหรานทางโทรศัพท์ว่า ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังตรวจสอบสายการผลิตในโรงงานและให้คำแนะนำแก่ช่างเทคนิครวมถึงคนงานในแนวหน้า
ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายค่อนข้างประหลาดใจ พวกเขานั่งแท็กซี่ไปยังโรงงานโทรทัศน์เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาเห็นฟางจั๋วเยวี่ยมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเคราและสวมสูทเรียบร้อย เดินตรวจตราในโรงปฏิบัติงานพร้อมกับผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเล็ก ๆ จำนวนมาก
เมื่อได้ยินหลินม่ายเรียกชื่อ เขาก็หันศีรษะไปและเห็นพี่ชายคนโตและพี่สะใภ้ สีหน้าพลันมีความสุข
หลังจากอธิบายสองสามคำกับผู้ปฏิบัติงานเล็ก ๆ ที่อยู่รอบตัวเขาก่อนจะวิ่งไปหาทั้งสอง “พี่ชาย พี่สะใภ้ มาทำอะไรกันที่นี่?”
“ลมอะไรหอบพี่กับพี่สะใภ้มาจากปักกิ่งถึงเจียงเฉิงได้?”
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ไม่คิดเลยว่านายจะเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ นายเหมือนเด็กไม่บรรลุนิติภาวะมาโดยตลอด นายเอาแต่บอกว่าจะไม่ทำ นายทำให้พี่สะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์ต้องเดินทางมาจากเมืองหลวงเพื่อจัดการความไม่เอาไหนของนาย”
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จึงเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ พี่ท้องจริงหรือ?”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเขินอาย “ใครจะล้อเล่นเรื่องนี้กันล่ะ? แล้วตอนนี้นายยังคิดจะทำงานอยู่อีกไหม? ถ้าไม่อยากทำแล้ว วันนี้เรามาส่งมอบโรงงานทีวีกันเถอะ ให้สิทธิฉันเป็นคนดูแล”
ฟางจั๋วเยวี่ยตบหน้าอกของเขา “เพราะหลานชายหรือหลานสาวในท้องของพี่สะใภ้นี่แหละ ผมในฐานะลุงจึงต้องทำงานหนักและหาเงินให้หลาน”
หลินม่ายมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน “พูดราวกับว่านายจะไม่แต่งงานหรือมีลูกในอนาคตเลย นายกำลังเริ่มต้นธุรกิจ ควรมีลูกเพื่อสร้างธุรกิจครอบครัวและหาผู้ที่จะมาคอยสืบทอดต่อสิ”
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มอย่างขมขื่น แต่ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเห็นว่าเขาอารมณ์ดี หลินม่ายจึงกล่าว “นายเพิ่งบอกว่าไม่อยากทำงานไม่ใช่เหรอ? เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ นายถึงร่าเริงขึ้น อะไรกระตุ้นนาย?”
ในดวงตาของฟางจั๋วเยวี่ยมีแววความเสียใจหลงเหลืออยู่ แต่เขายังคงฝืนยิ้ม “เพราะผมรู้แล้วว่าในโลกนี้ไม่มีใครต้องการผมอีกต่อไป ไม่มีใครต้องการผมแล้ว หากหล่อนต้องการผม หล่อนจะหนีไปเรียนเมืองนอกทำไม? ดังนั้นผมจะทิ้งหล่อนไว้ข้างหลังเหมือนกับที่หล่อนทิ้งผมไป และเริ่มต้นชีวิตของตัวเองใหม่!”
หลินม่ายและสามีของเธอรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินคำพูดของฟางจั๋วเยวี่ย
คำพูดที่ไร้เดียงสาและโกรธแค้นนี้เหมาะสำหรับบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของฟางจั๋วเยวี่ยจริงๆ
ดูเหมือนว่าฟางจั๋วเยวี่ยจะได้รับแรงกระตุ้นจากการศึกษาต่อต่างประเทศของเถาจืออวิ๋น ในที่สุดเขาก็เต็มใจที่จะปล่อยหล่อนไป และทำให้ชีวิตของเขากลับมาเป็นปกติ
แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความโกรธ แต่การเดิมพันจะเป็นจริงหรือไม่ ฟางจั๋วหรานและภรรยาของเขาก็เชื่อมั่นในสิ่งนี้
หลินม่ายใช้เวลาเกือบชั่วโมงเพื่อเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโรงงานผลิตทีวี
เธอกลัวว่าวันหนึ่งฟางจั๋วเยวี่ยจะล้มเลิกในทันใด
เธอต้องวางแผนล่วงหน้าและพร้อมที่จะยึดครองโรงงานทีวีทุกเมื่อ
หลังจากทั้งสองคุยเรื่องงานกันเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว
หลินม่ายและสามีซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเวลา 15.00 น.
จากฮั่นโขวไปยังสนามบินหนานหูใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังหลินม่ายได้รับการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าฟางจั๋วเยวี่ยจะบริหารโรงงานทีวีให้ดี ทั้งคู่จึงออกจากโรงงานทีวีและนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน
ฟางจั๋วเยวี่ยมองดูรถแท็กซี่ที่พวกเขาโดยสารหายไปจากสายตาของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปทันที และสีหน้าของเขาก็เย็นชาจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนไล่ตามเถาจืออวิ๋นไปจนถึงสนามบินปักกิ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน และขอร้องให้เถาจืออวิ๋นอย่าจากไป
แต่เถาจืออวิ๋นพูดกับเขาอย่างเย็นชา “ฟางจั๋วเยวี่ย ฉันไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อคุณแล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจ เพราะหากฉันยังรู้สึก ฉันคงขอให้คุณมายังสนามบินเพื่อมาส่งฉัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจอะไรเลย คุณไม่ต่างอะไรจากเด็กชายที่ไม่บรรลุนิติภาวะ นี่คุณบอกว่าตัวเองโตมากพอแล้วจริง ๆ เหรอ? ดูคุณในตอนนี้สิ บริหารโรงงานของตัวเองให้ดีคุณยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ด้วยรูปร่างหน้าตาของคุณแล้ว คิดว่าตัวเองจะเป็นสามีและพ่อที่ดีในอนาคตได้หรือ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดอย่างอ่อนแรง “ผมจะเป็นทุกสิ่งที่คุณต้องการ”
เถาจืออวิ๋นกล่าว “ฉันแก่กว่าคุณหลายปี และฉันจะอายุสามสิบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า วัยเยาว์ของผู้หญิงมีจำกัด ฉันไม่มีเวลารอให้คุณโตหรอก”
หล่อนมองฟางจั๋วเยวี่ยที่แสดงท่าทางเงอะงะวางตัวไม่ถูกตั้งแต่หัวจรดเท้า “ทำตัวแบบนี้ต่อหน้าผู้หญิงไม่ไร้ค่าไปหน่อยเหรอ? คนที่รักคุณก็จะรักคุณ ส่วนคนที่ไม่รักคุณก็จะดูถูกคุณ ฉันคือคนที่ไม่รักคุณ ต่อไปอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
ไม่ว่าหัวใจจะร้อนรนเพียงใด ไม่ว่าไฟจะรุนแรงเพียงใด มันก็ดับลงได้ด้วยการสาดน้ำเย็นอย่างต่อเนื่องของเถาจืออวิ๋น
ความหวังสุดท้ายในใจของฟางจั๋วเยวี่ยกลายเป็นความสิ้นหวัง
เขารู้สึกว่าเขาทำผิดต่อใครบางคนด้วยความหลงใหลของเขา
เมื่อเขาออกมาจากห้องโถงสนามบิน ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารหรือผู้ที่มารอรับ ผู้ที่ไม่มีร่มก็จะหลบฝนในห้องโถงสนามบิน
มีเพียงฟางจั๋วเยวี่ยเดินท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อกลับไปถึงบ้าน เขาจึงจับไข้จนนอนซม
พอหายไข้ก็ร่าเริงขึ้น
เขาพูดกับตัวเองในใจว่าเขาต้องการที่จะเติบโตเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและทำให้เถาจืออวิ๋นเสียใจ
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือหลังจากผ่านด่านตรวจความปลอดภัยระหว่างประเทศแล้ว เถาจืออวิ๋นก็แสร้งทำเป็นเข้าห้องน้ำ ก่อนซ่อนตัวในห้องน้ำและร้องไห้อย่างหนัก
หล่อนรู้ว่าคำพูดตอนนี้ของหล่อนทำให้ฟางจั๋วเยวี่ยเศร้าเสียใจและเจ็บปวดมาก
แววตาของเขาบ่งบอกทุกอย่างว่าเขาเลวและไร้ค่าอย่างยิ่ง
แต่หล่อนไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่านี้แล้ว แม่ของเขาคือภูเขาที่กั้นระหว่างหล่อนกับเขา
ฟางจั๋วเยวี่ยบอกว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมแม่ของเขา แต่หล่อนไม่มีความมั่นใจ จึงรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ
ทั้งสองจึงจำเป็นต้องลาจากและห่างกันไปราวกับมีภูเขาที่กั้นกลางทะเลสาบ
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ้ากรรมนายเวรมาในรูปแม่แฟนจริงๆ บางคนเขาถึงบอกไงว่าเวลาจะหาแฟนต้องหาคนที่พ่อแม่ตายแล้ว
ไหหม่า(海馬)