แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 849 สายจากสหายสาว
ตอนที่ 849 สายจากสหายสาว
ปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว สามีคิดว่าเธอกำลังลำบากใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายกินเกี๊ยวน้ำซุปไก่ที่น้าถูทำอย่างมีความสุข และหลังจากเช็ดปากด้วยทิชชู เธอได้ยินฟางจั๋วหรานบอกว่าจะพาเธอไปหาหมอ
หลินม่ายต้องการไปเมืองหลวงเพื่อประชุมในวันนี้ แต่ไม่อยากไปโรงพยาบาล
เธอทำตัวเหมือนเด็กและกล่าวต่อฟางจั๋วหราน“ฉันบอกว่าฉันสบายดีนี่คะ ทำไมฉันต้องไปหาหมอด้วย”
“ผมไม่สบายใจถ้าคุณไม่ไปหาหมอ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อคิดว่าภรรยาของเขาอุ้มท้องไปไต้หวันคนเดียวและไม่มีใครดูแลเธอ
ในที่สุดหลินม่ายก็ถูกฟางจั๋วหรานลากไปโรงพยาบาล แพทย์จากแผนกสูตินรีเวชของแผนกผู้ป่วยในได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงปล่อยให้เธอไปทำงานที่เมืองหลวง
ธุรกิจทั้งหมดในสำนักงานปักกิ่งได้รับการจัดการอย่างดีโดยผู้จัดการซุน
ตลาดผักสองแห่งซึ่งเปลี่ยนจากตลาดฮุ่ยหมินเป็นตลาดฝูตัวตัวที่ทังอี้รับผิดชอบ ก็ไปได้ดี
นอกจากนี้เขายังเลือกผู้จัดการตลาดสองแห่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการของเขา
เขารายงานกับหลินม่ายว่า ชาวสวนผักจำนวนมากในเขตชานเมืองของเมืองหลวงได้ปลูกผักเรือนกระจกในเดือนกันยายนและตุลาคมปีนี้
แต่พวกเขามีตลาดเพียงสามแห่ง และพวกเขาไม่สามารถซื้อผักในเรือนกระจกมากมายขนาดนี้ได้
ทังอี้ต้องการเปิดตลาดมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเหลือชาวสวนผักมากขึ้น
หลินม่ายได้เห็นงบการเงินของตลาดทั้งสองแห่งแล้ว จึงเลื่อนตำแหน่งให้ทังอี้เป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดฝูตัวตัวทันที ปล่อยให้เขาจัดการธุรกิจการเปิดตลาดผักอีกสองสามแห่ง
แต่ขอให้เขาจำไว้ว่า ผลกำไรต้องมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และการช่วยเหลือเกษตรกรในเขตชานเมืองของเมืองหลวงเป็นเพียงเรื่องของความสะดวกสบาย อย่าวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้า
ทังอี้พยักหน้า “รับทราบครับ”
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หากไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน
การประชุมในวันอาทิตย์ตรงกับวันว่างของหลินม่าย โดยปกติแล้วเธอต้องไปมหาวิทยาลัย ดังนั้นเธอจึงมีเวลาจัดการบริษัทในวันอาทิตย์เท่านั้น
ดังนั้นหลังการประชุม ทุกคนสามารถกลับบ้านได้
แต่ทังอี้ไม่ได้กลับบ้าน กลับไปตรวจสอบตลาดทั้งสามแห่งแทน
หลินม่ายไว้วางใจเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาต้องทำให้ดี
หลังจากเดินตรวจตลาดทั้งสามแห่งก็เป็นเวลาเที่ยงวัน
ทังอี้ไปยังร้านหลู่ไช่ริมถนนเพื่อซื้อผักตุ๋นที่ภรรยาของเขาชอบกิน และขี่จักรยานของเขาอย่างรวดเร็วตลอดทางกลับบ้าน
เมื่อภรรยาเห็นเขาก็พลันเอ่ยถ่าม “ทำไมคุณกลับมาช้าจัง?”
ทังอี้ยื่นหลู่ไช่ที่เขาซื้อมาให้หล่อน “นี่ไม่ใช่หลู่ไช่ที่คุณอยากกินหรอกเหรอ?”
เมื่อภรรยาของเขาได้เห็นหลู่ไช่ที่ทังอี้นำมา หล่อนก็รู้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมีราคาแพง จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมถึงซื้อหลู่ไช่มามากมายขนาดนี้ สิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”
ทังอี้กำลังหยอกล้อลูกชายของเขาในเปล
ลูกชายของเค้ามีอายุเกือบหนึ่งขวบแล้ว เมื่อถูกแกล้งหรือหยอกล้อก็มักจะหัวเราะคิกคักเสียงดัง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูด เขาก็พูดไม่ออก “ การดูแลลูกและดูแลบ้านด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย ผมซื้อผักตุ๋นที่คุณชอบมาให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จะเรียกว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ได้ยังไง?”
ภรรยาของเขาหยุดพูดและนำอาหารออกมาจากครัว
ทังอี้รีบล้างมือและนั่งลงที่โต๊ะอาหารเย็นเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ภรรยาอุ้มลูกวัยแบเบาะมานั่งตรงข้ามเขาเพื่อรับประทานอาหาร
หล่อนป้อนไข่ตุ๋นให้ทารกน้อยหนึ่งคำ จากนั้นจึงคีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งเข้าปาก และถามทังอี้ว่าเขาจ่ายค่าเนื้อตุ๋นและหลู่ไช่ไปมากเพียงใด
ทังอี้กำลังจะบอกข่าวดีเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งของเขาให้กับภรรยาฟัง
แต่เมื่อได้ยินคำถามของภรรยา เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
ภรรยาได้รู้ก็ยิ่งต่อว่าเขา กล่าวหาว่าเขาใช้เงินสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็เทศนาไปหนึ่งยกว่าเป็นแบบนี้จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร
ทังอี้รอให้ภรรยาของเขาต่อว่าจนพอใจ จากนั้นจึงบอกข่าวดีกับภรรยาว่า เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดผักตลาดฝูตัวตัว
เขายังบอกหล่อนด้วยว่าหลังจากที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมหลายสิบหยวนทุกเดือน
ดังนั้นแน่นอนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับเขา ไม่จำเป็นต้องมัธยัสถ์เหมือนที่ผ่านมา
ภรรยามองเขาอย่างว่างเปล่าและไม่พูดอะไร
ทังอี้เลิกคิ้วและพูดด้วยความโมโห “ผมบอกคุณแล้วว่าคุณหลินไม่มีทางเอาเปรียบลูกน้อง คุณอาจจะบอกว่าหล่อนเอาเปรียบและกลั่นแกล้งผม หล่อนรังแกผมตรงไหน? หล่อนแค่ทดสอบผมก็เท่านั้น พอผมจัดการตลาดทั้งสองได้ดี คุณหลินก็ทำการส่งเสริมและมอบโอกาสที่ดีให้กับผม”
เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความภาคภูมิใจ รอคอยคำชมเชยจากภรรยา
ภรรยายังคงเอ่ยวาจาขมขื่น “ คุณเป็นคนมีความสามารถ ก็สมควรที่คุณหลินจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณไม่ใช่เหรอ? คุณเองก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัข พอเจ้านายโยนกระดูกมาให้ คุณก็คาบกินแล้วเพลิดเพลินกับความสุขนั้นเหมือนคนงี่เง่า!
คำถากถางของภรรยาราวกับน้ำเย็นหนึ่งอ่างราดลงบนหัวของทังอี้ ทำให้เขาไม่อยากรับประทานอาหารเย็นอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจว่าการที่ภรรยาจะยกย่องหรือชมเชยเขาเป็นเรื่องยากสำหรับหล่อนถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
…
หลังเสร็จการประชุม หลินม่ายก็กลับบ้าน
ท้องอันใหญ่โตทำให้เธอเคลื่อนไหวลำบากมากกว่าตอนที่ยังท้องไม่ใหญ่
เธอเพิ่งไปพบแพทย์และมีการประชุม จากนั้นจึงกลับมานอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
น้าถูเดินเข้ามาพร้อมโจ๊กรังนกชามหนึ่งแล้วขอให้หลินม่ายดื่มขณะยังร้อนอยู่
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะดื่ม “ไปเอารังนกมาจากที่ไหนคะ?”
ในยุคที่สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่งจะมีการปรับราคาสูงขึ้น อาหารเสริมเช่นรังนกก็หาซื้อได้ไม่ง่ายนัก
หลินม่ายไม่ซื้อเพราะไม่มีรังนกราคาถูกพอจะจับจ่ายได้
น้าถูกล่าว “มีคนมอบรังนกนี้ให้น้ามา คุณนายบอกว่าไม่ต้องการอาหารเสริม จึงขอให้น้าตุ๋นให้คุณกิน โดยบอกว่าคุณท้องและต้องการอาหารเสริม”
หัวใจของหลินม่ายรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินว่าเธอตั้งครรภ์ และทั้งครอบครัวมองว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า
หลังจากดื่มรังนกแล้ว หลินม่ายก็นอนลงอีกครั้งเพื่อพักผ่อน
โทรศัพท์ข้างเตียงพลันดังขึ้น
หลินม่ายรับสายในขณะที่นอนอยู่บนเตียง
เป็นสายมาจากเถาจืออวิ๋น หล่อนโทรมาเพื่อถามหลินม่ายว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้สวมชุดที่หล่อนออกแบบเข้าร่วมงานประกาศรางวัล
หลินม่ายตอบเธอด้วยคำห้าคำ “สะดุดตามากเลย”
จากนั้นเธอจึงเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่บอกฉันว่าชุดนั้นได้รับรางวัลรองชนะเลิศในเทศกาลแฟชั่นมิลานล่ะคะ?”
“ก็เพราะลืมน่ะสิ จะมีเหตุผลอะไรอีก”
หลินม่ายพูดไม่ออก และเถาจืออวิ๋นก็ไม่ได้จริงจังกับรางวัลนั้นมากนัก
หลินม่ายถาม “เป็นเรื่องยากมากเชียวนะที่จะได้รับรางวัลจากเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลาน พี่ทำได้ยังไง?”
“เพราะคำแนะนำของโรงเรียน” เถาจืออวิ๋นตอบอย่างเย่อหยิ่ง
เถาจืออวิ๋นยังบอกเธอด้วยว่า หลังจากคว้ารางวัลรองชนะเลิศจากงานเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลานและได้รับโบนัสก้อนโต ครอบครัวทั้งสามคนก็ย้ายออกจากห้องใต้ดินและไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์
หล่อนรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงแดดฉายลอดเข้ามาในห้อง
จากนั้นหลินม่ายจึงถามซุบซิบว่า ชายที่ชื่ออับราฮัมได้สารภาพรักกับหล่อนหรือไม่?
เถาจืออวิ๋นกล่าว “เขาสารภาพตรงไปตรงมามาก”
“แล้วพี่ตอบไปว่ายังไง?”
“แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ!”
แม้หลินม่ายจะไม่เคยพบกับอับราฮัมด้วยตัวเอง แต่หลินม่ายก็กลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะถูกหลอก จึงขอให้คนตรวจสอบอับราฮัม และเมื่อเห็นรูปถ่ายของเขาก็พลันรับรู้ว่าเขาหล่อมาก และคุณสมบัติส่วนตัวของเขาก็ดีเช่นกัน
เขาช่างเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม แต่เถาจืออวิ๋นไม่ชอบเขา แสดงว่าหล่อนยังมีฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ในใจสินะ?
หลินม่ายไม่รู้เรื่องอารมณ์ความสัมพันธ์มากนัก เธอจึงไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง
เมื่อเธอกำลังจะวางสาย จู่ ๆ เถาจืออวิ๋นก็พลันเอ่ยขึ้น “ม่ายจื่อ ฉันเจอคนรู้จักในมิลาน”
หลินม่ายยิ้ม “ถือเป็นเรื่องบังเอิญมากนะ พี่ซื้อลอตเตอรี่ได้เลยนะนี่”
ในยุคนี้ไม่ค่อยมีใครไปเรียนต่อต่างประเทศ และผู้คนที่ไปอิตาลีเพื่อเรียนต่อก็น้อยลง
โอกาสที่เถาจืออวิ๋นจะพบคนรู้จักในอิตาลีนั้นไม่ได้สูงกว่าโอกาสในการถูกลอตเตอรี่มากนัก
เธอถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ พี่เจอใครเหรอ?”
“กู่เยี่ยน คนที่เธอเคยยกย่องมาตลอดไงล่ะ ยังจำหล่อนได้ไหม?”
“จำได้” หลินม่ายจำผู้หญิงคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสูงหรือรูปร่างหน้าตาที่พิเศษของหล่อน แต่เป็นเพราะการพัฒนาตนเองของหล่อน
กู่เยี่ยนมาจากชนบท เรียนไม่จบชั้นประถมและไม่มีการศึกษา แต่กลับไปอิตาลีเพื่อไล่ตามความฝันของหล่อน
ถึงกระนั้นหลินม่ายก็ยังประหลาดใจมาก และถามเถาจืออวิ๋น “หล่อนไปอิตาลีได้อย่างไร? แล้วหล่อนเป็นอย่างไรบ้างในอิตาลี?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เถาจืออวิ๋นกำลังดื่มกาแฟ “หล่อนเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก ตอนแรกไม่รู้ภาษาอิตาลีสักคำ กลับกล้าที่จะผจญภัยในอิตาลี
ที่สำคัญคือ ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจเรียนมาก หล่อนมาเร็วกว่าฉันเพียงสองเดือน แต่ก็สื่อสารกับชาวบ้านได้แล้ว แต่เรื่องการงานของหล่อนในอิตาลีไปได้ไม่สวยนัก โมเดลลิ่งหลายแห่งชอบใช้นางแบบผิวขาว น้อยคนนักที่จะใช้นางแบบผิวเหลือง”
หลินม่ายกล่าว “พี่กับกู่เยี่ยนมาจากประเทศจีนทั้งคู่ และอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ หากช่วยอะไรหล่อนได้ก็ช่วยเถอะนะ คิดเสียว่าช่วยคนบ้านเดียวกัน สิ่งที่ฉันหมายถึงคือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การให้เงินหล่อน แต่เป็นการช่วยเหลือในอาชีพการงานของหล่อนน่ะ”
“เข้าใจแล้ว สอนคนตกปลาดีกว่ายื่นปลาให้พวกเขา ฉันเข้าใจความจริงข้อนี้อยู่ล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ภรรยาทังอี้นี่แปลกๆ นะ ไม่เคยชมสามีตัวเองเลยเหรอ ถ้าวันหนึ่งต้องหย่ากันก็ไม่แปลกใจล่ะ
กู่เยี่ยนแข็งแกร่งมาก อยู่อิตาลีทั้งที่สกิลภาษาเป็นศูนย์จนกระทั่งพูดกับคนโลคอลได้อะ
ไหหม่า(海馬)ตอนที่ 849 สายจากสหายสาว
ปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว สามีคิดว่าเธอกำลังลำบากใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายกินเกี๊ยวน้ำซุปไก่ที่น้าถูทำอย่างมีความสุข และหลังจากเช็ดปากด้วยทิชชู เธอได้ยินฟางจั๋วหรานบอกว่าจะพาเธอไปหาหมอ
หลินม่ายต้องการไปเมืองหลวงเพื่อประชุมในวันนี้ แต่ไม่อยากไปโรงพยาบาล
เธอทำตัวเหมือนเด็กและกล่าวต่อฟางจั๋วหราน“ฉันบอกว่าฉันสบายดีนี่คะ ทำไมฉันต้องไปหาหมอด้วย”
“ผมไม่สบายใจถ้าคุณไม่ไปหาหมอ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อคิดว่าภรรยาของเขาอุ้มท้องไปไต้หวันคนเดียวและไม่มีใครดูแลเธอ
ในที่สุดหลินม่ายก็ถูกฟางจั๋วหรานลากไปโรงพยาบาล แพทย์จากแผนกสูตินรีเวชของแผนกผู้ป่วยในได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงปล่อยให้เธอไปทำงานที่เมืองหลวง
ธุรกิจทั้งหมดในสำนักงานปักกิ่งได้รับการจัดการอย่างดีโดยผู้จัดการซุน
ตลาดผักสองแห่งซึ่งเปลี่ยนจากตลาดฮุ่ยหมินเป็นตลาดฝูตัวตัวที่ทังอี้รับผิดชอบ ก็ไปได้ดี
นอกจากนี้เขายังเลือกผู้จัดการตลาดสองแห่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการของเขา
เขารายงานกับหลินม่ายว่า ชาวสวนผักจำนวนมากในเขตชานเมืองของเมืองหลวงได้ปลูกผักเรือนกระจกในเดือนกันยายนและตุลาคมปีนี้
แต่พวกเขามีตลาดเพียงสามแห่ง และพวกเขาไม่สามารถซื้อผักในเรือนกระจกมากมายขนาดนี้ได้
ทังอี้ต้องการเปิดตลาดมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเหลือชาวสวนผักมากขึ้น
หลินม่ายได้เห็นงบการเงินของตลาดทั้งสองแห่งแล้ว จึงเลื่อนตำแหน่งให้ทังอี้เป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดฝูตัวตัวทันที ปล่อยให้เขาจัดการธุรกิจการเปิดตลาดผักอีกสองสามแห่ง
แต่ขอให้เขาจำไว้ว่า ผลกำไรต้องมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และการช่วยเหลือเกษตรกรในเขตชานเมืองของเมืองหลวงเป็นเพียงเรื่องของความสะดวกสบาย อย่าวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้า
ทังอี้พยักหน้า “รับทราบครับ”
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หากไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน
การประชุมในวันอาทิตย์ตรงกับวันว่างของหลินม่าย โดยปกติแล้วเธอต้องไปมหาวิทยาลัย ดังนั้นเธอจึงมีเวลาจัดการบริษัทในวันอาทิตย์เท่านั้น
ดังนั้นหลังการประชุม ทุกคนสามารถกลับบ้านได้
แต่ทังอี้ไม่ได้กลับบ้าน กลับไปตรวจสอบตลาดทั้งสามแห่งแทน
หลินม่ายไว้วางใจเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาต้องทำให้ดี
หลังจากเดินตรวจตลาดทั้งสามแห่งก็เป็นเวลาเที่ยงวัน
ทังอี้ไปยังร้านหลู่ไช่ริมถนนเพื่อซื้อผักตุ๋นที่ภรรยาของเขาชอบกิน และขี่จักรยานของเขาอย่างรวดเร็วตลอดทางกลับบ้าน
เมื่อภรรยาเห็นเขาก็พลันเอ่ยถ่าม “ทำไมคุณกลับมาช้าจัง?”
ทังอี้ยื่นหลู่ไช่ที่เขาซื้อมาให้หล่อน “นี่ไม่ใช่หลู่ไช่ที่คุณอยากกินหรอกเหรอ?”
เมื่อภรรยาของเขาได้เห็นหลู่ไช่ที่ทังอี้นำมา หล่อนก็รู้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมีราคาแพง จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมถึงซื้อหลู่ไช่มามากมายขนาดนี้ สิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”
ทังอี้กำลังหยอกล้อลูกชายของเขาในเปล
ลูกชายของเค้ามีอายุเกือบหนึ่งขวบแล้ว เมื่อถูกแกล้งหรือหยอกล้อก็มักจะหัวเราะคิกคักเสียงดัง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูด เขาก็พูดไม่ออก “ การดูแลลูกและดูแลบ้านด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย ผมซื้อผักตุ๋นที่คุณชอบมาให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จะเรียกว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ได้ยังไง?”
ภรรยาของเขาหยุดพูดและนำอาหารออกมาจากครัว
ทังอี้รีบล้างมือและนั่งลงที่โต๊ะอาหารเย็นเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ภรรยาอุ้มลูกวัยแบเบาะมานั่งตรงข้ามเขาเพื่อรับประทานอาหาร
หล่อนป้อนไข่ตุ๋นให้ทารกน้อยหนึ่งคำ จากนั้นจึงคีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งเข้าปาก และถามทังอี้ว่าเขาจ่ายค่าเนื้อตุ๋นและหลู่ไช่ไปมากเพียงใด
ทังอี้กำลังจะบอกข่าวดีเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งของเขาให้กับภรรยาฟัง
แต่เมื่อได้ยินคำถามของภรรยา เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
ภรรยาได้รู้ก็ยิ่งต่อว่าเขา กล่าวหาว่าเขาใช้เงินสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็เทศนาไปหนึ่งยกว่าเป็นแบบนี้จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร
ทังอี้รอให้ภรรยาของเขาต่อว่าจนพอใจ จากนั้นจึงบอกข่าวดีกับภรรยาว่า เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดผักตลาดฝูตัวตัว
เขายังบอกหล่อนด้วยว่าหลังจากที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมหลายสิบหยวนทุกเดือน
ดังนั้นแน่นอนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับเขา ไม่จำเป็นต้องมัธยัสถ์เหมือนที่ผ่านมา
ภรรยามองเขาอย่างว่างเปล่าและไม่พูดอะไร
ทังอี้เลิกคิ้วและพูดด้วยความโมโห “ผมบอกคุณแล้วว่าคุณหลินไม่มีทางเอาเปรียบลูกน้อง คุณอาจจะบอกว่าหล่อนเอาเปรียบและกลั่นแกล้งผม หล่อนรังแกผมตรงไหน? หล่อนแค่ทดสอบผมก็เท่านั้น พอผมจัดการตลาดทั้งสองได้ดี คุณหลินก็ทำการส่งเสริมและมอบโอกาสที่ดีให้กับผม”
เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความภาคภูมิใจ รอคอยคำชมเชยจากภรรยา
ภรรยายังคงเอ่ยวาจาขมขื่น “ คุณเป็นคนมีความสามารถ ก็สมควรที่คุณหลินจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณไม่ใช่เหรอ? คุณเองก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัข พอเจ้านายโยนกระดูกมาให้ คุณก็คาบกินแล้วเพลิดเพลินกับความสุขนั้นเหมือนคนงี่เง่า!
คำถากถางของภรรยาราวกับน้ำเย็นหนึ่งอ่างราดลงบนหัวของทังอี้ ทำให้เขาไม่อยากรับประทานอาหารเย็นอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจว่าการที่ภรรยาจะยกย่องหรือชมเชยเขาเป็นเรื่องยากสำหรับหล่อนถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
…
หลังเสร็จการประชุม หลินม่ายก็กลับบ้าน
ท้องอันใหญ่โตทำให้เธอเคลื่อนไหวลำบากมากกว่าตอนที่ยังท้องไม่ใหญ่
เธอเพิ่งไปพบแพทย์และมีการประชุม จากนั้นจึงกลับมานอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
น้าถูเดินเข้ามาพร้อมโจ๊กรังนกชามหนึ่งแล้วขอให้หลินม่ายดื่มขณะยังร้อนอยู่
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะดื่ม “ไปเอารังนกมาจากที่ไหนคะ?”
ในยุคที่สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่งจะมีการปรับราคาสูงขึ้น อาหารเสริมเช่นรังนกก็หาซื้อได้ไม่ง่ายนัก
หลินม่ายไม่ซื้อเพราะไม่มีรังนกราคาถูกพอจะจับจ่ายได้
น้าถูกล่าว “มีคนมอบรังนกนี้ให้น้ามา คุณนายบอกว่าไม่ต้องการอาหารเสริม จึงขอให้น้าตุ๋นให้คุณกิน โดยบอกว่าคุณท้องและต้องการอาหารเสริม”
หัวใจของหลินม่ายรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินว่าเธอตั้งครรภ์ และทั้งครอบครัวมองว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า
หลังจากดื่มรังนกแล้ว หลินม่ายก็นอนลงอีกครั้งเพื่อพักผ่อน
โทรศัพท์ข้างเตียงพลันดังขึ้น
หลินม่ายรับสายในขณะที่นอนอยู่บนเตียง
เป็นสายมาจากเถาจืออวิ๋น หล่อนโทรมาเพื่อถามหลินม่ายว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้สวมชุดที่หล่อนออกแบบเข้าร่วมงานประกาศรางวัล
หลินม่ายตอบเธอด้วยคำห้าคำ “สะดุดตามากเลย”
จากนั้นเธอจึงเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่บอกฉันว่าชุดนั้นได้รับรางวัลรองชนะเลิศในเทศกาลแฟชั่นมิลานล่ะคะ?”
“ก็เพราะลืมน่ะสิ จะมีเหตุผลอะไรอีก”
หลินม่ายพูดไม่ออก และเถาจืออวิ๋นก็ไม่ได้จริงจังกับรางวัลนั้นมากนัก
หลินม่ายถาม “เป็นเรื่องยากมากเชียวนะที่จะได้รับรางวัลจากเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลาน พี่ทำได้ยังไง?”
“เพราะคำแนะนำของโรงเรียน” เถาจืออวิ๋นตอบอย่างเย่อหยิ่ง
เถาจืออวิ๋นยังบอกเธอด้วยว่า หลังจากคว้ารางวัลรองชนะเลิศจากงานเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลานและได้รับโบนัสก้อนโต ครอบครัวทั้งสามคนก็ย้ายออกจากห้องใต้ดินและไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์
หล่อนรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงแดดฉายลอดเข้ามาในห้อง
จากนั้นหลินม่ายจึงถามซุบซิบว่า ชายที่ชื่ออับราฮัมได้สารภาพรักกับหล่อนหรือไม่?
เถาจืออวิ๋นกล่าว “เขาสารภาพตรงไปตรงมามาก”
“แล้วพี่ตอบไปว่ายังไง?”
“แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ!”
แม้หลินม่ายจะไม่เคยพบกับอับราฮัมด้วยตัวเอง แต่หลินม่ายก็กลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะถูกหลอก จึงขอให้คนตรวจสอบอับราฮัม และเมื่อเห็นรูปถ่ายของเขาก็พลันรับรู้ว่าเขาหล่อมาก และคุณสมบัติส่วนตัวของเขาก็ดีเช่นกัน
เขาช่างเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม แต่เถาจืออวิ๋นไม่ชอบเขา แสดงว่าหล่อนยังมีฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ในใจสินะ?
หลินม่ายไม่รู้เรื่องอารมณ์ความสัมพันธ์มากนัก เธอจึงไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง
เมื่อเธอกำลังจะวางสาย จู่ ๆ เถาจืออวิ๋นก็พลันเอ่ยขึ้น “ม่ายจื่อ ฉันเจอคนรู้จักในมิลาน”
หลินม่ายยิ้ม “ถือเป็นเรื่องบังเอิญมากนะ พี่ซื้อลอตเตอรี่ได้เลยนะนี่”
ในยุคนี้ไม่ค่อยมีใครไปเรียนต่อต่างประเทศ และผู้คนที่ไปอิตาลีเพื่อเรียนต่อก็น้อยลง
โอกาสที่เถาจืออวิ๋นจะพบคนรู้จักในอิตาลีนั้นไม่ได้สูงกว่าโอกาสในการถูกลอตเตอรี่มากนัก
เธอถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ พี่เจอใครเหรอ?”
“กู่เยี่ยน คนที่เธอเคยยกย่องมาตลอดไงล่ะ ยังจำหล่อนได้ไหม?”
“จำได้” หลินม่ายจำผู้หญิงคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสูงหรือรูปร่างหน้าตาที่พิเศษของหล่อน แต่เป็นเพราะการพัฒนาตนเองของหล่อน
กู่เยี่ยนมาจากชนบท เรียนไม่จบชั้นประถมและไม่มีการศึกษา แต่กลับไปอิตาลีเพื่อไล่ตามความฝันของหล่อน
ถึงกระนั้นหลินม่ายก็ยังประหลาดใจมาก และถามเถาจืออวิ๋น “หล่อนไปอิตาลีได้อย่างไร? แล้วหล่อนเป็นอย่างไรบ้างในอิตาลี?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เถาจืออวิ๋นกำลังดื่มกาแฟ “หล่อนเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก ตอนแรกไม่รู้ภาษาอิตาลีสักคำ กลับกล้าที่จะผจญภัยในอิตาลี
ที่สำคัญคือ ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจเรียนมาก หล่อนมาเร็วกว่าฉันเพียงสองเดือน แต่ก็สื่อสารกับชาวบ้านได้แล้ว แต่เรื่องการงานของหล่อนในอิตาลีไปได้ไม่สวยนัก โมเดลลิ่งหลายแห่งชอบใช้นางแบบผิวขาว น้อยคนนักที่จะใช้นางแบบผิวเหลือง”
หลินม่ายกล่าว “พี่กับกู่เยี่ยนมาจากประเทศจีนทั้งคู่ และอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ หากช่วยอะไรหล่อนได้ก็ช่วยเถอะนะ คิดเสียว่าช่วยคนบ้านเดียวกัน สิ่งที่ฉันหมายถึงคือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การให้เงินหล่อน แต่เป็นการช่วยเหลือในอาชีพการงานของหล่อนน่ะ”
“เข้าใจแล้ว สอนคนตกปลาดีกว่ายื่นปลาให้พวกเขา ฉันเข้าใจความจริงข้อนี้อยู่ล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ภรรยาทังอี้นี่แปลกๆ นะ ไม่เคยชมสามีตัวเองเลยเหรอ ถ้าวันหนึ่งต้องหย่ากันก็ไม่แปลกใจล่ะ
กู่เยี่ยนแข็งแกร่งมาก อยู่อิตาลีทั้งที่สกิลภาษาเป็นศูนย์จนกระทั่งพูดกับคนโลคอลได้อะ
ไหหม่า(海馬)ตอนที่ 849 สายจากสหายสาว
ปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว สามีคิดว่าเธอกำลังลำบากใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายกินเกี๊ยวน้ำซุปไก่ที่น้าถูทำอย่างมีความสุข และหลังจากเช็ดปากด้วยทิชชู เธอได้ยินฟางจั๋วหรานบอกว่าจะพาเธอไปหาหมอ
หลินม่ายต้องการไปเมืองหลวงเพื่อประชุมในวันนี้ แต่ไม่อยากไปโรงพยาบาล
เธอทำตัวเหมือนเด็กและกล่าวต่อฟางจั๋วหราน“ฉันบอกว่าฉันสบายดีนี่คะ ทำไมฉันต้องไปหาหมอด้วย”
“ผมไม่สบายใจถ้าคุณไม่ไปหาหมอ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อคิดว่าภรรยาของเขาอุ้มท้องไปไต้หวันคนเดียวและไม่มีใครดูแลเธอ
ในที่สุดหลินม่ายก็ถูกฟางจั๋วหรานลากไปโรงพยาบาล แพทย์จากแผนกสูตินรีเวชของแผนกผู้ป่วยในได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงปล่อยให้เธอไปทำงานที่เมืองหลวง
ธุรกิจทั้งหมดในสำนักงานปักกิ่งได้รับการจัดการอย่างดีโดยผู้จัดการซุน
ตลาดผักสองแห่งซึ่งเปลี่ยนจากตลาดฮุ่ยหมินเป็นตลาดฝูตัวตัวที่ทังอี้รับผิดชอบ ก็ไปได้ดี
นอกจากนี้เขายังเลือกผู้จัดการตลาดสองแห่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการของเขา
เขารายงานกับหลินม่ายว่า ชาวสวนผักจำนวนมากในเขตชานเมืองของเมืองหลวงได้ปลูกผักเรือนกระจกในเดือนกันยายนและตุลาคมปีนี้
แต่พวกเขามีตลาดเพียงสามแห่ง และพวกเขาไม่สามารถซื้อผักในเรือนกระจกมากมายขนาดนี้ได้
ทังอี้ต้องการเปิดตลาดมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเหลือชาวสวนผักมากขึ้น
หลินม่ายได้เห็นงบการเงินของตลาดทั้งสองแห่งแล้ว จึงเลื่อนตำแหน่งให้ทังอี้เป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดฝูตัวตัวทันที ปล่อยให้เขาจัดการธุรกิจการเปิดตลาดผักอีกสองสามแห่ง
แต่ขอให้เขาจำไว้ว่า ผลกำไรต้องมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และการช่วยเหลือเกษตรกรในเขตชานเมืองของเมืองหลวงเป็นเพียงเรื่องของความสะดวกสบาย อย่าวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้า
ทังอี้พยักหน้า “รับทราบครับ”
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หากไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน
การประชุมในวันอาทิตย์ตรงกับวันว่างของหลินม่าย โดยปกติแล้วเธอต้องไปมหาวิทยาลัย ดังนั้นเธอจึงมีเวลาจัดการบริษัทในวันอาทิตย์เท่านั้น
ดังนั้นหลังการประชุม ทุกคนสามารถกลับบ้านได้
แต่ทังอี้ไม่ได้กลับบ้าน กลับไปตรวจสอบตลาดทั้งสามแห่งแทน
หลินม่ายไว้วางใจเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาต้องทำให้ดี
หลังจากเดินตรวจตลาดทั้งสามแห่งก็เป็นเวลาเที่ยงวัน
ทังอี้ไปยังร้านหลู่ไช่ริมถนนเพื่อซื้อผักตุ๋นที่ภรรยาของเขาชอบกิน และขี่จักรยานของเขาอย่างรวดเร็วตลอดทางกลับบ้าน
เมื่อภรรยาเห็นเขาก็พลันเอ่ยถ่าม “ทำไมคุณกลับมาช้าจัง?”
ทังอี้ยื่นหลู่ไช่ที่เขาซื้อมาให้หล่อน “นี่ไม่ใช่หลู่ไช่ที่คุณอยากกินหรอกเหรอ?”
เมื่อภรรยาของเขาได้เห็นหลู่ไช่ที่ทังอี้นำมา หล่อนก็รู้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมีราคาแพง จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมถึงซื้อหลู่ไช่มามากมายขนาดนี้ สิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”
ทังอี้กำลังหยอกล้อลูกชายของเขาในเปล
ลูกชายของเค้ามีอายุเกือบหนึ่งขวบแล้ว เมื่อถูกแกล้งหรือหยอกล้อก็มักจะหัวเราะคิกคักเสียงดัง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูด เขาก็พูดไม่ออก “ การดูแลลูกและดูแลบ้านด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย ผมซื้อผักตุ๋นที่คุณชอบมาให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จะเรียกว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ได้ยังไง?”
ภรรยาของเขาหยุดพูดและนำอาหารออกมาจากครัว
ทังอี้รีบล้างมือและนั่งลงที่โต๊ะอาหารเย็นเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ภรรยาอุ้มลูกวัยแบเบาะมานั่งตรงข้ามเขาเพื่อรับประทานอาหาร
หล่อนป้อนไข่ตุ๋นให้ทารกน้อยหนึ่งคำ จากนั้นจึงคีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งเข้าปาก และถามทังอี้ว่าเขาจ่ายค่าเนื้อตุ๋นและหลู่ไช่ไปมากเพียงใด
ทังอี้กำลังจะบอกข่าวดีเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งของเขาให้กับภรรยาฟัง
แต่เมื่อได้ยินคำถามของภรรยา เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
ภรรยาได้รู้ก็ยิ่งต่อว่าเขา กล่าวหาว่าเขาใช้เงินสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็เทศนาไปหนึ่งยกว่าเป็นแบบนี้จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร
ทังอี้รอให้ภรรยาของเขาต่อว่าจนพอใจ จากนั้นจึงบอกข่าวดีกับภรรยาว่า เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดผักตลาดฝูตัวตัว
เขายังบอกหล่อนด้วยว่าหลังจากที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมหลายสิบหยวนทุกเดือน
ดังนั้นแน่นอนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับเขา ไม่จำเป็นต้องมัธยัสถ์เหมือนที่ผ่านมา
ภรรยามองเขาอย่างว่างเปล่าและไม่พูดอะไร
ทังอี้เลิกคิ้วและพูดด้วยความโมโห “ผมบอกคุณแล้วว่าคุณหลินไม่มีทางเอาเปรียบลูกน้อง คุณอาจจะบอกว่าหล่อนเอาเปรียบและกลั่นแกล้งผม หล่อนรังแกผมตรงไหน? หล่อนแค่ทดสอบผมก็เท่านั้น พอผมจัดการตลาดทั้งสองได้ดี คุณหลินก็ทำการส่งเสริมและมอบโอกาสที่ดีให้กับผม”
เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความภาคภูมิใจ รอคอยคำชมเชยจากภรรยา
ภรรยายังคงเอ่ยวาจาขมขื่น “ คุณเป็นคนมีความสามารถ ก็สมควรที่คุณหลินจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณไม่ใช่เหรอ? คุณเองก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัข พอเจ้านายโยนกระดูกมาให้ คุณก็คาบกินแล้วเพลิดเพลินกับความสุขนั้นเหมือนคนงี่เง่า!
คำถากถางของภรรยาราวกับน้ำเย็นหนึ่งอ่างราดลงบนหัวของทังอี้ ทำให้เขาไม่อยากรับประทานอาหารเย็นอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจว่าการที่ภรรยาจะยกย่องหรือชมเชยเขาเป็นเรื่องยากสำหรับหล่อนถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
…
หลังเสร็จการประชุม หลินม่ายก็กลับบ้าน
ท้องอันใหญ่โตทำให้เธอเคลื่อนไหวลำบากมากกว่าตอนที่ยังท้องไม่ใหญ่
เธอเพิ่งไปพบแพทย์และมีการประชุม จากนั้นจึงกลับมานอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
น้าถูเดินเข้ามาพร้อมโจ๊กรังนกชามหนึ่งแล้วขอให้หลินม่ายดื่มขณะยังร้อนอยู่
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะดื่ม “ไปเอารังนกมาจากที่ไหนคะ?”
ในยุคที่สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่งจะมีการปรับราคาสูงขึ้น อาหารเสริมเช่นรังนกก็หาซื้อได้ไม่ง่ายนัก
หลินม่ายไม่ซื้อเพราะไม่มีรังนกราคาถูกพอจะจับจ่ายได้
น้าถูกล่าว “มีคนมอบรังนกนี้ให้น้ามา คุณนายบอกว่าไม่ต้องการอาหารเสริม จึงขอให้น้าตุ๋นให้คุณกิน โดยบอกว่าคุณท้องและต้องการอาหารเสริม”
หัวใจของหลินม่ายรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินว่าเธอตั้งครรภ์ และทั้งครอบครัวมองว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า
หลังจากดื่มรังนกแล้ว หลินม่ายก็นอนลงอีกครั้งเพื่อพักผ่อน
โทรศัพท์ข้างเตียงพลันดังขึ้น
หลินม่ายรับสายในขณะที่นอนอยู่บนเตียง
เป็นสายมาจากเถาจืออวิ๋น หล่อนโทรมาเพื่อถามหลินม่ายว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้สวมชุดที่หล่อนออกแบบเข้าร่วมงานประกาศรางวัล
หลินม่ายตอบเธอด้วยคำห้าคำ “สะดุดตามากเลย”
จากนั้นเธอจึงเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่บอกฉันว่าชุดนั้นได้รับรางวัลรองชนะเลิศในเทศกาลแฟชั่นมิลานล่ะคะ?”
“ก็เพราะลืมน่ะสิ จะมีเหตุผลอะไรอีก”
หลินม่ายพูดไม่ออก และเถาจืออวิ๋นก็ไม่ได้จริงจังกับรางวัลนั้นมากนัก
หลินม่ายถาม “เป็นเรื่องยากมากเชียวนะที่จะได้รับรางวัลจากเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลาน พี่ทำได้ยังไง?”
“เพราะคำแนะนำของโรงเรียน” เถาจืออวิ๋นตอบอย่างเย่อหยิ่ง
เถาจืออวิ๋นยังบอกเธอด้วยว่า หลังจากคว้ารางวัลรองชนะเลิศจากงานเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลานและได้รับโบนัสก้อนโต ครอบครัวทั้งสามคนก็ย้ายออกจากห้องใต้ดินและไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์
หล่อนรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงแดดฉายลอดเข้ามาในห้อง
จากนั้นหลินม่ายจึงถามซุบซิบว่า ชายที่ชื่ออับราฮัมได้สารภาพรักกับหล่อนหรือไม่?
เถาจืออวิ๋นกล่าว “เขาสารภาพตรงไปตรงมามาก”
“แล้วพี่ตอบไปว่ายังไง?”
“แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ!”
แม้หลินม่ายจะไม่เคยพบกับอับราฮัมด้วยตัวเอง แต่หลินม่ายก็กลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะถูกหลอก จึงขอให้คนตรวจสอบอับราฮัม และเมื่อเห็นรูปถ่ายของเขาก็พลันรับรู้ว่าเขาหล่อมาก และคุณสมบัติส่วนตัวของเขาก็ดีเช่นกัน
เขาช่างเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม แต่เถาจืออวิ๋นไม่ชอบเขา แสดงว่าหล่อนยังมีฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ในใจสินะ?
หลินม่ายไม่รู้เรื่องอารมณ์ความสัมพันธ์มากนัก เธอจึงไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง
เมื่อเธอกำลังจะวางสาย จู่ ๆ เถาจืออวิ๋นก็พลันเอ่ยขึ้น “ม่ายจื่อ ฉันเจอคนรู้จักในมิลาน”
หลินม่ายยิ้ม “ถือเป็นเรื่องบังเอิญมากนะ พี่ซื้อลอตเตอรี่ได้เลยนะนี่”
ในยุคนี้ไม่ค่อยมีใครไปเรียนต่อต่างประเทศ และผู้คนที่ไปอิตาลีเพื่อเรียนต่อก็น้อยลง
โอกาสที่เถาจืออวิ๋นจะพบคนรู้จักในอิตาลีนั้นไม่ได้สูงกว่าโอกาสในการถูกลอตเตอรี่มากนัก
เธอถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ พี่เจอใครเหรอ?”
“กู่เยี่ยน คนที่เธอเคยยกย่องมาตลอดไงล่ะ ยังจำหล่อนได้ไหม?”
“จำได้” หลินม่ายจำผู้หญิงคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสูงหรือรูปร่างหน้าตาที่พิเศษของหล่อน แต่เป็นเพราะการพัฒนาตนเองของหล่อน
กู่เยี่ยนมาจากชนบท เรียนไม่จบชั้นประถมและไม่มีการศึกษา แต่กลับไปอิตาลีเพื่อไล่ตามความฝันของหล่อน
ถึงกระนั้นหลินม่ายก็ยังประหลาดใจมาก และถามเถาจืออวิ๋น “หล่อนไปอิตาลีได้อย่างไร? แล้วหล่อนเป็นอย่างไรบ้างในอิตาลี?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เถาจืออวิ๋นกำลังดื่มกาแฟ “หล่อนเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก ตอนแรกไม่รู้ภาษาอิตาลีสักคำ กลับกล้าที่จะผจญภัยในอิตาลี
ที่สำคัญคือ ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจเรียนมาก หล่อนมาเร็วกว่าฉันเพียงสองเดือน แต่ก็สื่อสารกับชาวบ้านได้แล้ว แต่เรื่องการงานของหล่อนในอิตาลีไปได้ไม่สวยนัก โมเดลลิ่งหลายแห่งชอบใช้นางแบบผิวขาว น้อยคนนักที่จะใช้นางแบบผิวเหลือง”
หลินม่ายกล่าว “พี่กับกู่เยี่ยนมาจากประเทศจีนทั้งคู่ และอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ หากช่วยอะไรหล่อนได้ก็ช่วยเถอะนะ คิดเสียว่าช่วยคนบ้านเดียวกัน สิ่งที่ฉันหมายถึงคือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การให้เงินหล่อน แต่เป็นการช่วยเหลือในอาชีพการงานของหล่อนน่ะ”
“เข้าใจแล้ว สอนคนตกปลาดีกว่ายื่นปลาให้พวกเขา ฉันเข้าใจความจริงข้อนี้อยู่ล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ภรรยาทังอี้นี่แปลกๆ นะ ไม่เคยชมสามีตัวเองเลยเหรอ ถ้าวันหนึ่งต้องหย่ากันก็ไม่แปลกใจล่ะ
กู่เยี่ยนแข็งแกร่งมาก อยู่อิตาลีทั้งที่สกิลภาษาเป็นศูนย์จนกระทั่งพูดกับคนโลคอลได้อะ
ไหหม่า(海馬)ตอนที่ 849 สายจากสหายสาว
ปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว สามีคิดว่าเธอกำลังลำบากใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายกินเกี๊ยวน้ำซุปไก่ที่น้าถูทำอย่างมีความสุข และหลังจากเช็ดปากด้วยทิชชู เธอได้ยินฟางจั๋วหรานบอกว่าจะพาเธอไปหาหมอ
หลินม่ายต้องการไปเมืองหลวงเพื่อประชุมในวันนี้ แต่ไม่อยากไปโรงพยาบาล
เธอทำตัวเหมือนเด็กและกล่าวต่อฟางจั๋วหราน“ฉันบอกว่าฉันสบายดีนี่คะ ทำไมฉันต้องไปหาหมอด้วย”
“ผมไม่สบายใจถ้าคุณไม่ไปหาหมอ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อคิดว่าภรรยาของเขาอุ้มท้องไปไต้หวันคนเดียวและไม่มีใครดูแลเธอ
ในที่สุดหลินม่ายก็ถูกฟางจั๋วหรานลากไปโรงพยาบาล แพทย์จากแผนกสูตินรีเวชของแผนกผู้ป่วยในได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงปล่อยให้เธอไปทำงานที่เมืองหลวง
ธุรกิจทั้งหมดในสำนักงานปักกิ่งได้รับการจัดการอย่างดีโดยผู้จัดการซุน
ตลาดผักสองแห่งซึ่งเปลี่ยนจากตลาดฮุ่ยหมินเป็นตลาดฝูตัวตัวที่ทังอี้รับผิดชอบ ก็ไปได้ดี
นอกจากนี้เขายังเลือกผู้จัดการตลาดสองแห่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการของเขา
เขารายงานกับหลินม่ายว่า ชาวสวนผักจำนวนมากในเขตชานเมืองของเมืองหลวงได้ปลูกผักเรือนกระจกในเดือนกันยายนและตุลาคมปีนี้
แต่พวกเขามีตลาดเพียงสามแห่ง และพวกเขาไม่สามารถซื้อผักในเรือนกระจกมากมายขนาดนี้ได้
ทังอี้ต้องการเปิดตลาดมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเหลือชาวสวนผักมากขึ้น
หลินม่ายได้เห็นงบการเงินของตลาดทั้งสองแห่งแล้ว จึงเลื่อนตำแหน่งให้ทังอี้เป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดฝูตัวตัวทันที ปล่อยให้เขาจัดการธุรกิจการเปิดตลาดผักอีกสองสามแห่ง
แต่ขอให้เขาจำไว้ว่า ผลกำไรต้องมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และการช่วยเหลือเกษตรกรในเขตชานเมืองของเมืองหลวงเป็นเพียงเรื่องของความสะดวกสบาย อย่าวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้า
ทังอี้พยักหน้า “รับทราบครับ”
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หากไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงาน
การประชุมในวันอาทิตย์ตรงกับวันว่างของหลินม่าย โดยปกติแล้วเธอต้องไปมหาวิทยาลัย ดังนั้นเธอจึงมีเวลาจัดการบริษัทในวันอาทิตย์เท่านั้น
ดังนั้นหลังการประชุม ทุกคนสามารถกลับบ้านได้
แต่ทังอี้ไม่ได้กลับบ้าน กลับไปตรวจสอบตลาดทั้งสามแห่งแทน
หลินม่ายไว้วางใจเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาต้องทำให้ดี
หลังจากเดินตรวจตลาดทั้งสามแห่งก็เป็นเวลาเที่ยงวัน
ทังอี้ไปยังร้านหลู่ไช่ริมถนนเพื่อซื้อผักตุ๋นที่ภรรยาของเขาชอบกิน และขี่จักรยานของเขาอย่างรวดเร็วตลอดทางกลับบ้าน
เมื่อภรรยาเห็นเขาก็พลันเอ่ยถ่าม “ทำไมคุณกลับมาช้าจัง?”
ทังอี้ยื่นหลู่ไช่ที่เขาซื้อมาให้หล่อน “นี่ไม่ใช่หลู่ไช่ที่คุณอยากกินหรอกเหรอ?”
เมื่อภรรยาของเขาได้เห็นหลู่ไช่ที่ทังอี้นำมา หล่อนก็รู้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมีราคาแพง จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมถึงซื้อหลู่ไช่มามากมายขนาดนี้ สิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”
ทังอี้กำลังหยอกล้อลูกชายของเขาในเปล
ลูกชายของเค้ามีอายุเกือบหนึ่งขวบแล้ว เมื่อถูกแกล้งหรือหยอกล้อก็มักจะหัวเราะคิกคักเสียงดัง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูด เขาก็พูดไม่ออก “ การดูแลลูกและดูแลบ้านด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย ผมซื้อผักตุ๋นที่คุณชอบมาให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จะเรียกว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ได้ยังไง?”
ภรรยาของเขาหยุดพูดและนำอาหารออกมาจากครัว
ทังอี้รีบล้างมือและนั่งลงที่โต๊ะอาหารเย็นเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ภรรยาอุ้มลูกวัยแบเบาะมานั่งตรงข้ามเขาเพื่อรับประทานอาหาร
หล่อนป้อนไข่ตุ๋นให้ทารกน้อยหนึ่งคำ จากนั้นจึงคีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งเข้าปาก และถามทังอี้ว่าเขาจ่ายค่าเนื้อตุ๋นและหลู่ไช่ไปมากเพียงใด
ทังอี้กำลังจะบอกข่าวดีเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งของเขาให้กับภรรยาฟัง
แต่เมื่อได้ยินคำถามของภรรยา เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
ภรรยาได้รู้ก็ยิ่งต่อว่าเขา กล่าวหาว่าเขาใช้เงินสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็เทศนาไปหนึ่งยกว่าเป็นแบบนี้จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร
ทังอี้รอให้ภรรยาของเขาต่อว่าจนพอใจ จากนั้นจึงบอกข่าวดีกับภรรยาว่า เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของตลาดผักตลาดฝูตัวตัว
เขายังบอกหล่อนด้วยว่าหลังจากที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมหลายสิบหยวนทุกเดือน
ดังนั้นแน่นอนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้แพงเกินไปสำหรับเขา ไม่จำเป็นต้องมัธยัสถ์เหมือนที่ผ่านมา
ภรรยามองเขาอย่างว่างเปล่าและไม่พูดอะไร
ทังอี้เลิกคิ้วและพูดด้วยความโมโห “ผมบอกคุณแล้วว่าคุณหลินไม่มีทางเอาเปรียบลูกน้อง คุณอาจจะบอกว่าหล่อนเอาเปรียบและกลั่นแกล้งผม หล่อนรังแกผมตรงไหน? หล่อนแค่ทดสอบผมก็เท่านั้น พอผมจัดการตลาดทั้งสองได้ดี คุณหลินก็ทำการส่งเสริมและมอบโอกาสที่ดีให้กับผม”
เขากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความภาคภูมิใจ รอคอยคำชมเชยจากภรรยา
ภรรยายังคงเอ่ยวาจาขมขื่น “ คุณเป็นคนมีความสามารถ ก็สมควรที่คุณหลินจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณไม่ใช่เหรอ? คุณเองก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัข พอเจ้านายโยนกระดูกมาให้ คุณก็คาบกินแล้วเพลิดเพลินกับความสุขนั้นเหมือนคนงี่เง่า!
คำถากถางของภรรยาราวกับน้ำเย็นหนึ่งอ่างราดลงบนหัวของทังอี้ ทำให้เขาไม่อยากรับประทานอาหารเย็นอีกต่อไป
เขาไม่เข้าใจว่าการที่ภรรยาจะยกย่องหรือชมเชยเขาเป็นเรื่องยากสำหรับหล่อนถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
…
หลังเสร็จการประชุม หลินม่ายก็กลับบ้าน
ท้องอันใหญ่โตทำให้เธอเคลื่อนไหวลำบากมากกว่าตอนที่ยังท้องไม่ใหญ่
เธอเพิ่งไปพบแพทย์และมีการประชุม จากนั้นจึงกลับมานอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
น้าถูเดินเข้ามาพร้อมโจ๊กรังนกชามหนึ่งแล้วขอให้หลินม่ายดื่มขณะยังร้อนอยู่
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะดื่ม “ไปเอารังนกมาจากที่ไหนคะ?”
ในยุคที่สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่งจะมีการปรับราคาสูงขึ้น อาหารเสริมเช่นรังนกก็หาซื้อได้ไม่ง่ายนัก
หลินม่ายไม่ซื้อเพราะไม่มีรังนกราคาถูกพอจะจับจ่ายได้
น้าถูกล่าว “มีคนมอบรังนกนี้ให้น้ามา คุณนายบอกว่าไม่ต้องการอาหารเสริม จึงขอให้น้าตุ๋นให้คุณกิน โดยบอกว่าคุณท้องและต้องการอาหารเสริม”
หัวใจของหลินม่ายรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินว่าเธอตั้งครรภ์ และทั้งครอบครัวมองว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า
หลังจากดื่มรังนกแล้ว หลินม่ายก็นอนลงอีกครั้งเพื่อพักผ่อน
โทรศัพท์ข้างเตียงพลันดังขึ้น
หลินม่ายรับสายในขณะที่นอนอยู่บนเตียง
เป็นสายมาจากเถาจืออวิ๋น หล่อนโทรมาเพื่อถามหลินม่ายว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้สวมชุดที่หล่อนออกแบบเข้าร่วมงานประกาศรางวัล
หลินม่ายตอบเธอด้วยคำห้าคำ “สะดุดตามากเลย”
จากนั้นเธอจึงเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่บอกฉันว่าชุดนั้นได้รับรางวัลรองชนะเลิศในเทศกาลแฟชั่นมิลานล่ะคะ?”
“ก็เพราะลืมน่ะสิ จะมีเหตุผลอะไรอีก”
หลินม่ายพูดไม่ออก และเถาจืออวิ๋นก็ไม่ได้จริงจังกับรางวัลนั้นมากนัก
หลินม่ายถาม “เป็นเรื่องยากมากเชียวนะที่จะได้รับรางวัลจากเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลาน พี่ทำได้ยังไง?”
“เพราะคำแนะนำของโรงเรียน” เถาจืออวิ๋นตอบอย่างเย่อหยิ่ง
เถาจืออวิ๋นยังบอกเธอด้วยว่า หลังจากคว้ารางวัลรองชนะเลิศจากงานเทศกาลแฟชั่นแห่งมิลานและได้รับโบนัสก้อนโต ครอบครัวทั้งสามคนก็ย้ายออกจากห้องใต้ดินและไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์
หล่อนรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงแดดฉายลอดเข้ามาในห้อง
จากนั้นหลินม่ายจึงถามซุบซิบว่า ชายที่ชื่ออับราฮัมได้สารภาพรักกับหล่อนหรือไม่?
เถาจืออวิ๋นกล่าว “เขาสารภาพตรงไปตรงมามาก”
“แล้วพี่ตอบไปว่ายังไง?”
“แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ!”
แม้หลินม่ายจะไม่เคยพบกับอับราฮัมด้วยตัวเอง แต่หลินม่ายก็กลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะถูกหลอก จึงขอให้คนตรวจสอบอับราฮัม และเมื่อเห็นรูปถ่ายของเขาก็พลันรับรู้ว่าเขาหล่อมาก และคุณสมบัติส่วนตัวของเขาก็ดีเช่นกัน
เขาช่างเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม แต่เถาจืออวิ๋นไม่ชอบเขา แสดงว่าหล่อนยังมีฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ในใจสินะ?
หลินม่ายไม่รู้เรื่องอารมณ์ความสัมพันธ์มากนัก เธอจึงไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง
เมื่อเธอกำลังจะวางสาย จู่ ๆ เถาจืออวิ๋นก็พลันเอ่ยขึ้น “ม่ายจื่อ ฉันเจอคนรู้จักในมิลาน”
หลินม่ายยิ้ม “ถือเป็นเรื่องบังเอิญมากนะ พี่ซื้อลอตเตอรี่ได้เลยนะนี่”
ในยุคนี้ไม่ค่อยมีใครไปเรียนต่อต่างประเทศ และผู้คนที่ไปอิตาลีเพื่อเรียนต่อก็น้อยลง
โอกาสที่เถาจืออวิ๋นจะพบคนรู้จักในอิตาลีนั้นไม่ได้สูงกว่าโอกาสในการถูกลอตเตอรี่มากนัก
เธอถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ พี่เจอใครเหรอ?”
“กู่เยี่ยน คนที่เธอเคยยกย่องมาตลอดไงล่ะ ยังจำหล่อนได้ไหม?”
“จำได้” หลินม่ายจำผู้หญิงคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสูงหรือรูปร่างหน้าตาที่พิเศษของหล่อน แต่เป็นเพราะการพัฒนาตนเองของหล่อน
กู่เยี่ยนมาจากชนบท เรียนไม่จบชั้นประถมและไม่มีการศึกษา แต่กลับไปอิตาลีเพื่อไล่ตามความฝันของหล่อน
ถึงกระนั้นหลินม่ายก็ยังประหลาดใจมาก และถามเถาจืออวิ๋น “หล่อนไปอิตาลีได้อย่างไร? แล้วหล่อนเป็นอย่างไรบ้างในอิตาลี?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เถาจืออวิ๋นกำลังดื่มกาแฟ “หล่อนเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก ตอนแรกไม่รู้ภาษาอิตาลีสักคำ กลับกล้าที่จะผจญภัยในอิตาลี
ที่สำคัญคือ ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจเรียนมาก หล่อนมาเร็วกว่าฉันเพียงสองเดือน แต่ก็สื่อสารกับชาวบ้านได้แล้ว แต่เรื่องการงานของหล่อนในอิตาลีไปได้ไม่สวยนัก โมเดลลิ่งหลายแห่งชอบใช้นางแบบผิวขาว น้อยคนนักที่จะใช้นางแบบผิวเหลือง”
หลินม่ายกล่าว “พี่กับกู่เยี่ยนมาจากประเทศจีนทั้งคู่ และอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ หากช่วยอะไรหล่อนได้ก็ช่วยเถอะนะ คิดเสียว่าช่วยคนบ้านเดียวกัน สิ่งที่ฉันหมายถึงคือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การให้เงินหล่อน แต่เป็นการช่วยเหลือในอาชีพการงานของหล่อนน่ะ”
“เข้าใจแล้ว สอนคนตกปลาดีกว่ายื่นปลาให้พวกเขา ฉันเข้าใจความจริงข้อนี้อยู่ล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ภรรยาทังอี้นี่แปลกๆ นะ ไม่เคยชมสามีตัวเองเลยเหรอ ถ้าวันหนึ่งต้องหย่ากันก็ไม่แปลกใจล่ะ
กู่เยี่ยนแข็งแกร่งมาก อยู่อิตาลีทั้งที่สกิลภาษาเป็นศูนย์จนกระทั่งพูดกับคนโลคอลได้อะ
ไหหม่า(海馬)