แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 98 ป้าหูใจร้าย
ตอนที่ 98 ป้าหูใจร้าย
หลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายก็ล้มตัวลงนอนงีบสักพัก กะเวลาว่าอาหารเย็นใกล้ปรุงเสร็จค่อยลงไปด้านล่าง
ขณะที่เธอกำลังรินน้ำเย็นหนึ่งแก้วให้ตัวเอง คุณป้าอายุราว ๆ ห้าสิบก็เดินอาด ๆ เข้ามา
หล่อนยิ้มให้และเป็นฝ่ายทักทาย “ฉันแซ่หู อยู่บ้านถัดจากเธอนี่เอง เธอจะเรียกฉันว่ายายหูก็ได้นะ”
หลินม่ายเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง แล้วพูดคุยด้วยรอยยิ้ม “คุณยังดูไม่แก่เลย เรียกว่าคุณป้าดีกว่าค่ะ”
สำหรับชาวเจียงเฉิงในยุคสมัยนี้ การเรียกขานอีกฝ่ายด้วยวัยวุฒิที่ต่ำกว่าความเป็นจริงถือเป็นการไม่ให้เกียรติ
ป้าหูรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จิบปากจิบคอพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ฉันมีหลานชายแล้วนะ ยังจะเรียกฉันว่าป้าอยู่เหรอ?”
หลินม่ายยังคงถามอย่างสุภาพ “หลานชายของคุณอายุเท่าไหร่คะ?”
ป้าหูตอบกลับ “ห้าขวบแล้ว”
หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ลูกสาวของฉันจะอายุครบสี่ขวบสิ้นปีนี้ หล่อนอายุใกล้เคียงกับหลานชายของคุณด้วยซ้ำ แบบนี้จะให้ฉันเรียกคุณว่ายายได้ยังไงล่ะคะ?”
ป้าหูทำสีหน้าแปลกใจ ชี้นิ้วไปทางประตูร้านที่โต้วโต้วกับหลานชายของหล่อนกำลังเล่นด้วยกันอยู่ พลางถามด้วยความไม่เชื่อ “นั่นลูกสาวของเธอหรอกเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะรินน้ำเปล่าให้หล่อนอีกแก้วหนึ่ง
ป้าหูรีบโบกไม้โบกมือและพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า “ไม่ต้องหรอก วันนี้บ้านฉันต้มซุปถั่วเขียว ฉันดื่มซุปถั่วเขียวไปแล้ว วันนี้อากาศร้อนจะตายไป ยังจะให้ฉันดื่มน้ำต้มสุกอีกหรือ!”
หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ไม่คิดรินน้ำให้หล่อนอีก
ป้าหูมองหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธออายุเท่าไหร่?”
หลินม่ายไม่อยากบอกความจริงกับหล่อน จึงโกหกไปว่า “ยี่สิบแล้วค่ะ”
ทันใดนั้นสีหน้าประหลาดใจของป้าหูก็จางหายไป
การมีลูกตั้งแต่อายุสิบหกปีถือเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท
สายตาของหล่อนแสดงความเหนือกว่าออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ดีแล้วที่ผิวพรรณของเธอดีไม่หยาบกร้าน ที่แท้ก็โตแล้วนั่นเอง ฉันนึกว่าเธอมีอายุแค่สิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น”
หลินม่ายยิ้มให้ ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย
ดูเหมือนป้าหูจะหมดเรื่องคุยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนยังสรรหาเรื่องมาพูดคุยต่อไป “คนที่มาช่วยเธอย้ายบ้านเมื่อเช้าใช่สามีของเธอหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
ป้าหูตกตะลึงไปพักหนึ่ง “แล้วสามีของเธอไปไหนเสียล่ะ?”
หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “ฉันไม่มีสามี”
พอป้าหูได้ยินแบบนี้ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยความสงสัยหลายครั้ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองโต้วโต้วที่เล่นอยู่หน้าประตูร้าน
จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อเสียใหม่ “พ่อเฒ่าเฮ่อปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ราคาเท่าไหร่?”
หลินม่ายตอบเธอด้วยสี่คำสั้น ๆ “ไม่สะดวกบอกค่ะ”
ป้าหูไม่คาดคิดว่าเธอจะตอบแบบนี้ หล่อนสำลักน้ำลายตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่เห็นจะเป็นความลับตรงไหนเลยนี่ เธอไม่เห็นต้องปิดบังกันเลย!”
หลินม่ายไม่ตอบ ทำเป็นเมินคำพูดของอีกฝ่ายไปเสีย
ป้าหูกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แล้วยกมือขึ้นเพื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “นี่ก็ค่ำแล้ว เธอยังไม่เข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นอีกรึ?”
หลินม่ายตอบกลับ “ฉันไม่ได้เข้าครัวเพราะกำลังคุยกับคุณป้าอยู่นี่ไงคะ อีกอย่าง ฉันยังมีคนทำอาหารให้”
ดูเหมือนว่าป้าหูจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ “แล้วเธอจะทำกับข้าวอะไรกินกันล่ะ?”
หลินม่ายมองหล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ
ต่อให้พวกเธอจะทำกับข้าวอะไรก็ตาม เธอคงไม่ชวนหล่อนมาร่วมโต๊ะด้วยแน่ ช่างเป็นคำถามที่พิลึกเสียจริง
หลินม่ายตอบกลับ “ฉันทำกับข้าวแค่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ เป็นเมนูง่าย ๆ ทั้งนั้น”
“เข้าครัวทำกับข้าวเองก็ดีเหมือนกัน ประหยัดเงินดีด้วย” หลังจากพูดแบบนั้นออกมา ป้าหูก็เปลี่ยนท่าทางเป็นโอ้อวด “ช่วงนี้เจียงเฉิงฝนตกบ่อยเกินไป สภาพอากาศทำให้เบื่ออาหารได้ง่าย มื้อเย็นวันนี้ฉันทำหมูเส้นผัดจ้าฉ่าย กุยช่ายผัดไข่ แล้วก็ซุปเต้าหู้ใส่กุ้งแห้ง หยดน้ำมันงาลงไปสองสามหยด มันวาวน่ากินเชียวล่ะ…”
ยังสาธยายไม่ทันจบ ประตูห้องครัวที่ปิดอยู่ในตอนแรกก็เปิดออก กลิ่นหอมของซุปซี่โครงหมูลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณทันที
โจวฉายอวิ๋นเดินออกมาพร้อมกับซุปซี่โครงหมูหม้อใหญ่ ตะโกนเรียกไปพลาง “กับข้าวเสร็จแล้ว!”
หลินม่ายจงใจถาม “ยังมีกับข้าวอย่างอื่นอีกไหม ฉันจะได้ไปยกมาวาง”
“มีต้มปลาผักกาดดอง มันฝรั่งเส้นผัด เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน แล้วก็หมูเส้นผัดขึ้นฉ่าย”
ป้าหูมองหลินม่ายยกกับข้าวออกมาจากห้องครัวทีละจาน สีหน้าของหล่อนฉายแววสับสนเล็กน้อย
นี่น่ะหรือกับข้าวไม่กี่อย่างที่เธอว่า?! เมนูทั้งหลายที่หล่อนเคยคุยโวโอ้อวดก่อนหน้านี้แทบเปรียบเทียบกับเมนูเหล่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ป้าหูจึงจำใจขอตัว “พวกเธอกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านแล้ว”
หลินม่ายเองก็ตอบไปตามมารยาทเหมือนกัน “ไว้ถ้าว่างแล้วมานั่งคุยกันใหม่นะคะ”
หลังจากร้องเรียกโต้วโต้วสองถึงสามครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยก็วิ่งกลับเข้าบ้านพร้อมกับอาหวง
โจวฉายอวิ๋นวางชามกับตะเกียบบนโต๊ะ สีหน้าแสดงความรังเกียจ “ป้าหูมาวุ่นวายอะไรแถวนี้อีกล่ะ?”
หลินม่ายตีมือน้อย ๆ ของโต้วโต้วเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังจะเอื้อมไปหยิบผัก “ล้างมือก่อนสิ!”
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามโจวฉายอวิ๋น “ทำไมล่ะ? พี่รู้จักกับป้าหูด้วยหรือ?”
ปกติแล้วโจวฉายอวิ๋นเป็นคนขี้อาย ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนจะทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านอย่างป้าหูทั้ง ๆ ที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้เพียงไม่นาน ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อย
“ไม่เชิงรู้จักเสียทีเดียวหรอก”
โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าโต้วโต้ววิ่งกลับมาหลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปลากเก้าอี้ออกมาให้เธอนั่ง
“เมื่อเช้าตอนที่ฉันขายซาลาเปากับไข่ต้ม หล่อนพาหลานชายของตัวเองมาด้วย ทำทีเป็นขอซื้อซาลาเปากับไข่ต้ม พอรับของแล้วก็เดินจากไปโดยไม่จ่ายเงินให้ฉัน ฉันเลยเรียกหล่อนไว้แล้วเตือนให้หล่อนจ่ายเงินมา ลองเดาดูสิว่าหล่อนพูดว่าอะไร?”
หลินม่ายตอบด้วยน้ำเสียงดูถูก “จะพูดอะไรได้? คงไม่พ้นอ้างว่าตัวเองอาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันกับเรา ยังคิดจะเรียกเก็บเงินค่าอาหารจากกันอยู่หรือ?”
โจวฉายอวิ๋นดูประหลาดใจ “เธอรู้ได้ไงเนี่ย? ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย”
หลินม่ายพูดพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา “คนมีนิสัยเอาเปรียบก็ชอบพูดจาทำนองนี้แหละ”
ก่อนจะถามกลับ “แล้วสุดท้ายหล่อนยอมจ่ายค่าซาลาเปากับไข่ต้มให้พี่ไหม?”
โจวฉายอวิ๋นตอบ “ฉันทวงเงินจากหล่อนต่อหน้าลูกค้าที่ยืนออกันอยู่เต็มหน้าร้าน เธอคิดว่าหล่อนจะยอมจ่ายหรือยอมขายขี้หน้ากันล่ะ? ฉันถึงได้รู้สึกตงิดใจ ในเมื่อหล่อนคิดจะโกงเราแต่แรก แล้วยังกล้ามาหาเราถึงหน้าประตูอีกหรือ?”
หลินม่ายเอนตัวไปกระซิบกับเธอ “ที่หล่อนมาก็เพราะอยากอวดว่าครอบครัวของตัวเองมีฐานะมั่งคั่งยังไงล่ะ ที่หล่อนมาขอซื้อซาลาเปากับไข่ต้มกับพี่เมื่อเช้านี้ ก็เพราะต้องการจะเหยียดพี่ ไม่ใช่เพราะมีเจตนาโกงอะไรหรอก”
โจวฉายอวิ๋นรู้แบบนั้นก็ยิ่งรังเกียจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
หลังมื้ออาหารเย็น จานและตะเกียบถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นทำการเตรียมของให้พร้อมสำหรับการเปิดร้านในวันพรุ่งนี้
ส่วนโต้วโต้วพาอาหวงออกไปวิ่งเล่น
หลินม่ายหยิบเอากระเทียมดองหลายกลีบออกมาล้างผ่านน้ำ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเห่ากรรโชกของอาหวง
เธอวางงานในมือลงแล้ววิ่งออกไป ระหว่างนั้นก็ตะโกนสั่ง “โต้วโต้ว จับอาหวงเอาไว้นะ อย่าปล่อยให้มันเผลอไปกัดใครเข้า!”
จนกระทั่งเธอวิ่งออกไป ถึงเห็นว่าอาหวงไม่ได้จ้องจะกัดใครทั้งนั้น แต่ป้าหูกับหลานชายของหล่อนกำลังขับไล่โต้วโต้วที่ไปยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของพวกเขา
อาหวงคงคิดว่าพวกเขาต้องการจะทำร้ายโต้วโต้ว ดังนั้นมันจึงเห่าเสียงดัง แต่ก็ได้แค่เห่าอย่างเดียว ไม่ได้กระโจนเข้าไปกัดใคร
ป้าหูเห็นหลินม่ายเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ามืดมน ก็รีบคว้าแขนหลานชายของตัวเองไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ขังหมาของเธอเอาไว้สิ มาแยกเขี้ยวใส่กันแบบนี้เดี๋ยวเด็กก็ตกใจแย่หรอก”
ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะตอบอะไร อีกฝ่ายก็ปิดประตูใส่หน้าเธอไปแล้ว
หลินม่ายจูงแขนโต้วโต้วแล้วพาเธอเดินกลับบ้าน “ทำไมลูกถึงไปยืนเกาะประตูรั้วบ้านของคนอื่นเขาล่ะ พอโดนเขาไล่ก็ยังไม่รีบออกมาอีก?”
โต้วโต้วโผเข้าหาอ้อมแขนของเธอแล้วตบด้วยเสียงกระซิบ “บ้านของหยางหยางมีทีวี หนูอยากดูทีวีของเขาบ้าง…”
หยางหยางก็คือหลานชายของป้าหู
“พวกเขาคงไม่อนุญาตให้หนูเข้าไปใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นหนูก็ไม่ต้องเข้าไปหรอก”
เด็กหญิงตัวน้อยโอบคอหลินม่ายไว้แล้วพูดอย่างโกรธเคือง “หนูไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปในบ้านของเขาเลย หนูแค่อยากยืนอยู่หน้ารั้วบ้านของเขาแล้วดูทีวีจากข้างนอก แต่ย่าของเขากลับไม่ยอมให้หนูทำแบบนั้น… ก่อนหน้านี้หนูยังเคยแบ่งลูกอมน้ำมันหมูให้หยางหยางแท้ ๆ”
หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอ “บางครั้งถึงหนูจะทำดีกับคนอื่นเพราะคิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่คนอื่นเขาอาจไม่ได้มองว่าเราเป็นเพื่อนของเขาเสมอไป อย่าเศร้าไปเลย พรุ่งนี้แม่ว่าง แม่จะออกไปซื้อวิทยุเทปกับการ์ตูนสักสองสามเรื่องมาให้ ลูกอยากฟังการ์ตูนจากวิทยุไหม?”
ยุคนี้โทรทัศน์มีราคาแพงเกินไป
แค่โทรทัศน์ระบบขาวดำขนาดสิบสองนิ้วธรรมดา ๆ ก็มีราคาสูงถึงสี่ร้อยหยวนแล้ว ไม่นับรวมถึงคูปองอุตสาหกรรม
ด้วยสภาพการเงินในตอนนี้ หลินม่ายไม่มีทางจ่ายเงินซื้อของราคาแพงขนาดนั้นได้แน่ นับประสาอะไรกับคูปองอุตสาหกรรมพวกนั้น
แตกต่างจากวิทยุเทปที่สามารถหาซื้อได้ในราคาห้าสิบถึงหกสิบหยวน และใช้คูปองอุตสาหกรรมแค่สองใบ ด้วยราคานี้เธอยังพอมีปัญญาจ่ายอยู่บ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีเพื่อนบ้านแบบนี้ก็ปวดประสาทดีพิลึกนะคะ มาหาเรื่องถึงบ้านเลย
ไหหม่า(海馬)