แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 134 ตามมา
เห็นได้ชัดว่าหญิงชราสองคนนี้พูดกล่อมได้ไม่ค่อยสำเร็จสักเท่าไหร่นัก ป๋ายรุ่ยฮัวถึงได้เช็ดน้ำตาแล้วกำลังจะพุ่งตัวไปตรงข้างทางอีกครั้ง
ชายชราขายผักค่อนข้างทนไม่ไหวแล้ว เขาตะโกนขึ้นมาอย่างรุนแรง “พวกผู้หญิงเรื่องเยอะ! …ต้าหู ก็แค่แต่งเมียเองไม่ใช่รึ ? เจ้าสู่ขอสะใภ้ตระกูลป๋ายเรื่องก็จบแล้ว ข้าดูแล้วผู้หญิงคนนี้เอวเล็กก้นกลม นางจะต้องมีลูกตัวอ้วนให้เจ้าได้อย่างแน่นอน ผู้ชายอย่างเราแต่งกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละ! เร็วเข้าสิ ยังจะไปอยู่ไหมอำเภอน่ะ ?!”
ซุนต้าหูร้อนรนจนมีเหงื่อไหลลงมาจากบนหน้าผาก เขาเอาแต่พูดปฏิเสธทั้งอย่างนั้น “ไม่ได้ ข้าแต่งไม่ได้จริง ๆ ข้า… ข้า…”
ติดอ่างอยู่สักพักก็ยังคงบอกสาเหตุไม่ได้อยู่ดี
ต่อให้ซุนต้าหูจะกล้ามากเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถพูดชื่อเจียงป่าวชิงออกมาได้ในตอนนี้ เพราะเขารู้ว่าปากของพวกแม่สื่อแม่ชักมักจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด หากเขาพูดอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด เจียงป่าวชิงจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยยกใหญ่
ในน้ำขุ่นนี้ เขาไม่สามารถดึงน้องป่าวชิงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
ซุนต้าหูยิ่งเป็นเช่นนี้ สีหน้าของป๋ายรุ่ยฮัวก็ยิ่งขาวซีดเหมือนกระดาษเข้าไปทุกที นางกัดริมฝีปากล่างและยิ้มให้ซุนต้าหูอย่างโศกเศร้า “ต้าหู เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ข้าคิดผิดเองที่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ เพียงเพราะตัวข้าเองอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เจ้าปล่อยมือแล้วให้ข้าตายไปก็สิ้นเรื่อง ข้าไม่โทษเจ้าหรอก และหวังว่าต่อไปเจ้าจะสามารถแต่งงานกับหญิงสาวที่เจ้ารักอย่างที่เจ้าต้องการได้”
ป๋ายรุ่ยฮัวยิ่งพูดเช่นนี้ จิตใจของซุนต้าหูก็ยิ่งรู้สึกผิดและโทษตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
คนกลุ่มหนึ่งตกอยู่ในภาวะยืนกรานและไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน แต่ผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเสียงดังดังมาจากตรงหัวโค้งของเส้นทางบนภูเขา
เจียงป่าวชิงได้ยินราง ๆ ว่ามีคนกำลังพูดเร่งรัด “รีบตามไป อย่าให้นางหนีไปได้”
และนอกจากนี้ ยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กอีกด้วย
เจียงป่าวชิงได้ยิน พวกป๋ายรุ่ยฮัวเองก็ได้ยินเช่นกัน
สีหน้าของป๋ายรุ่ยฮัวตึงขึ้นทันที นางตัวสั่นพลันโถมตัวเข้าใส่ในอ้อมอกของซุนต้าหูอย่างเร็ว “ต้าหู ช่วยข้าด้วย!”
การโถมตัวอย่างกะทันหันนี้ทำให้ซุนต้าหูตัวแข็งทื่อทันที แต่เขาก็ไม่ได้ผลักป๋ายรุ่ยฮัวออกไป
ตอนนี้คนกลุ่มนั้นเลี้ยวโค้งมาตรงหัวโค้งที่ถนนบนภูเขาแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นซุนต้าหู ป๋ายรุ่ยฮัวและพรรคพวกกำลังยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน พวกเขาก็มึนงงก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นดีใจและมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็มีมาให้เห็นทั้งหมด
แววตาเหี้ยมปรากฏขึ้นในดวงตาของหัวโจกที่เป็นชายวัยกลางคนผู้ซึ่งหน้าตาอัปลักษณ์ดูเหมือนจะไม่ใช่คนดีอะไร เขาก้าวออกมาเร็ว ๆ และชี้ป๋ายรุ่ยฮัว “หนอยแน่ป๋ายรุ่ยฮัว มิน่าล่ะ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมแต่งงานสักที ที่แท้ก็มีชายชู้นี่เอง! กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ แต่กลับมาโอบกอดกับชายชู้ได้ ป๋ายรุ่ยฮัวเจ้ามันหน้าไม่อายจริง ๆ!”
นี่คือญาติที่มีความสัมพันธ์ห่าง ๆ กับครอบครัวของป๋ายรุ่ยฮัว คำนวณดูแล้ว การที่ป๋ายรุ่ยฮัวติดตามผัวของนาง นางจะต้องเรียกเขาว่าลูกพี่ลูกน้อง
ป๋ายรุ่ยฮัวเหมือนเพิ่งพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของซุนต้าหู นางจึงส่งเสียงร้องอย่างตกใจแล้วหลบหลีกออกมาจากในอ้อมกอดของซุนต้าหู
ซุนต้าหูรู้สึกโล่งอก กล้ามเนื้อที่เกร็งของเขาก็ได้คลายตัวลง เขาเกาศีรษะแล้วพยายามพูดอธิบาย “พี่ป๋ายเหล่าซาน พี่เข้าใจผิดแล้ว ข้ากับสะใภ้ตระกูลป๋ายไม่ได้เป็นอะไรกัน เมื่อสักครู่นางจะกระโดดหน้าผา ข้าจึงต้องจับนางไว้”
“เฟิ่งเอ๋อร์!” เสียงร้องตกใจของป๋ายรุ่ยฮัวขัดจังหวะคำพูดอธิบายของซุนต้าหู จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าในไม่กี่คนที่ตามเขามายังมีคนที่อุ้มเฟิ่งเอ๋ออยู่ ตอนนี้เมื่อเฟิ่งเอ๋อเห็นแม่ของตัวเอง นางก็ร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม และบิดตัวดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของคนคนนั้นและยื่นมือมาหาป๋ายรุ่ยฮัว “แม่ อุ้ม แม่จ๋า…”
คนคนนั้นหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด เขาจับเฟิ่งเอ๋อร์ไว้แน่นแล้วตะคอกใส่เฟิ่งเอ๋อร์เสียงดังลั่น “เด็กชดใช้เงิน หากว่าเจ้าโวยวายอีก ข้าจะโยนเจ้าลงไปเป็นอาหารของหมาป่า”
เฟิ่งเอ๋อร์ตกใจจนตัวสั่น นางก็อดกลั้นเสียงร้องไห้ไว้ในลำคอ
น้ำตาของป๋ายรุ่ยฮัวไหลทะลักราวกับเขื่อนแตก นางอยากเข้าไปกอดเฟิ่งเอ๋อร์ใจจะขาด แต่กลับถูกชายแรงเยอะจับแขนทั้งสองข้างไว้แน่น
สีหน้าของป๋ายเหล่าซานยิ่งเยาะหยันขึ้นเรื่อย ๆ “ไอ้โย! มาแสร้งทำเป็นแสดงความรักที่ลึกซึ้งระหว่างแม่กับลูกสาวอะไรตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าทิ้งลูกสาวไว้แล้วหนีมาหาชายคนรักหรอกรึ ? น้องสะใภ้ เจ้าไม่ละอายใจต่อน้องชายขี้โรคของข้าบ้างรึ ? ซากกระดูกของเขายังไม่ทันหายเย็น เฟิ่งเอ๋อร์ก็ยังไว้ทุกข์ได้ไม่ถึงสามปี เจ้าก็มาให้ท่าซุนต้าหูคนนี้แล้ว เจ้านี่มีฝีมือจริง ๆ”
ซุนต้าหูอดไม่ได้ที่จะโต้เถียง “ไม่ใช่นะขอรับพี่ป๋ายเหล่าซาน เราไม่ได้…”
น้ำเสียงของป๋ายรุ่ยฮัวสูงขึ้น เสียงร้องไห้ของนางผสมไปด้วยความแหลมคม “ป๋ายเหล่าซาน เจ้าก็รู้หนิว่าซากกระดูกของลูกพี่ลูกน้องเจ้ายังไม่เย็น ?! นี่เจ้ากับคนพวกนั้นยังคิดจะขายข้าไปที่ภูเขาแห้งแล้งแล้ว”
ป๋ายเหล่าซานส่งเสียงอุทานในลำคอเล็กน้อย เขาจุ๊ปากแล้วพูดขึ้น “น้องสะใภ้ พอมีชายชู้หนุนหลังเข้าหน่อยเจ้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ และยังกล้าพูดกับพี่เจ้าเสียงดังเช่นนี้อีก ?” เขาเผยสีหน้าโหดร้ายออกมาให้เห็น “ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง แม้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งก็ต้องแต่งอยู่ดี!”
ป๋ายรุ่ยฮัวรู้สึกเพียงว่าในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ซุนต้าหูอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ป๋ายเหล่าซานกลับใช้สายตาทิ่มแทงเขาอย่างเหี้ยมโหดเสียก่อน “ลูกหลานตระกูลซุน เรื่องนี้ตระกูลป๋ายของเราจะไม่คิดบัญชีกับเจ้า แต่เจ้าควรรู้ตัวเองหน่อย มีหลายตาที่กำลังมองอยู่ ที่พวกข้าไม่ฟ้องที่เจ้าโอบกอดสะใภ้ตระกูลป๋าย ถือว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว! เอาเปรียบคนอื่นแล้วก็อย่าเที่ยวมายุ่งเรื่องของคนอื่นอีก เข้าใจไหม ?!”
ป๋ายรุ่ยฮัวถูกคนเหล่านั้นควบคุมตัวไป นางพยายามดิ้นรนและพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ต้าหู ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้า…”
ผู้คนที่ตามป๋ายรุ่ยฮัวเหล่านี้ไม่ได้กลัวว่าจะทำนางเจ็บอย่างซุนต้าหู พวกเขาควบคุมตัวป๋ายรุ่ยฮัวอย่างรุ่นแรง เมื่อป๋ายรุ่ยฮัวดิ้นรน ผมเผ้าของนางก็กระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าก็ยับยู่ยี่ ดูแล้วน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
ซุนต้าหูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ “ไม่ใช่นะขอรับพี่ป๋ายเหล่าซาน พวกพี่มีสิทธิ์อะไรมาบังคับให้สะใภ้ตระกูลป๋ายแต่งงาน ?”
“มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นรึ? ” ป๋ายเหล่าซานเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรทำนองนั้น เขาส่งเสียงหัวเราะและจ้องซุนต้าหูเขม็ง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าป๋ายรุ่ยฮัวคนนี้เป็นสะใภ้ของตระกูลป๋ายของเรา ตระกูลป๋ายของเราเลี้ยงนางมาตั้งแต่ยังเล็ก นางไม่ต่างอะไรกับลูกสาวของตระกูลป๋าย ถ้าจะแต่งงานอีก ก็ต้องฟังตระกูลป๋ายของเรานี่แหละ”
ซุนต้าหูฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก
ป๋ายเหล่าซานเองก็คร้านจะสนใจซุนต้าหูอีก ตอนนี้ตามเอาคนบ้านตัวเองกลับมาได้แล้ว เขาก็สั่งให้คนของตระกูลป๋ายพาตัวป๋ายรุ่ยฮัวกลับไป
ป๋ายรุ่ยฮัวยังอยากโวยวาย แต่คนของตระกูลป๋ายหมดความอดทนอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว “เจ้าลองโวยวายสิ! ถ้าเจ้าโวยวายอีกข้าจะโยนเฟิ่งเอ๋อร์ลงไปประเดี๋ยวนี้แหละ!”
ป๋ายรุ่ยฮัวตัวสั่น ในที่สุดนางก็ทำตัวเชื่อฟังไม่ดิ้นรนอีก และปล่อยให้คนอื่นควบคุมตัวนางได้อย่างตามใจ
“แบบนี้สิดี” ป๋ายเหล่าซานผิวปากอย่างพอใจ “น้องสะใภ้ เป็นคนต้องรู้จักเชื่อฟัง เจ้าเข้าใจไหม ?”