แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 153 ขอทานตัวน้อย
เจียงป่าวชิงยังคงถือขนมน้ำตาลไว้ นางลองกัดหนึ่งคำ ปรากฏว่าขนมน้ำตาลร้อนจนนางต้องสูดลมเข้าปากอยู่หลายครั้งหลายครา
“เจ้าไม่กินจริง ๆ รึ ?” เจียงป่าวชิงถามอย่างคลุมเครือ “ที่สำคัญคือข้าไม่ได้จ่ายเงินให้เจ้า เขาเองก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้า แต่ไม่ให้เจ้ากินอะไรเลยในตอนเช้านี่ออกจะไร้มนุษยธรรมไปหน่อยนะ… เฮ้อ! ขนมน้ำตาลนี้มันหวานอร่อยจริง ๆ น้ำตาลแทบไหลลงมาบนมือข้าอยู่แล้ว”
สงเชินก้าวถอยหลังเงียบ ๆ เขาเผยสีหน้าที่ไม่ค่อยเห็นด้วยออกมาให้เห็นเล็กน้อย คล้ายกับเขากำลังหาว่าเจียงป่าวชิงทำตัวไม่เหมาะสมอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงเห็นเขามีจรรยาบรรณในการทำงานขนาดนี้ นางจึงไม่บีบบังคับเขาอีก อันที่จริงนางเองก็ดีใจมาก “เจ้าไม่กินก็ดี ถ้าอย่างนั้นขนมสองชิ้นนี้ก็เป็นของข้าทั้งหมด”
เจียงป่าวชิงกินขนมน้ำตาลไปพลาง เดินตรงไปข้างหน้าไปพลาง
เสียงขายของทั้งสองข้างทางไม่ถือว่าดังรบกวนอะไร เถ้าแก่ของหลาย ๆ ร้านต่างกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้า ผู้คนผลัดกันเข้าผลัดกันออกแผงขายของถี่ขนาดนั้น เขาจะมีเวลามาส่งเสียงร้องขายได้ที่ไหนกัน
เจียงป่าวชิงเริ่มเดินตั้งแต่หัวถนน นางไม่ได้ซื้ออะไรมาก สิ่งที่นางซื้อก็เช่น เสี่ยวหลงเปา โดยนางซื้อเพียงครึ่งเข่งเท่านั้น ซาลาเปาลูกเล็กสามลูกที่จับจีบอย่างเป็นระเบียบซึ่งแป้งบางจนแทบจะเห็นไส้ข้างใน
ยังดีที่รสมันอร่อย เจียงป่าวชิงกัดหนึ่งคำก็รู้สึกพึงพอใจมาก
สงเชินตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบ ๆ เขานั้นถือได้ว่ายังเป็นองครักษ์ประสบการณ์ค่อนข้างน้อย องครักษ์ไป๋จีรุ่นก่อนหน้าเขาบอกเขามาว่าแม่นางเจียงคนนี้ไม่ธรรมดา และยังบอกให้เขาทำตัวให้มีชีวิตชีวาสำหรับวันนี้ ไม่อย่างนั้น หากว่ามีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้น ระวังนายท่านจะโมโหเอาได้
นึกมาถึงตรงนี้ สงเชินก็ระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
เจียงป่าวชิงไม่ได้มีนิสัยหวงอาหาร เริ่มแรกนางยังถามสงเชินเลยว่ากินหรือเปล่า แต่สงเชินยืนหยัดที่จะปฏิเสธอยู่เสมอ ตอนหลังนางจึงเลิกถาม ณ ตอนนี้สงเชินแสดงท่าทีราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างไรอย่างนั้น “แม่นางเจียง ข้าไม่กินจริง ๆ อย่าได้ชวนข้าเลยนะขอรับ”
“…” เจียงป่าวชิงมองเกี๊ยวน้ำสองถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะพลางส่งเสียงหัวเราะ “พี่ชายเข้าใจผิดแล้ว ทั้งสองถ้วยนี้คือของข้าทั้งหมดต่างหากเล่า”
สงเชินครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ว่าหรือที่องครักษ์ไป๋จีบอกว่าไม่ธรรมดา จะหมายถึงความสามารถในการกินอาหารของนาง
ใช่จริง ๆ ด้วย เห็นพวกคุณหนูจำนวนมากกินข้าวเหมือนให้อาหารนกมาก็ตั้งมาก เมื่อมาเห็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ กินได้ขนาดนี้ ตอนนี้สงเชินถึงจะรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของเจียงป่าวชิง
เมื่อเจียงป่าวชิงกินเกี๊ยวน้ำสองถ้วยเสร็จแล้ว นางก็ออกมาจากแผงขายอาหารเช้าอย่างพึงพอใจ ทว่าทันใดนั้นเอง ขอทานตัวน้อยเนื้อตัวมอมแมมวิ่งโซซัดโซเซมาทางนาง และได้ชนเข้ากับนางอย่างไม่ทันระวัง
ขอทานตัวน้อยเนื้อตัวมอมแมมรีบขอโทษขอโพยอย่างไม่หยุดหย่อน
“แม่นางเจียง…” สงเชินขมวดคิ้ว เขากำลังจะเข้าไปจับขอทานตัวน้อย ก็เห็นแม่นางเจียงที่ไม่ธรรมดาคนนี้จับแขนของเด็กน้อยพยุงขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสียก่อน “เจ้าเด็กน้อย ฝีมือของเจ้ายังถือว่าอ่อนไปหน่อยนะ”
สิ่งที่เด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมคนนี้ถือไว้อยู่ในมือคือกระเป๋าผ้าใบเล็ก
ดวงตาของขอทานตัวน้อยกลอกไปรอบ ๆ จากนั้นใบหน้าตกใจก็เปลี่ยนกลายเป็นร้องไห้ “ฮือ ๆ ๆ พี่ พี่อภัยให้ข้าเถอะนะ ข้าหิวจนไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ได้กินข้าวมาตั้งเจ็ดวัน พี่สาวผู้ใจบุญ ผู้ใหญ่มีบุญมากอยู่แล้ว พี่ยกโทษให้ข้าเถอะนะ”
เจียงป่าวชิงดึงกระเป๋าผ้าใบเล็กมาจากในมือของขอทานตัวน้อยและพูดยิ้ม ๆ “เจ้าเด็กน้อย จะโกหกก็ต้องแนบเนียนหน่อยสิ ไม่กินข้าวเจ็ดวันแต่เจ้ายังมีแรงสามารถมาคิดแผนการวิ่งชนเพื่อขโมยของคนอื่นได้ขนาดนี้ เจ้ามีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดารึยังไง ?”
ขอทานตัวน้อยเห็นเจียงป่าวชิงหน้าตาน่ารัก ทั้งยังพูดจาด้วยรอยยิ้มและไม่ก่นด่าตน ถึงแม้ว่าตนจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสิ่งที่นางพูด แต่ก็ยังคงมีความกล้าที่จะยิ้มไปพร้อมกับนาง “พี่สาว ที่บอกว่าเจ็ดวันนั้นข้าพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ข้าไม่ได้มีเจตนาจะหลอกพี่ ข้าไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว… พี่สาวคนงาม พูดจาก็ไพเราะ พี่ว่ายังไง ข้าก็ว่าตามนั้นเลย”
“ไม่เลวเลยหนิ อย่างน้อยแววตาของเจ้าก็ยังถือว่าใช้ได้อยู่” เจียงป่าวชิงพูดเสร็จก็นำกระเป๋าผ้าไปเก็บไว้ในอ้อมแขนตามเดิม แต่จู่ ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอ๊ะ! ข้าจำได้ว่าจังหวัดหยูเฟิงจัดสรรเงินจำนวนมากเพื่อสร้างโรงทานไม่ใช่รึ ? ท่านซุนจงอี้คนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือเด็กกำพร้ากับคนชรา เด็กอย่างเจ้าต้องเคยไปที่โรงทานและได้กินข้าวสิ แต่ทำไมถึงไม่ได้กินข้าวตั้งสองวันล่ะ ?”
ที่เจียงป่าวชิงจำเรื่องนี้ได้ก็เพราะตอนยังอยู่ในงานเลี้ยง พวกที่ชอบเลียแข้งเลียขาซุนจงอี้หยิบยกคุณงามความดีของเขาออกมาพูดซ้ำไปซ้ำมา คุณงามความดีทุกอย่างต่างต้องคุยโวโอ้อวดด้วยวาทศิลป์ ฟังดูเหมือนตำนานผานกู่เบิกฟ้ากับตำนานหนี่วาสร้างมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
ได้ยินแล้วมันทรมานหูมากจริง ๆ
นึก ๆ มาถึงตรงนี้ เจียงป่าวชิงก็รู้สึกนับถือกงจี้เป็นอย่างยิ่งที่เขาสามารถทนรับฟังจนจบได้โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาเลย เท่าที่นางเห็นเขาทำ เขาเพียงเผยรอยยิ้มเยาะหยันออกมาแต่ไม่ได้พูดเหน็บแนมอะไรแม้แต่คำเดียว
เมื่อพูดถึงโรงทาน สีหน้าของขอทานตัวน้อยเปลี่ยนไปทันที เขามองเจียงป่าวชิงอย่างตื่นตัว “เฮ้! นี่พี่เป็นพวกเดียวกับไอ้หมาซุนรึ ?”
ไอ้หมาซุน ?
ได้ยินชื่อเรียกเช่นนี้ นางก็รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เห็นดีเห็นชอบในตัวของซุนจงอี้เลย
เจียงป่าวชิงนึกถึงจุดยืนของกงจี้พลางส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ ซึ่งนั่นทำให้ขอทานตัวน้อยโล่งใจมากขึ้น จากนั้นเขาก็พูดต่ออย่างปากหวาน “พี่สาว ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนหน้าตาสะสวยอย่างพี่จะต้องไม่ใช่พวกเดียวกับไอ้หมาซุนนั่นแน่ ๆ”
บางทีนี่อาจจะเป็นทิศทางในการสำรวจอย่างหนึ่ง ไม่แน่นางอาจจะช่วยอะไรกงจี้ได้บ้างก็ได้
เจียงป่าวชิงแอบพิจารณาอย่างเงียบ ๆ นางคิดว่าไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องส่วนตัวตรงถนนในตอนที่ฟ้าสว่างจ้าเช่นนี้ นางจึงพาขอทานตัวน้อยไปหาอะไรกินก่อน
ขอทานตัวน้อยยัดเสี่ยวหลงเปาเข้าปากไปสามเข่งอย่างมูมมาม ตามด้วยน้ำเต้าหู้อีกสองถ้วยใหญ่ เมื่อกินเสร็จถึงจะเช็ดปาก “พี่สาวไม่ต้องห่วงนะ ข้ารู้หลักการที่ไม่มีอะไรได้มาโดยเปล่าประโยชน์ดี ครั้งนี้ที่พี่เลี้ยงข้าวข้า พี่คงจะอยากได้อะไรจากข้าแน่ ๆ พี่ถามมาได้เลย ข้าสัญญาว่าจะบอกสิ่งที่ข้ารู้ให้พี่ฟังทุกอย่าง”
เจียงป่าวชิงยิ้มจาง ๆ ขอทานตัวน้อยคนนี้หัวไวดีจริง ๆ นางพาเขาไปที่โรงเตี๊ยมใกล้ ๆ แต่เจ้าของร้านกลับขวางพวกเจียงป่าวชิงไว้พลางทำสีหน้าลำบากใจ “พวกเจ้า เอ่อ… นี่… นี่…”
สายตาของเจ้าของร้านไปหยุดอยู่ที่ขอทานตัวน้อยที่อยู่ข้างกายเจียงป่าวชิง
ขอทานตัวน้อยกระโดดตบไหล่เจ้าของร้านทันที “ไอ้คนชอบดูถูกคนอื่น! ใช่ว่าพี่สาวข้าจะไม่จ่ายเงินสักหน่อย”
เจ้าของร้านมองเจียงป่าวชิงที่อยู่ในชุดสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบอีกทั้งหน้าตายังน่ารัก สลับกับมองขอทานตัวน้อยที่เนื้อตัวมอมแมมจนมองไม่เห็นสีหน้าเดิมเพราะมีเขม่าสีเทาดำปกคลุมใบหน้าเกือบทั้งหมดอยู่
เจ้าของร้านพูดขึ้นอย่างลังเลใจ “นี่มัน… เอ่อ…”
สงเชินเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ เขาเผยดาบที่เอวออกมาในเวลาที่เหมาะสมพอดี
เจ้าของร้านตัวสั่นเทา เขารีบแสดงท่าทางเคารพนอบน้อมทันที “ได้! ได้เลย! พวกท่านเชิญทางนี้ ขึ้นไปข้างบน โปรดระวังใต้เท้าและระวังลื่นด้วย”
พวกเขาทั้งสามคนเข้ามาในห้อง ขอทานตัวน้อยตื่นเต้นมาก รีบกระโดดขึ้นไปบนเตียง ใบหน้ามอมแมมของขอทานตัวน้อยฝังลงไปในเครื่องนอน “อา… ข้าจำไม่ได้เลยว่าไม่ได้นอนบนเตียงมานานเท่าไหร่แล้ว”
เจียงป่าวชิงยังไม่ได้พูดอะไร ขอทานตัวน้อยก็เด้งตัวขึ้นมาจากเตียงเสียก่อนพลางพูดอธิบายกับเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าเหยเก “พี่… ข้าตื่นเต้นไปชั่วขณะ คือข้าดีใจจนลืมตัวไปหน่อย…”
ดูจากทรงของขอทานตัวน้อยแล้ว น่าจะอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ขอทานตัวน้อยบอกว่าจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้นอนบนเตียงมานานเท่าไหร่แล้ว เห็นทีว่าคงจะเป็นขอทานตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
เจียงป่าวชิงส่ายหน้า
ขอทานตัวน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางขวยเขินพลางถูมือกับกางเกงบนขา “พี่สาว พี่อยากถามอะไรถามมาได้ ถ้าข้ารู้ข้าจะบอกพี่ทั้งหมดเลย”
Related