แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 168 ถึงอย่างไรก็ยังมีคนฉลาดอยู่
เมื่อถึงบ้านตระกูลหลี ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังมากจากในบ้าน
อาหลีกับอาหญิงหลีสีหน้าร้อนรน โชคดีที่ทุกครอบครัวในหมู่บ้านชนบทมีประชากรเบาบาง ถ้าหากคนอื่นไม่ได้ยิน เพื่อนบ้านก็ต้องได้ยิน ไม่แน่พวกเพื่อนบ้านอาจจะนินทาหาว่าพวกเขาปฏิบัติต่อคนแก่อย่างโหดร้ายทารุณก็เป็นได้
อาจเป็นเพราะจิตใจตอนนี้เหมือนกำลังแบกความหวังอันน้อยนิดเพื่อจะเยียวยาให้ถึงที่สุด ตอนนี้อาหลีจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาเรียกเจียงป่าวชิงอย่างเร่งรีบ “เด็กตระกูลเจียง เจ้ารีบไปดูปู่หลีเร็วเข้าสิ”
ตอนนี้ลูกชายกับหลานชายของอาหลีต่างล้อมอยู่ข้างเตียงของปู่หลี แต่พวกเขากลับช่วยอะไรไม่ได้ น้ำเสียงที่ปู่หลีส่งเสียงร้องมีความแหบเจืออยู่เล็กน้อยแล้ว “อ๊าก! เจ็บ เจ็บจริง ๆ!”
เจียงป่าวชิงแหวกผู้คนออก นางยังไม่ทันได้ลงมืออะไรก็ได้ยินลูกชายของอาหลีพูดกับอาหลีอย่างตะลึงอยู่ตรงนั้นเสียก่อน “พ่อ พ่อพาไอ้ปัญญาอ่อนนี่กลับบ้านมาทำไมกันขอรับ ?”
ลูกชายของอาหลีพูดออกมาโดยไม่สนใจที่จะกดเสียงให้เบาลงเลย เจียงป่าวชิงได้ยินอย่างชัดเจน
สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยในตัวหมอนั้นมีเยอะมาก เจียงป่าวชิงเองก็คร้านจะโต้เถียงกับเขาเช่นกัน นางจึงลูบคลำจุดที่คุณปู่ใช้มือจับและส่งเสียงร้องอยู่ตลอด
แต่เมื่อเริ่มจับ น้ำเสียงของคุณปู่ที่มีความแหบเจืออยู่เมื่อสักครู่ก็เพิ่มระดับเสียงขึ้นทันที และเกือบทำให้เจียงป่าวชิงหูหนวกอยู่แล้ว
ลูกชายของอาหลีเห็นดังนั้น เขาก็ร้อนรนทันที “อ๊าก! ไอ้ปัญญาอ่อนเจ้าทำอะไร ? ปู่ข้าขาหักเจ้ายังจะบีบขาของเขาอีกเรอะ ?”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจเขา
ลูกชายของอาหลีจึงหันหน้าไปมองพ่อของเขา เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพ่อของเขาที่พาเจ้าปัญญาอ่อนเจียงป่าวชิงมาที่นี่ จากนั้นเขาก็พูดอย่างยากที่จะเชื่อได้ “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร ? ท่านให้ไอ้ปัญญาอ่อนนี่มาทรมานท่านปู่ข้าอย่างนั้นรึ ? ถ้าหากว่านางทรมานจนอาการของท่านปู่แย่ลง แล้วถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ตระกูลหลีของเรายังจะมีหน้าและศักดิ์ศรีเหลืออยู่อีกหรือ ?”
ตอนนี้หัวใจของอาหลีเต้นเร็วเหมือนตีกลอง เมื่อเขาได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ เขาก็อยากตบบ้องหูลูชายของเขาให้รู้แล้วรู้รอด “เจ้าเด็กบ้า หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว หุบปากซะ!”
ตอนที่สองพ่อลูกใช้เวลาโต้เถียงกัน เจียงป่าวชิงก็เก็บแขนกลับมาเรียบร้อยแล้ว “ท่านปู่หลีกระดูกหักจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ” นางพูดไปด้วยและวัดชีพจรของปู่หลีไปด้วย
เนื่องจากยุคเก่านี้ไม่มี ‘ฟิล์มเอ็กซ์เรย์’ เจียงป่าวชิงจึงต้องใช้มือคลำอย่างรุนแรง เล่นเอาปู่หลีเจ็บเสียจนสำลักและเกือบเสียครึ่งชีวิตไปเลยทีเดียว ตอนนี้การหอบหายใจที่ไร้เรี่ยวแรงก็ได้รับอากาศมากขึ้นและถ่ายเทอากาศน้อยลง
“ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ!” ลูกชายของอาหลีเสียดสีกลับ “ใครก็ดูออกว่าปู่ข้ากระดูกหัก”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจเขา นางทำเพียงพูดสั่งอาหลีเท่านั้น “อาหลีเจ้าคะ ช่วยข้าหาไม้กระดานที่ค่อนข้างตรงสักสองอันสิเจ้าคะ”
อันที่จริงควรใช้ปูนแข็งจะดีที่สุด แต่จะไปหาปูนแข็ง หรือที่ในยุคปัจจุบันเรียกว่า ‘ปูนปลาสเตอร์’ ได้จากที่ไหนในตอนนี้ จึงทำได้เพียงใช้สิ่งที่สำคัญรองลงมา จากนั้นก็ยึดขาของผู้ป่วยให้คงที่ก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนี้ปู่หลีดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว นั่นเป็นเพราะเจ็บมาก แต่ที่จริงสภาพชีพจรของเขากลับยังดีอยู่ และไม่ใช่ชีพจรที่อันตรายอะไร
อาหลีจึงขับไล่ลูกชายให้ไปด้านนอก “เจ้าไม่ได้ยินน้องสาวตระกูลเจียงของเจ้าบอกหรืออย่างไร ? ไป! ไปหาไม้กระดานเร็วเข้าเลย”
อันที่จริงวิธีการจัดการกับกระดูกหักของหมอที่นี่ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น นั่นก็คือหาสิ่งของมายึดไว้ให้คงที่
อันที่จริงชาวบ้านที่เกิดและโตที่นี่ต่างมีทักษะการเข้ากระดูกด้วยตัวเองกันทั้งนั้น เพราะครอบครัวส่วนใหญ่ไม่มีเงื่อนไขมากพอที่จะไปหาหมอ
เมื่ออาหลีเห็นวิธีจัดการของเจียงป่าวชิงนั้นเข้าท่ามาก ในใจของเขาก็สงบลงเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงหยิบไม้กระดานและลงมือกับขาของปู่หลีอย่างโหดเหี้ยมเพื่อยึดตำแหน่งให้คงที่ ส่วนปู่ก็หลีเจ็บจนไม่มีแรงที่จะส่งเสียงร้องได้อีกต่อไป ตอนนี้สีหน้าของเขาจึงซีดมาก
เมื่อถึงช่วงอายุแบบเขา การที่กระดูกหักหรือเอ็นขาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กเลยจริง ๆ
หลังจากที่เจียงป่าวชิงยึดตำแหน่งเสร็จแล้ว ก็ถือว่าการปฏิบัติอย่างฉุกเฉินได้สิ้นสุดลงแล้ว
หลังจากที่ปู่หลีกระดูกหักก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนที่พวกเขาเคลื่อนย้ายปู่หลี คาดว่าจะทำให้จุดที่กระดูกหักเคลื่อนที่ ดังนั้น ปู่หลีถึงได้เจ็บขนาดนี้ ในขณะนี้ หลังจากที่เจียงป่าวชิงลงมือเข้ากระดูกอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ความเจ็บที่ขาของปู่หลีก็ค่อย ๆ คลายลงอย่างช้า ๆ
“หมอใจดีคนนั้นเคยบอกข้าว่าหลังจากที่กระดูกหัก สิ่งต้องห้ามที่สุดก็คือห้ามเคลื่อนย้าย พวกท่านก็ไม่ต้องเคลื่อนย้ายปู่หลีไปมาอีก” เจียงป่าวชิงไม่ลืมวกกลับมาที่คำโกหกเกี่ยวกับหมอใจดีคนนั้น นางถือโอกาสหยิบยกหมอใจดีออกมาเพื่อนำมาเป็นข้ออ้างในการรักษา
ทว่าอาหญิงหลีกลับพูดปฏิเสธทันที “แบบนั้นไม่ได้ เพราะอีกประเดี๋ยวพอต้าหูเช่ารถมาที่นี่ เรายังต้องไปส่งพ่อสามีข้าไปตรวจดูอาการในอำเภออีก” เช่นนี้ถึงจะเป็นลูกสะใภ้ที่ได้มาตรฐานหน่อย ให้เด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งที่ปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปีรักษาอาการป่วยให้พ่อสามีที่ป่วย ถ้าหากว่าถูกเผยแพร่ออกไป อาหญิงหลีรู้สึกว่ากระดูกสันหลังของตัวเองอาจจะถูกทิ่มจนหักก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าอาหลีจะรู้สึกว่าเจียงป่าวชิงจัดการได้น่าเชื่อถืออยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี “…ทำให้มั่นใจหน่อยดีกว่า”
เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดกับครอบครัวนี้อย่างไรดีแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อนาง อีกทั้งยังทรมานผู้ป่วย แล้วนางจะทำอะไรได้อีก ? คุกเข่าเพื่อขอร้องให้พวกเขาฟังอย่างนั้นรึ ?
เจียงป่าวชิงจึงต้องเน้นย้ำกับบ้านตระกูลหลีด้วยสีหน้าราบเรียบอีกครั้งว่าสิ่งที่ห้ามที่สุดสำหรับคนกระดูกหักก็คือห้ามเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปมา
ตระกูลหลีตอบรับ แต่พวกเขายังคงตั้งใจจะพาปู่หลีไปตรวจดูอาการในอำเภออยู่ดี พวกเขาคิดว่าแบบนี้จะยิ่งปลอดภัยกว่า
…พอเถอะ พูดตรง ๆ คือพวกเขาไม่เชื่อนางนั่นเอง
เจียงป่าวชิงกระตุกมุมปาก ถ้านางไม่เห็นว่าพวกเขาต้องการปัดความผิดไปให้ซุนต้าหูล่ะก็ นางจะออกมายึดแผงขายของเช่นนี้ไปทำไมกัน
เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว นางทำได้เพียงพยายามพูดกำชับเป็นประโยคสุดท้าย “เส้นทางบนภูเขาค่อนข้างขรุขระ เบาะรองนั่งที่ปูบนรถของพวกท่านก็ควรจะหนานิดหน่อยนะ”
“รู้แล้ว ๆ” อาหลีพยักหน้า
เจียงป่าวชิงถือกระดูกของนางขึ้นมา จากนั้นนางก็กำลังจะเตรียมตัวกลับ แต่จู่ ๆ อาหญิงหลีก็เรียกนางไว้เสียก่อน “ป่าวชิงรอก่อน เจ้ายังกลับไม่ได้”
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงงทันที เหตุใดนางจะกลับไม่ได้ล่ะ ?
อาหญิงหลีเหลือบมองปู่หลีที่นอนอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าตอนนี้ปู่หลีจะไม่ค่อยส่งเสียงร้องแล้ว แต่เขายังคงเจ็บปวดถึงขั้นส่งเสียงสะอื้นออกมาอย่างทนไม่ไหว เห็นได้ชัดว่าดีกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก แต่อาหญิงหลียังคงเป็นห่วงอยู่ดี “ป่าวชิง ถ้าหากว่าเจ้ารักษาพ่อสามีข้าจนเขาแย่ลง เจ้าจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
เจียงป่าวชิงโมโห แต่นางหัวเราะออกมา “ได้สิเจ้าคะ แต่ข้าจะพูดอย่างชัดเจนตรงนี้ ถ้าหากว่าพวกท่านไม่ไปในอำเภอ แล้วข้ารักษาขาของปู่หลีจนเขาแย่ลง ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นข้าเองที่บอกว่าจะลองดู แต่พวกท่านกลับต้องการพาปู่หลีไปส่งที่สถานที่ให้บริการรักษาโรคในอำเภอ เส้นทางขรุขระโคลงเคลงขนาดนั้น ถ้าหากว่าปู่หลีได้รับการสั่นสะเทือนจนทำให้อาการของเขาแย่ลง พวกท่านยังจะปัดความรับผิดชอบสำหรับเรื่องนี้มาที่ข้าอีกอย่างนั้นรึ ? ข้าไม่ยอมหรอก”
อาหญิงหลีเกิดความร้อนใจทันที “เจ้าพูดแบบนี้ไม่ได้ ไม่แน่อาจจะเป็นเจ้าที่รักษาไม่ดีเองก็ได้ จากนั้นก็โทษการโคลงเคลงบนเส้นทางอย่างไรล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อ้อ งั้นรึ ? แต่อาหญิงหลี พวกท่านสามารถเลือกที่จะไม่ไปในอำเภอได้หนิเจ้าคะ”
ตอนนี้อาหลีกับลูกชายของเขาไม่พูดอะไรแล้ว พวกเขากำลังมองอาหญิงหลีโวยวายใส่เจียงป่าวชิงอยู่อย่างนั้น
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ปู่หลีที่นอนอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง “เฮ้อ… ขาข้าหัก พวกเจ้าแต่ละคนกินข้าวสารโดยเปล่าประโยชน์มาตั้งหลายปี ทำอะไรก็ไม่ดี ไอ้พวกเหลวแหลก! เด็กมันรักษาขาของข้าแป๊บเดียวจนข้าไม่รู้สึกเจ็บเท่าตอนแรกแล้ว แต่พวกเจ้าก็ยังมาเป็นแบบนี้อีก หน้าไม่อายจริง ๆ!”
ปู่หลีก่นด่าเสร็จก็เหนื่อยหอบ หลังจากที่หายใจเข้าเล็กหน่อยแล้ว เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหนู เจ้ากลับบ้านเถอะ ขาของข้าข้ารู้ดี! ข้าจะไม่ไปในอำเภอ และถ้าอาการแย่ลงข้าก็จะไม่โทษเจ้าด้วย”
เจียงป่าวชิงครุ่นคิด ถึงอย่างไร บ้านตระกูลหลีแห่งนี้ก็ยังมีคนฉลาดอยู่
ครอบครัวของอาหลีถูกปู่ตัวเองด่าขนาดนั้น พวกเขาจึงเก้อเขินและไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก อาหลีกระแอมไอเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกชายไปส่งเจียงป่าวชิงที่นอกบ้านด้วยท่าทางหงอยเหงา
เจียงป่าวชิงถือกระดูกของนางด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็จากไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามอง
.