แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 878 เปลี่ยนแปลงวันนัดหมาย
ตอนที่ 878 เปลี่ยนแปลงวันนัดหมาย
มันคงไม่สะดวกนักที่จะพาเสี่ยวมู่ตงไปด้วยตอนที่ทำเรื่องย้ายโรงเรียนและลงทะเบียน
วันต่อมาหลังจากรับประทานอาหารเช้า หลินม่ายจึงทิ้งเด็กน้อยไว้ที่บ้านเพื่อให้ปู่ฟาง ย่าฟาง และน้าทังดูแล ขณะที่เธอพาโต้วโต้วไปยังโรงเรียนประถมแห่งเดิมเพื่อดำเนินการย้ายโรงเรียน
อดีตครูใหญ่ของโต้วโต้วยังคงลังเลเล็กน้อย
ในที่สุดผลการเรียนของหนูน้อยก็ดีขึ้น แต่หล่อนกลับต้องย้ายไปโรงเรียนอื่น
ครูใหญ่กำชับกับโต้วโต้วให้หล่อนพยายามเรียนหนัก แม้ว่าจะย้ายไปโรงเรียนใหม่ก็ตาม
โต้วโต้วพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการย้ายจากโรงเรียนเดิม หลินม่ายก็ขับรถพาโต้วโต้วไปยังโรงเรียนใหม่ นั่นคือโรงเรียนประถมหงหลิ่ง
เนื่องจากเธอได้ทำข้อตกลงกับครูใหญ่โรงเรียนประถมหงหลิ่งไว้ล่วงหน้าแล้ว ขั้นตอนการลงทะเบียนสำหรับโต้วโต้วจึงราบรื่นมากและเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที
ครูใหญ่คนใหม่จับมือเล็กของโต้วโต้วและพาหล่อนไปที่ชั้นเรียน
หลังจากผ่านมาไม่กี่ปี โต้วโต้วไม่เหมือนกับครั้งแรกที่หลินม่ายมาส่งเข้าโรงเรียน หล่อนไม่ใช่เด็กขี้อายและขี้ขลาดอีกต่อไป
ตอนที่ครูประจำชั้นคนใหม่พาหล่อนไปที่ห้องเรียนใหม่ หล่อนไม่มีท่าทางประหม่าหรือกลัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังหันมาโบกมือลาหลินม่ายด้วย
หลินม่ายจึงจากไปด้วยความสบายใจและรีบตรงกลับบ้าน
ก่อนเข้าไปในบ้าน เธอได้ยินเสียงร้องไห้เสียดแทงหัวใจของมู่ตงตัวน้อย
เธอทุกข์ใจมาก จึงรีบจอดรถแล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในบ้าน
คุณย่าฟางกำลังป้อนนมชงให้กับเด็กน้อย ทว่ามู่ตงกลับเอาแต่ส่ายหน้าและไม่ยอมดื่ม
เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เด็กน้อยดื่มนม ปู่ฟางและน้าถูก็พยายามหยอกล้อเหมือนนางรำ
แต่เด็กน้อยยังคงไม่สนใจ เขาเอาแต่อ้าปากกว้างและร้องไห้ไม่หยุด
เมื่อเห็นหลินม่ายวิ่งเข้ามา คุณย่าฟางก็เหมือนได้เห็นแสงสว่างของชีวิต “หลานกลับมาแล้วเหรอ รีบมาป้อนนมตงตงเร็วเข้า เด็กคนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งงอแง ถึงจะไม่ชอบนมชง แต่เมื่อก่อนก็เห็นว่าดื่มได้ ตอนนี้กลับไม่ยอมกินท่าเดียว และเริ่มร้องไห้ทันทีที่ย่าพยายามป้อนนม มันทำให้ย่ากังวลจนเหงื่อตก”
หลินม่ายรีบเข้ามาอุ้มมู่ตงตัวน้อยไปยังห้องเล็กที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งเตรียมไว้ให้เธอกับลูกโดยเฉพาะ
เสี่ยวมู่ตงดูดนมอย่างแรงพร้อมเสียงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดวงตากลมโตเหมือนกับลูกองุ่นสีดำทั้งสองจับจ้องมาที่หลินม่าย ราวกับต้องการถามว่า “ถุงนม หายไปไหนมา ผมไม่มีนมกินตั้งแต่เช้าแล้ว”
ในตอนบ่าย หลินม่ายพาคุณเจิ้งไปพบกับหัวหน้าสี และไม่สะดวกจะพาเสี่ยวมู่ตงไปด้วย
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน หลินม่ายไปที่ห้องพยาบาลและพยายามอย่างหนักเพื่อบีบเค้นน้ำนมออกมาเกือบหนึ่งแก้ว ซึ่งมันเจ็บปวดเจียนขาดใจ
เธอส่งแก้วนมให้กับคุณย่าฟาง ก่อนบอกคุณย่าฟางว่าถ้าเด็กน้อยหิวนมอีก ให้อุ่นนมใส่ขวดแล้วให้เขาดื่ม
หลินม่ายขับรถไปที่โรงแรมเพื่อรับคุณเจิ้ง จากนั้นจึงตรงไปยังสำนักงานของหัวหน้าสี
เมื่อเห็นหลินม่าย หัวหน้าสีบอกเธอด้วยความอายว่า โครงการสร้างสายรถไฟใต้ดินที่พูดถึงตอนนี้ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของคนอื่น และเขาไม่มีอำนาจควบคุมอีกต่อไป
ขณะที่กล่าว เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหลินม่ายเลย
ครั้งล่าสุด ภรรยาของเขาบังเอิญเจอหลินม่ายที่ห้างสรรพสินค้า และกำลังถือกระเป๋าสตางค์ผู้ชายหนังจระเข้ใบนั้นซึ่งหล่อนตั้งใจจะซื้อให้เขา
เป็นผลให้หลินม่ายยืนยันที่จะจ่ายเงินให้ ซึ่งเท่ากับว่าเธอซื้อให้เขา
ครั้งก่อนหลินม่ายก็ได้เชิญหมออาวุโสผู้น่านับถือมารักษาปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะของเขา จากนั้นหลินม่ายก็ยังจ่ายเงินค่ากระเป๋าให้เขาอีก
แม้ว่าหัวหน้าสีจะมีบุคลิกประหลาดและขี้ระแวง แต่เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการตอบแทนบุญคุณเมื่อผู้อื่นช่วยเหลือเขาหรือให้ความเมตตา
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน โครงการรถไฟใต้ดินไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีโครงการมอบให้หลินม่ายแล้ว ซึ่งมันน่าอับอายมาก
หลินม่ายทำเพียงนิ่งเฉย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หัวหน้าสีรีบพูดว่า “ในอนาคตหากกรมรถไฟของเรามีโครงการที่จะสร้างชุมชน ผมจะมอบให้คุณแน่นอน”
มีพนักงานจำนวนมากของกรมรถไฟที่ไม่มีที่อยู่อาศัยสวัสดิการเพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงมักมีโครงการสร้างที่พักบุคลากร หลินม่ายรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อหัวหน้าสีบอกว่าเขาจะมอบหมายโครงการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการสร้างที่อยู่อาศัยให้เธอในอนาคต หลินม่ายก็ไม่ได้เชื่อเขาในทันที
มักมีคนกล่าวว่านักธุรกิจล้วนเจ้าแผนการ แต่ไม่ว่าจะเจ้าแผนการเพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะเจ้าหน้าที่รัฐได้
การฟังสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐพูดน่าจะดีที่สุด
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าหัวหน้าสีจะพูดอย่างไร หลินม่ายก็ต้องยอมรับ
ในแง่หนึ่ง มันเป็นการไว้หน้าหัวหน้าสี เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกอับอายและขุ่นเคืองเธอ มิฉะนั้นเขาอาจเกลียดเธอจนอยากฆ่าให้ตาย
อีกแง่หนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นหากหัวหน้าสีเห็นว่าเธอจริงจัง ภายใต้การกดดัน เขาอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมอบโครงการสร้างที่อยู่อาศัยให้เธอทั้งหมดก็ได้?
ในเมื่อเธอจะไม่สูญเสียอะไรจากการตกลง เธอจึงตอบรับเขาไป
หัวหน้าสีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลินม่ายถาม “หัวหน้าสีช่วยชี้แนะโครงการรถไฟใต้ดินให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ว่าตอนนี้อำนาจอยู่ที่ผู้นำคนไหน?”
คุณเจิ้งอยู่ที่นี่แล้ว หลินม่ายยังคงหวังที่จะได้โครงการรถไฟใต้ดินมาให้ได้
แม้ว่ามันจะดูไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย อย่างน้อยเธอก็สามารถช่วยคุณเจิ้งไม่ให้เดินทางโดยเปล่าประโยชน์
หัวหน้าสีตอบกลับ “มันอยู่ในอำนาจของคนเบื้องบน แต่ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะหาเขาหรอก โครงการรถไฟใต้ดินจะเปิดให้ประมูล ไม่ว่าใครก็สามารถประมูลมันได้”
หลินม่ายแอบดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
คุณเจิ้งมีส่วนร่วมในการก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายแรกในเมืองหลวงเมื่อเขายังเด็ก ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มาก
หากเธอเข้าร่วมการประมูลด้วยการออกแบบของคุณเจิ้ง มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ว่านถงกรุ๊ปจะชนะการประมูล
หลินม่ายสอบถามหัวหน้าสีเพิ่มเติม และรู้ว่าการประมูลจะดำเนินการในอีกห้าวัน
เธอขอร้องให้คุณเจิ้งอยู่ต่ออีกสักเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้เข้าร่วมการประมูล
คุณเจิ้งตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม แต่เขาเสนอเงื่อนไขเพียงข้อเดียว นั่นคือเขาต้องการให้หลินม่ายจัดไกด์นำเที่ยวเพื่อพาเขาเที่ยวชมรอบ ๆ เมืองหลวง
หลินม่ายตอบตกลงด้วยความยินดีและส่งมอบงานให้เสิ่นเสี่ยวผิง
ก่อนหน้านี้พ่อแม่ของเฝิงเยว่จู๋ได้เสนอให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้พบกันในเทศกาลโคมไฟ เพื่อที่จะเจรจาเรื่องการแต่งงานระหว่างไป๋เซี่ยและเฝิงเยว่จู๋
พ่อไป๋เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากครอบครัวของหลินม่ายย้ายออกไปและมีเรื่องให้จัดการมากมาย เธอจึงไม่สามารถไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับทั้งสองครอบครัวได้
พ่อเฝิงและแม่เฝิงเจาะจงอยากให้หลินม่ายมา
พ่อไป๋จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลื่อนวันนัดหมายออกไป และขอให้ไป๋เซี่ยไปยังตระกูลเฝิงเพื่ออธิบายเหตุผลกับพ่อเฝิงและแม่เฝิง
นับตั้งแต่ที่ไป๋เซี่ยและครอบครัวหลินม่ายไปส่งเฝิงเยว่จู๋กลับบ้านครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้วางแผนที่จะพบกับอีกฝ่ายอีกครั้ง นับประสาอะไรกับการไปเยี่ยมบ้าน
หากพ่อไป๋ไม่ยืนกรานขอให้หลินม่ายไปด้วย เธอก็คงอยากตีตัวออกห่างกับเฝิงเยว่จู๋
หลินม่ายไม่ได้ตั้งใจจะตีตัวออกห่าง เพียงอยากให้เฝิงเยว่จู๋ตระหนักถึงสิ่งที่ตนทำผิด เพราะไป๋เซี่ยกลัวฝังใจว่าเฝิงเยว่จู๋จะลงเอยเหมือนกับแม่ผู้ให้กำเนิดเขา
ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ไป๋เซี่ยไม่ได้ริเริ่มชวนเฝิงเยว่จู๋ออกไปเที่ยวเล่นเลย หรือแม้แต่ไปหาที่บ้านตระกูลเฝิง และแม้เฝิงเยว่จู๋จะชวนเขาออกไปบ่อยครั้ง เขาก็ปฏิเสธเสมอ ซึ่งทำให้พ่อเฝิงเริ่มตื่นตระหนก
แต่แม่เฝิงไม่ได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของสถานการณ์เลย หล่อนเพียงสาปแช่งไป๋เซี่ยเท่านั้น
หล่อนยังต้องการขู่เขาด้วยซ้ำว่าหากไป๋เซี่ยกล้าละเลยเฝิงเยว่จู๋อีกครั้ง ต่อให้เขามาคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าในอนาคต หล่อนก็จะไม่ให้เขาแต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนหากไม่มีสินสอด 100,000 หยวน
พ่อเฝิงกลอกตาเมื่อได้ยิน ก่อนถามไปว่า “ลูกสาวของคุณเป็นองค์หญิงหรือนางฟ้านางสวรรค์หรือไง ทำไมเสี่ยวไป๋ต้องยืนกรานแต่งกับหล่อนด้วยล่ะ? นอกจากนี้คุณควรพิจารณาด้วยนะว่าเป็นลูกสาวของคุณหรือเสี่ยวไป๋กันแน่ที่มีโอกาสหาคู่ครองได้ดีกว่านี้?”
แม่เฝิงได้ยินสิ่งนี้ก็แทบเป็นใบ้ทันที
ดังนั้น เมื่อไป๋เซี่ยมาถึงพร้อมของขวัญ และแจ้งให้ครอบครัวเฝิงทราบว่าวันนัดหมายมีการเปลี่ยนแปลงพร้อมอธิบายเหตุผล ไม่เพียงแต่ไม่มีใครกล้าขุ่นเคือง แต่พวกเขายังทักทายชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยบอกว่านั่นไม่เป็นปัญหา
ขณะที่ในใจพวกเขานึกอิจฉาหลินม่าย เพียงเพื่อความสะดวกในการให้นมลูก เธอถึงกับซื้อบ้านหลังใหม่สไตล์ตะวันตกที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน หากไม่รวยจริงคงทำไม่ได้!
แม่เฝิงวางแผนในใจถึงไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อหลินม่ายเรียนจบมหาวิทยาลัยและไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านสไตล์ตะวันตกหลังนั้นแล้ว หล่อนจะขอให้ไป๋เซี่ยเข้าไปแทรกแซงและครอบครองทรัพย์สิน จากนั้นปล่อยให้ครอบครัวของพวกเขาย้ายเข้าไปอยู่
ไป๋เซี่ยไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการในใจแม่เฝิงเลย เมื่อเห็นว่าครอบครัวเฝิงไม่มีปัญหาใด เขาจึงให้อภัยเฝิงเยว่จู๋บ้างแล้ว
ในที่สุดก็ถึงวันที่ทั้งสองครอบครัวมาพบกันตามนัดหมาย
หลินม่ายกลับจากโรงเรียน เปลี่ยนเสื้อผ้า และพามู่ตงตัวน้อยลงมารับประทานอาหารเย็น
ตอนแรกโต้วโต้วต้องไปด้วย แต่หลินม่ายเปลี่ยนใจให้หล่อนอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน
แม้ครอบครัวเฝิงจะเจาะจงว่าหลินม่ายควรมา แต่พ่อไป๋ก็ขอให้ลูกทั้งสี่ไปด้วยกัน และเขายังโทรหาแม่ไป๋อีกด้วย
ในฐานะที่แม่ไป๋เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดไป๋เซี่ย หล่อนจึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการเจรจางานแต่งของไป๋เซี่ย
อย่างไรก็ตามแม่ไป๋กลับเข้าใจผิด คิดว่าพ่อไป๋หายโกรธแล้ว และโทรมาเพื่อชวนหล่อนกลับไปอยู่ด้วยกัน
แม่ไป๋ตื่นเต้นมาก หล่อนแต่งตัวอย่างพิถีพิถันและเดินทางมายังภัตตาคารเฉวียนจวี้เต๋อ
พ่อไป๋กังวลว่าแม่ไป๋อาจก่อปัญหาบนโต๊ะอาหาร และรู้ว่าหลินม่ายไม่ชอบแม่ไป๋ เขาจึงจัดให้แม่ไป๋นั่งด้านข้างเขา
นั่นทำให้แม่ไป๋ยิ่งเข้าใจผิด มองพ่อไป๋ด้วยสายตาแสนอ่อนโยน
พ่อไป๋แสดงท่าทางเมินเฉย ขณะจิบชาเล็กน้อย
แม่ไป๋รู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อเห็นแบบนั้น ก่อนที่สายตาของหล่อนจะหันไปจับจ้องที่มู่ตงตัวน้อยในอ้อมแขนหลินม่าย
แก้มสีชมพูอันอ่อนนุ่มนั้นดูน่ารักมาก ทำให้หล่อนนึกอยากจะกอดเด็กน้อยจริง ๆ
แต่เมื่อเผชิญกับสายตาเย็นชาของหลินม่าย หล่อนจะกล้าร้องขอสิ่งนั้นได้อย่างไร?
หล่อนยืดคอด้วยความเขินอาย มองทารกในอ้อมแขนของหลินม่ายจากระยะไกล พยายามคิดคำพูดก่อนพูดออกมา “เด็กน้อยน่ารักมากจริง ๆ แต่ผอมไปหน่อย”
มู่ตงตัวน้อยไม่ได้อ้วน แต่ก็ไม่ได้ผอมเช่นกัน
ฟางจั๋วหรานเคยพูดว่า มู่ตงตัวน้อยนั้นสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป
หลินม่ายรู้ว่าแม่ไป๋ต้องการพูดเอาใจตน แต่เธอไม่อยากคุยกับอีกฝ่าย จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
แม่ไป๋ทำได้เพียงปิดปากด้วยความเขินอาย ลดศีรษะลงและหยอกล้อกับเถียนเถียน
เถียนเถียนชอบคุณย่ามาก เมื่อแม่ไป๋หยอกล้อ หล่อนจึงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
เด็กมีความคิดเปรียบเทียบแล้วแม้อายุยังน้อย
เพราะแม่ไป๋ปฏิบัติต่อเถียนเถียนดีกว่าที่คุณย่าปฏิบัติต่อหล่อน เถียนเถียนจึงชอบแม่ไป๋มากกว่า
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจอคุมกำเนิดโปรเจคกลางอากาศแบบนี้ก็เซ็งเหมือนหลินม่ายนะคะ พูดซะดิบดีว่ามีโครงการใหญ่ให้ พอถึงวันจริงกลับบอกว่าไม่มีแล้ว ทั้งที่ทางเราก็เตรียมคนเตรียมอะไรมาพร้อม
ป้าเฝิงฝันหวานไปเปล่า ต่อให้เขาไม่คบกับลูกสาวคุณเขาก็ไม่เดือดร้อนหรอก หาสาวคนอื่นที่หิวเงินน้อยกว่านี้ก็ยังได้
ไหหม่า(海馬)