แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 876 ซื้อบ้าน
ตอนที่ 876 ซื้อบ้าน
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายใช้กระเป๋าหนังใบใหญ่ที่ซื้อเมื่อวานบรรจุสิ่งจำเป็นทั้งหมดของเสี่ยวมู่ตง
เธอขับรถไปกับน้าถังผู้ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเต็มเวลาและลูกน้อยของเธอเพื่อออกตระเวนหาซื้อหอพัก
ฟางจั๋วหรานต้องการให้หลินม่ายซื้อห้องชุดสวัสดิการสำหรับคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย
แต่หลินม่ายหมดหนทางที่จะสอบถาม ดังนั้น เขาจึงต้องถามคนเฝ้าประตูในพื้นที่ครอบครัวของคณาจารย์และเจ้าหน้าที่
คนเฝ้าประตูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมเป็นแค่คนเฝ้าประตู ไม่ใช่ผู้รอบรู้ คิดว่าอาจารย์คนไหนจะบอกผมเมื่อพวกเขาต้องการขายบ้านเหรอ? ทำไมคุณไม่ไปหานายหน้าดูล่ะ มันไม่น่าเชื่อถือไปกว่าการถามจากผมเหรอ?”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ
เธอจำได้ว่าในปีที่เธอมาศึกษาที่ปักกิ่งยังไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวง
ในเวลาไม่ถึงสองปีกลับมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวง
ภายใต้การแนะนำของคนเฝ้าประตู หลินม่ายจึงไปหาตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ใกล้มหาวิทยาลัย
ด้านหน้าของสำนักงานอสังหาริมทรัพย์นั้นค่อนข้างหรูหรา แต่ธุรกิจกลับเงียบงันและมีคนไม่กี่คน
หลินม่ายขอให้น้าถังและลูกชายรออยู่ในรถ เพราะอากาศในปักกิ่งยังคงหนาวมาก
หลินม่ายกังวลว่าลูกน้อยจะป่วยง่ายเมื่อเผชิญกับลมหนาวพัดโชย
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังจะลงจากรถ เด็กน้อยก็ยื่นมือเล็ก ๆ สองข้างตามเธอออกไปนอกรถ ปากก็ร้องงอแง
หลินม่ายจูบเขา และเสี่ยวมู่ตงก็ไม่หงุดหงิดอีกต่อไป
เพื่อไม่ให้ผู้พบเห็นจำได้ หลินม่ายสวมหน้ากากขนาดใหญ่ จากนั้นจึงผลักประตูกระจกเข้าไปสำนักงาย พนักงานขายที่ง่วงงุนหลายคนทักทายเธอด้วยรอยยิ้มทันที
หลินม่ายเลือกพนักงานขายที่ดูเรียบง่ายและซื่อสัตย์
ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากันที่โต๊ะกลม
พนักงานขายชงชาดำสองถ้วยแล้วยกขึ้นมา
พนักงานขายที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ยื่นนามบัตรของเขาด้วยมือทั้งสองข้างและถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าผมควรตะเรียกลูกค้าว่าอย่างไรครับ?”
หลินม่ายมองไปที่นามบัตร นามสกุลของพนักงานขายคือจาง
“ฉันนามสกุลหลินค่ะ เรียกฉันว่าเสี่ยวหลินก็ได้”
เธอมองดูทั่วทั้งสำนักงาน มีเพียงเธอที่เป็นลูกค้า นอกเหนือจากนั้นเป็นพนักงานขายทั้งหมด
เธอถามด้วยความสงสัย “ทำไมธุรกิจถึงเงียบเหงาขนาดนี้ล่ะคะ?”
เสี่ยวจางถอนหายใจ “เราคิดค่าธรรมเนียมตัวแทนสำหรับการซื้อและขายบ้าน หลายคนรับไม่ได้จึงไม่ยอมมาซื้อบ้านกับเรา พวกเขาทั้งหมดสอบถามเกี่ยวกับแหล่งที่อยู่อาศัยด้วยตนเองและทำธุรกรรมเป็นการส่วนตัว อันที่จริงนี่เป็นเสี่ยงมาก เพราะหากพวกเขาโดนโกงเงินก็จะไม่มีใครช่วยริบคืนเงินนั้นได้ หากซื้อบ้านกับตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ของเรา สถานการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ใช่ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นการยากมากที่ลูกค้าจะได้เงินคืนหากถูกโกง”
เสี่ยวจางรีบแทรก “ใช่ครับ และเราเป็นคนกลางอย่างเป็นทางการ”
หลินม่ายใช้โอกาสนี้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากเขามาดู พบว่าพวกเขาเป็นคนกลางที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง
จากนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจและอธิบายให้เสี่ยวจางทราบเกี่ยวกับบ้านที่เธอต้องการ
เสี่ยวจางขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ “บ้านในพื้นที่ครอบครัวของคณาจารย์มหาวิทยาลัยชิงหวามีให้เช่าเท่านั้น ไม่มีขาย”
หลินม่ายไม่ชอบเช่าบ้าน เพราะไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ และไม่สามารถจัดการบ้านได้ตามใจชอบ
เธอเยถามทันที “แล้วทำไมคุณไม่ขายให้ฉันล่ะคะ?”
เสี่ยวจางอธิบาย “ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านจะขายได้อย่างไรครับ?”
หลินม่ายเพิ่งรู้ว่าบ้านในพื้นที่ครอบครัวของมหาวิทยาลัยชิงหวาไม่อาจซื้อได้
ในเมื่อซื้อไม่ได้ก็ต้องเช่า
แต่เมื่อเห็นสภาพบ้านเช่า หลินม่ายก็คัดค้านทันที
คนอบคนัวของเธอเป็นครัวครัวใหญ่ แต่บ้านเหล่านั้นมีขนาดเล็กเพียงห้องเดียว ซึ่งไม่สามารถรองรับครอบครัวของเธอได้
เสี่ยวจางแนะนำให้เธอเช่าห้องเดี่ยวสองห้อง และให้ครอบครัวอาศัยอยู่สองที่
หลินม่ายคัดค้าน
ทั้งงครอบครัวอาศัยอยู่ในสถานที่สองแห่งแล้วจะยังมีบรรยากาศแบบครอบครัวได้อย่างไร?
หลินม่ายจึงออกจากที่นี่ไปหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อดูบ้านหลังใหม่
เธอไปที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งติดต่อกัน แต่ไม่พบบ้านที่ต้องการ พบเพียงเรือนสี่ประสานสองวงจำนวนหนึ่ง
เธอดูเรือนสี่ประสานเหล่านั้นทั้งหมด และรู้สึกถูกชะตากับสองหลังในนั้น จึงต่อรอง ณ จุดนั้นและซื้อบ้านสองหลังนั้น
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายซื้อบ้านหลังนี้อย่างรวดเร็ว ผู้จัดการของสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองจึงปฏิบัติต่อเธอเหมือนเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง และส่งเธอออกไปด้วยความเคารพ โดยหวังว่าเธอจะมาในครั้งต่อไป
หลินม่ายกล่าว “ถ้ามีบ้านที่ดีมาขาย ฉันจะกลับมาอีก”
ทันทีที่หลินม่ายกลับถึงบ้านพร้อมกับลูกและน้าถัง คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ถามเธอถึงเรื่องบ้าน
หลินม่ายผายมือแล้วบอกว่า เธอไม่ได้ซื้อบ้านที่พวกเขาต้องการ แต่เธอซื้อบ้านแห่งอื่นไว้สองหลัง
หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายกำลังจะพาน้าถังและลูกชายไปซื้อบ้านต่อ ทว่าเสี่ยวจางก็โทรมา
เขาพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยทางโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิน ทันทีที่คุณจากไป ผมก็จำได้ว่าผมมีบ้านส่วนตัวอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยชิงหวา คุณอยากจะมาดูไหมครับ?”
หลินม่ายคิดว่าบ้านส่วนตัวก็ดี เพราะสามารถปรับเปลี่ยนทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ซึ่งค่อนข้างสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
และในอีกห้าหรือหกปีข้างหน้า เมื่อชิงหวาขยายตัว บ้านส่วนตัวเหล่านี้จะถูกรื้อถอน และจะได้รับเงินจำนวนมากสำหรับการรื้อถอน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ดี
หลินม่ายขับรถพาเสี่ยวตงและน้าถังไปยังสำนักงานตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ของเสี่ยวจางอีกครั้ง
เสี่ยวจางรอเธออยู่ในสำนักงานแล้ว
ทันทีที่หลินม่ายมา เขาก็เข้าไปในรถของเธอ
ในรถหลินม่ายไม่ได้สวมหน้ากาก เสี่ยวจางเหลือบมองเธอแล้วกล่าว “คุณดูเหมือนนักร้องหญิงที่ร้องเพลง ‘ชีวิตที่เบ่งบาน’ เลยครับ ~”
หลินม่ายกระตุกมุมปากของเธอและแสดงรอยยิ้มจาง ๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ในที่สุดความกระตือรือร้นของเธอก็หมดลง
แม้ว่าผู้คนจำเธอได้ แต่เธอจะบอกพวกเขาว่าเธอเพียงคล้าย ‘หลินม่าย’ เท่านั้น
เธอเพียงต้องการใช้ชีวิตธรรมดา และไม่ต้องการให้ใครมารับรู้
เธอจึงไม่เข้าใจว่าทำไมดารารุ่นหลังถึงชอบที่จะเป็นที่จับตามองและอยู่ภายใต้สายตาของสาธารณชน
บ้านที่เสี่ยวจางแนะนำแก่หลินม่ายอยู่ในทำเลที่ดี ห่างจากประตูมหาวิทยาลัยชิงหวาเพียงหนึ่งร้อยเมตร แต่สภาพบ้านทรุดโทรมเกินไป และยังคงเป็นบังกะโล
แม้จะสามารถเข้าพักได้ แต่หลินม่ายจะเปิดเทอมในอีกไม่กี่วัน ดังนั้นเธอจึงรอไม่ไหวแล้ว
ก่อนที่หลินม่ายจะบอกว่าเธอไม่ชอบบ้านหลังนี้ น้าถังซึ่งกำลังอุ้มทารกนอนหายใจอยู่ก็กระตุกมุมปากแล้วพูดกับเสี่ยวจาง“บ้านที่ทรุดโทรมแบบนี้ คิดว่าคุณหลินจะซื้อเหรอ? คุณหลินจะซื้อเพียงบ้านที่หล่อนจินตนาการถึงเท่านั้นแหละ”
ทั้งหลินม่ายและเสี่ยวจางมองไปยังทิศทางที่นิ้วหล่อนชี้
ห่างจากบังกะโลที่เสี่ยวจางแนะนำราวยี่สิบถึงสามสิบเมตรมีอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กสามชั้นที่สวยงามมาก ดูใหม่มาก ราวกับว่าสร้างมาเพียงสองปี
เสี่ยวจางกล่าว “ใครจะขายบ้านที่ดีเช่นนี้?”
หลินม่ายกล่าว “ถ้าคุณไม่ถามแล้วจะรู้ได้อย่างไรคะว่าเขาจะไม่ขาย?”
เธอเดินขึ้นไปยังอาคารสไตล์ตะวันตกหลังเล็กแห่งนั้น
ประตูของอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กเปิดออก ผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งคัดถั่วเหลืองในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง
เมื่อเห็นหลินม่ายแอบมองอยู่ หญิงคนหนึ่งก็ถามอย่างใจดี “สาวน้อย กำลังดูอะไรอยู่เหรอ?”
หลินม่ายถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณป้าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้หรือคะ?”
“ใช่ ทำไมเหรอ?” หญิงสูงวัยถามด้วยความงุนงง
“ฉันต้องการซื้ออาคารสไตล์ตะวันตกหลังเล็กนี้ คุณต้องการขายหรือไม่คะ?”
ไม่ใช่เพียงหญิงสูงวัยคนนี้ที่ไม่พอใจ แต่หญิงรอบตัวหล่อนที่ดูเหมือนลูกสะใภ้ของหล่อนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นมืดครึ้มและขับไล่หลินม่ายออกไป
“เธอเสียสติไปแล้วหรือไง พูดอะไรออกมา เราจะขายบ้านหลังนี้ได้ยังไง ไม่มีทาง!”
ผู้หญิงสองสามคนที่อยู่ข้าง ๆ แกะเมล็ดแตงโมและกล่าวด้วยความตื่นเต้น “นี่เป็นบ้านใหม่ของคุณสวี สร้างขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทั้งครอบครัวไม่ได้อาศัยอยู่ในนั้นมาหนึ่งปีแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดแม้จะขาย สาวน้อย เธอกล้ามากที่ถามแบบนั้น”
หลินม่ายคิดกับตัวเอง ที่พวกเขาไม่ต้องการขายคงเพราะไม่รู้ว่าเธอยินดีจ่ายเท่าไร
เธอยื่นนิ้วเรียวทั้งสี่ออกมา “สี่หมื่น ขายไหมคะ?”
สีหน้าของผู้หญิงทั้งหมดอ่อนลง
ครอบครัวของพวกหล่อนไม่ได้ใช้เงินมากมายไปกับการสร้างอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กหลังนี้ และราคาที่หญิงสาวคนนี้เสนอก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ
หญิงสูงวัยกลอกตาอย่างจงใจและพูดอย่างเหยียดหยาม “บ้านของฉันแค่ใช้เงินสร้งมากกว่าสี่หมื่นหยวนไม่รวมการตกแต่ง แล้วใครจะขายมันในราคาสี่หมื่นหยวน?”
หลินม่ายคิดเพียงว่ามันน้อยเกินไปจึงกล่าวเสริม “แล้วถ้าสี่หมื่นห้าพันหยวนล่ะ?”
คุณป้าถูกล่อลวงเล็กน้อย และทุกคนก็มองไปที่คุณป้า
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายต้องการซื้อบ้านของเธอมาก คุณป้าจึงตัดสินใจ “ไม่ขาย!”
หลินม่ายหันหลังและจากไป
คุณป้าตกตะลึงในทันใด
การสร้างบ้านส่วนตัวในยุคนี้ไม่แพง ตราบใดที่สามารถหาอิฐกระเบื้องหินทรายและวัสดุอื่น ๆ ในการสร้างบ้านได้
ตึกสามชั้นโอ่อ่าหลังนี้มีราคาเพียงไม่ถึงสามหมื่นห้าพันหยวนเท่านั้น
หล่อนบอกหลินม่ายว่าใช้เงินมากกว่าสี่หมื่นหยวนในการสร้างและตกแต่ง ซึ่งสูงเกินจริง
ดังนั้นเมื่อหลินม่ายเสนอราคาสี่หมื่นห้าหันหยวน หล่อนจึงรีบเสนอด้วยความพึงพอใจ
การขายอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กแบบนี้ทำให้หล่อนได้กำไรหนึ่งหนึ่งหมื่นหยวน คงมีเพียงคนโง่ที่ไม่เห็นด้วย
พวกเขาขายบ้านหลังนี้และไปหาคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อจัดสรรที่ดิน เพื่อพวกเขาจะได้สร้างบ้านอีกหลัง
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมาซื้อบ้านสไตล์ตะวันตกหลังเล็กของตน ป้าเจ้าของบ้านก็คิดขอเงินก้อนโตเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่า หลินม่ายจะจากไปโดยไม่ซื้อ…
ป้าเจ้าของบ้านทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดาย หล่อนทนไม่ได้จึงเรียกหลินม่ายให้หยุด
หญิงหลายคนบ่นกับหล่อนเสียงเบา และหล่อนก็เสียใจยิ่งกว่า
ขณะหลินม่ายกำลังจะจากไป ป้าเจ้าของบ้านก็ตะโกนตามหลังหลินม่าย “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป เข้ามาคุยกันหน่อยสิ”
มุมปากของหลินม่ายโค้งขึ้น
เธอรู้ว่าตราบใดที่ราคาน่าดึงดูดใจ เจ้าของบ้านจะขายบ้านอย่างแน่นอน
หากเจ้าของบ้านไม่ยอมขายบ้านก็คงเป็นเพราะราคาไม่ถูกใจ
หลินม่ายเข้ามาในบ้าน ป้าเจ้าของบ้านและลูกสะใภ้ก็เริ่มต่อรอง
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องการขายในราคาห้าหมื่นหยวน มันไม่ง่ายสำหรับครอบครัวของเราที่จะสร้างบ้านหลังนี้”
“ถูกต้องแล้ว ที่ดินดีๆ แบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว”
หลินม่ายฟังแม่สามีและลูกสะใภ้ต่อรองราคาอย่างเงียบงันแต่ไม่มีการตอบสนอง
ในความเป็นจริง เงินห้าหมื่นหยวนเป็นเพียงเงินเล็กน้อยสำหรับเธอ แต่เจ้าของบ้านเรียกราคาสูงเกินไปและไม่คุ้มที่จะซื้อ
แม้เธอจะต้องการบ้านสักหลัง แต่เธอก็เป็นนักธุรกิจ และคิดคำนวณเสมอว่าคุ้มหรือไม่
เมื่อแม่สามีและลูกสะใภ้คุยกัน หลินม่ายก็พูดอย่างใจเย็น “ฉันจ่ายได้มากสุดแค่สี่หมื่นหกพันหยวนน่ะค่ะ หากพวกคุณตกลง ฉันจะวางมัดจำตอนนี้แล้วมาเซ็นสัญญาพรุ่งนี้เช้า”
แม่สามีและลูกสะใภ้ระเบิดความปีติยินดีออกมาทันที
บ้านหลังนี้สามารถทำเงินได้มากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนเสียอีก ซึ่งเป็นการต่อรองที่ดี!
แม้ว่าในใจพวกเขาจะมีความสุขมาก แต่แม่สามีและลูกสะใภ้กลับทำราวกับว่าพวกเขาประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ โดยขอร้องให้หลินม่ายเพิ่มเงินอีกสองพันอย่างน่าสมเพช
หลินม่ายหันกลับมาอีกครั้งและจากไป ป้าพูดข้างหลังเธอ “งั้นเพิ่มหนึ่งพันหยวนก็”
หลินม่ายยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมา
ป้าเจ้าของบ้านทำอะไรไม่ถูก “แล้วแต่คุณก็ได้ สี่หมื่นหกพันก็สี่หมื่นหกพัน”
หลินม่ายหันกลับมา “คุณเป็นเจ้าของบ้านเหรอคะ?”
ป้ายิ้มอย่างเขินอาย “ผู้หญิงอย่างฉันจะเป็นเจ้าบ้านได้อย่างไรล่ะ? ฉันจะแจ้งเจ้าของบ้านของเราเดี๋ยวนี้
ลูกสะใภ้ทุกคนวิ่งออกไปเรียกสามีและพ่อสามีกลับมา
สามีและพ่อสามีของพวกเขากำลังเล่นไพ่นกกระจอกในหมู่บ้าน และลูกสะใภ้ก็พบพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางกลับบ้าน พวกหล่อนก็เล่าเรื่องความปรารถนาของหลินม่ายที่จะซื้อบ้านสไตล์ตะวันตกหลังเล็ก ๆ ให้พวกเขาฟัง
ผู้ชายหลายคนกลับบ้านและพูดอย่างจริงจังว่าจะขายบ้านในราคาสี่หมื่นหกพันไม่ได้
หลินม่ายพยักหน้าและกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม
ครอบครัวนี้ค่อนข้างน่าสนใจ แม้รู้ว่าเธอจะไม่ขึ้นราคา พวกเขายังคงเล่นตลกกับเธอ
ผู้ชายในตระกูลสวีต่างตกตะลึง
พวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสทั้งสี่จะสามารถควบคุมสาวอวบผู้งดงามคนนี้ได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าเธอจะต่อต้านทุกอย่าง
ในท้ายที่สุด ลูกสะใภ้ผู้ฉลาดเฉลียวก็เป็นผู้เสนอราคาให้หลินม่าย และสัญญาว่าจะขายบ้านให้เธอในราคาสี่หมื่นหกพันหยวน
หลินม่ายจ่ายเงินมัดจำทันทีและขอให้ครอบครัวของพวกเขาออกจากบ้านในคืนนี้ ทั้งสองฝ่ายจะจ่ายเงินและส่งมอบบ้านในวันพรุ่งนี้
หลินม่ายกลับไปยังรถของเธอ และเสี่ยวจางก็ถามด้วยความสงสัย “เขาขายบ้านให้คุณไหมครับ?”
หลินม่ายทำท่าทางตกลง
เสี่ยวจางตกตะลึงและถามหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “มีคนขายบ้านที่ดีเช่นนี้ให้คุณได้ยังไงครับ?”
“เพราะราคาน่าสนใจอย่างไรล่ะคะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มาเล่นกับนักธุรกิจอย่างม่ายจื่อแบบนี้มันก็เข้าทางหมดล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)