แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 206 เปิดห้องตัดสินเพื่อไต่สวน
ทางฝั่งกงจี้ เมื่อเขาได้รับข่าวสารที่บอกว่าเจียงป่าวชิงเข้าครัวทำอาหารให้เถ้าแก่ร้านยาเกิ่งจื่อเจียง กงจี้ก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านทันที
ไป๋จีมือไวตาไว เขารีบยกกระดานหมากรุกหยกขาวที่วางอยู่บนโต๊ะหลีกออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเกรงว่านายท่านของเขาจะคว่ำทำมันพัง
สีหน้ากงจี้มืดครึ้ม เขาออกแรงตบโต๊ะจนเกิดเป็นรอยแตกบนหน้าโต๊ะเล็กน้อย
ไป๋จีวางกระดานหมากรุกหยกขาวไว้ด้านข้างอย่างเบามือ แล้วไปคุกเข่าลงตรงหน้ากงจี้ “นายท่าน โปรดนายท่านระงับความโกรธด้วยเถอะนะขอรับ”
“ระงับความโกรธอย่างนั้นรึ ? เหอะ! มีเรื่องอะไรให้ข้าต้องโกรธด้วยล่ะ” กงจี้หัวเราะเยาะ “หึ ๆ ข้าก็แค่โมโหที่เจียงป่าวชิงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ข้าไม่ดีกับนางตรงไหน ทำไมนางถึงไม่มาทำอาหารให้ข้าแทนที่จะไปทำให้ใครก็ไม่รู้นั่น!”
พูดมาถึงประโยคสุดท้าย กงจี้ก็ตบโต๊ะอย่างแรงอีกครั้ง แล้วยังตบที่มุมโต๊ะอย่างกะทันหันด้วย
ไป๋จียังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น ขณะนี้เขาแลดูหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากขาของกงจี้ไม่สามารถใช้งานตามปกติได้ เขาจึงคุ้มดีคุ้มร้ายและปล่อยตัวเองมาโดยตลอด แต่ไม่เคยโมโหมากเสียจนออกแรงที่มือขนาดนี้ มาตอนนี้ เมื่อตบฝ่ามือลงไป ก็ถึงกับมีพลังมากล้นประหนึ่งทองคำทำลายหินปรากฏขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ไป๋จีกลืนน้ำลายลงคอ เขาพยายามรวบรวมความกล้าพูดอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ระวังมือด้วยขอรับ อันที่จริงท่านลองนึกดูสิ ก่อนหน้านี้แม่นางเจียงก็เคยนำต้มซี่โครงใส่ฟักเขียวมาให้นายท่านด้วยเหมือนกัน แต่นายท่านกลับสั่งให้ฝูฉูนำไปเททิ้งเอง…”
กงจี้นึกถึงเรื่องนั้น สีหน้าเขาก็ยิ่งอึมครึมมากขึ้น ไฟโกรธในใจเขาก็ยิ่งปะทุหนักกว่าเดิมด้วย
ก็ตอนนั้นนางให้เขาคนเดียวที่ไหนกันเล่า ? ไม่ได้ยินเจ้าเด็กบ้านั่นบอกตอนหลังหรือไงว่านางยังต้องนำไปส่งให้ไอ้คนชื่อซุนต้าหูอะไรนั่นด้วย
เขาโมโหมาก ยิ่งนึกก็ยิ่งหงุดหงิดใจ เขาล่ะเซ็ง อยากจับเจ้าเด็กบ้านั่นแล้วตีนางแรง ๆ สักทีสองทีจริง ๆ
……
เจียงป่าวชิงกับเกิ่งจื่อเจียงกินข้าวมื้อกลางวันกันเสร็จก็ใกล้ถึงเวลาเข้ามาทุกที เจียงป่าวชิงตั้งใจจะไปดูสถานการณ์เปิดห้องตัดสินที่ที่ว่าการอำเภอเสียหน่อย ทว่าตอนที่กำลังจะออกจากบ้าน จู่ ๆ เกิ่งจื่อเจียงกลับเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างด้วยท่าทางที่ยากจะพูดออกมาทำนองนั้น
เจียงป่าวชิงพอเดาได้ นางเอ่ยขึ้น “ดูท่าทางหมอเกิ่งอยากให้ข้าช่วยสืบข่าวเรื่องฉือเชียนเชียนล่ะสิท่า ?”
สีหน้าชื่นบานพลันปรากฏบนใบหน้าเกิ่งจื่อเจียง “ทำไมเจ้าถึงรู้ล่ะ ?” แต่จากนั้นแววแห่งความเกรงใจก็ปรากฏในดวงตาของเขาขณะที่เขาพูดต่ออึก ๆ อัก ๆ “อ่า… ถึงแม้ว่าข้าจะให้ความเมตตาต่อคุณหนูฉือจนถึงที่สุดแล้ว แต่ถึงยังไง ข้าสองคนก็เคยอยู่ด้วยกันมาระยะเวลาหนึ่ง ข้าจึงอยากรู้ว่านางจะเป็นตายร้ายดียังไงในภายหลังก็เท่านั้นเอง…”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าเข้าอกใจ “อืม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงตอนนั้นข้าจะหาถามใครสักคนให้เจ้าก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่าเกิ่งจื่อเจียงจะเป็นคนดี แต่เขาไม่ได้โง่และไม่ได้เลอะเลือนถึงขั้นคิดจะไปช่วยฉือเชียนเชียน ซึ่งเจียงป่าวชิงปลื้มเขาในเรื่องนี้มาก
……
เจียงป่าวชิงมาถึงหน้าประตูที่ว่าการอำเภอแล้ว ทว่านี่อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา ประตูใหญ่ของที่ว่าการอำเภอจึงยังไม่เปิดเลย
ด้วยเหตุนี้ นางหันไปทักทายเจ้าหน้าที่ยืนเวรด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีลุงจู ยืนเวรหรือเจ้าคะ ?”
เจ้าหน้าที่จูลี่เห็นเจียงป่าวชิง เขาก็ยิ้มทักทายเด็กหญิงตัวน้อย “ไงสาวน้อย เจ้ามาแล้วรึ ?”
เจียงป่าวชิงยิ้มตอบ เมื่อนึกถึงเรื่องของเกิ่งจื่อเจียง นางกระซิบเสียงเบา “ลุงจู ข้าสืบข่าวกับลุงอีกสักเรื่องได้ไหมเจ้าคะ ?” พูดเสร็จ นางก็หยิบเงินออกมา ทว่าครานี้จูลี่ยื่นมือออกมาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “อ๊ะ! สาวน้อย อย่าเชียวนะ ครั้งที่แล้วเจ้าให้เงินข้าก็เยอะมากแล้ว เมื่อวานข้ากลัวมากเลย เจ้ามีอะไรก็ถามมาเถอะ ถ้าข้าบอกได้ข้าก็จะบอก ถ้าบอกไม่ได้ ต่อให้เจ้าให้เงินข้าหนึ่งร้อยตำลึง ข้าก็ไม่กล้าพูดหรอก”
เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ ขุนนางอำเภอจู้คนนี้ช่างมีฝีมือในการพูดเพื่อความถูกต้องจริง ๆ เล่นเอานางตื๊อไม่ได้เลย
แต่ในเมื่อลุงจูพูดมาเช่นนี้ นางไม่เกรงใจอีกต่อไป รีบเอ่ยถามเขาด้วยเสียงเบาราวกระซิบ “ข้าได้ยินมาว่าขุนนางอำเภอคนก่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีใหญ่ ข้าเองมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขารู้จักกับลูกสาวของขุนนางอำเภอคนก่อน ซึ่งข้าก็ได้ยินมาอีกว่านางเพิ่งถูกจับตัวไปเมื่อวาน จึงอยากถามว่านางจะถูดตัดสินโทษยังไงน่ะจ้ะ”
จูลี่มีท่าทีโล่งอก “ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ข้าก็คิดว่าเรื่องอะไร เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องลับอะไรอยู่แล้ว ลูกสาวของขุนนางอำเภอคนก่อนจะถูกทำให้จมลงในทางราชการ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างหนักใจ
แต่ก็นะ คุณหนูฉือคนนั้นสามารถรักษาชีวิตน้อย ๆ ของตัวเองไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว ถึงอย่างไร พ่อของนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีสมรู้ร่วมคิดกันต่อต้านท่านผู้นำ…
ยามนี้ดวงอาทิตย์เอียงเล็กน้อย มันส่องสะท้อนแสงมาตกกระทบท้องถนนที่อยู่ตรงทางเข้าที่ว่าการ ทำให้เห็นเป็นประกายสีทองระยิบระยับ
ในตอนนั้นเอง ประตูศาลาว่าการค่อย ๆ เปิดออกเบา ๆ
ความผิดฐานฉ้อโกงของซุนต้าหูกับซุนต้าตง กำลังจะเริ่มการไต่สวนแล้ว
ทุกครั้งที่ที่ว่าการแห่งนี้เปิดห้องตัดสินเพื่อไต่สวน พวกประชาชนรอบบริเวณมองว่าเป็นเรื่องฆ่าเวลา พวกเขามักจะพากันมามุงดูเสมอ
สำหรับใครหลาย ๆ คน คดีโกงหลอกเอาเงินไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือน่าหวาดเสียวอะไร ผู้คนที่มามุงดูมีไม่มาก แต่ก็ไม่ได้น้อย พวกเขากำลังยืนเป็นวงกลมอย่างคนไม่มีอะไรทำ และมีบางคนที่กำลังกระซิบกระซาบเรื่องมโนสาเร่กันอยู่
เจียงป่าวชิงอาศัยที่นางตัวเล็กมุดไปที่ด้านหน้าสุด
บนแท่นสำหรับให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการไต่สวนยืนประจำที่มันช่างให้อารมณ์เคร่งขรึมจริง ๆ ขณะนี้เจ้าหน้าที่สองคนแยกกันยืนเป็นสองแถว ในมือถือกระบองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ด้านซ้ายมีป้ายไม้ที่ทาสีแดงเขียนว่า ‘หลบเลี่ยง’ ส่วนด้านขวาเขียนว่า ‘นิ่งเงียบ’
ขุนนางอำเภอจู้กับท่านที่ปรึกษาเดินเข้ามาจากห้องโถงด้านหลัง ขุนนางอำเภอจู้นั่งหลังโต๊ะสอบสวน เขามองไปรอบ ๆ แล้วทุบค้อน “เปิดห้องตัดสิน! พาตัวนักโทษมา”
ซุนต้าหูกับซุนต้าตงต่างถูกคุมตัวขึ้นมาภายใต้เสียงอันทรงพลานุภาพของเจ้าหน้าที่สองฝั่งที่กำลังทำสีหน้าเคร่งขรึม
เจียงป่าวชิงสังเกตซุนต้าหู ถึงแม้นางจะเห็นสีหน้าของซุนต้าหูดูซีดเซียวไปหน่อย แต่ดูจากสภาพแล้ว บนตัวของเขากลับไม่มีร่อยรอยของการถูกลงโทษใด ๆ แต่ซุนต้าตงมีสีหน้ากระวนกระวายใจ เขาพยายามมองซุนต้าหูอย่างวิงวอน
ทั้งสองคนถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวมาตรงกลางห้องตัดสินและจับให้คุกเข่าลง
“ผู้ที่คุกเข่าอยู่ใต้แท่นตัดสินคือใคร นามว่าอะไร ?!” ขุนนางอำเภอจู้ทุบค้อนแล้วเริ่มไต่สวนทันที
ซุนต้าหูกับซุนต้าตงรายงานชื่อตัวเอง
ขุนนางอำเภอจู้ก้มหน้ามองจำนวนข้อกระทำความผิดที่วางอยู่บนโต๊ะสอบสวน จากนั้นเขาก็อ่านชื่อ รวมถึงจำนวนเงินที่ซุนต้าตงฉ้อโกงมาทีละรายการ อ่านเสร็จก็ทุบค้อนเสียงดัง ‘ตึง!’
“ซุนต้าตง ตอนนี้เจ้าทุกข์บอกว่าเจ้าฉ้อโกง เจ้าจะยอมรับโทษหรือไม่ ?”
ซุนต้าตงโน้มศีรษะเหมือนทุบกระเทียม “ท่านขุนนางอำเภอ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยจะไม่ยอมรับ แต่เรื่องนี้ ข้าน้อยเป็นเพียงแค่คนรับใช้ เป็นแค่หุ่นกระบอกที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น แท้ที่จริงยังมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง”
ขุนนางอำเภอจู้พูดขึ้น “อ้อ แล้วคนบงการที่เจ้าพูดถึงคือใครล่ะ ?”
ซุนต้าตงยืดตัวตรงพลางชี้ไปทางซุนต้าหูที่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ “คือเขา ซุนต้าหูหรือลูกพี่ลูกน้องของข้าน้อยเอง เขาบงการให้ข้าน้อยไปฉ้อโกงเงินมามากมาย เอกสารประทับรอยนิ้วมือที่ข้าน้อยมอบให้ท่านเมื่อครั้งที่แล้วคือหลักฐานขอรับ”
ขุนนางอำเภอจู้ถามซุนต้าหู “ซุนต้าหู เจ้ารู้โทษของตัวเองหรือเปล่า ?”
ซุนต้าหูก้มหน้า เนื้อตัวของเขาสั่นเทาดูน่าสงสารมาก ในแววตาเขามีความลังเลอยู่เล็กน้อย ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ซุนต้าตงเป็นฝ่ายร้อนรนแย่งพูดเสียก่อน “พี่หู พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าหากว่าข้าแบกรับโทษแทนพี่ พี่ลองคิดดูสิว่าเมียกับลูกข้าจะอยู่กันยังไง ?”
ขุนนางอำเภอจู้ทุบค้อน “ซุนต้าตงเงียบ! นักโทษไม่สามารถพูดได้โดยไม่ได้รับอนุญาต”
ซุนต้าตงรีบพยักหน้า “ขอรับกระผม ข้าน้อยทราบแล้ว” จากนั้นเขาก็สงบปากสงบคำ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ทำได้เพียงมองซุนต้าหูอย่างวิงวอน
และเป็นอีกครั้งที่ซุนต้าหูยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีหญิงคนหนึ่งร้องไห้เสียงดังและคิดจะเบียดเข้ามาด้านใน “ต้าตง! ต้าตง!”
น้ำเสียงนางแหบพร่า ซุนต้าหูตัวสั่น แต่ซุนต้าตงหันกลับไปมองอย่างดีใจ
ขุนนางอำเภอจู้ขมวดคิ้ว เขาทุบค้อนอีกครั้ง “ใครมาส่งเสียงดังอยู่ใต้แท่นตัดสิน ?”
ได้ยินเสียงที่ทำให้หวาดกลัวของขุนนางอำเภอจู้ เหล่าผู้คนที่กำลังดูเรื่องน่าสนุกกันอยู่ด้านนอกก็รีบหลีกทางให้หญิงคนที่มาใหม่ทันที และพบว่านางเป็นหญิงสาวที่มาพร้อมกับคนชรา โดยประคองคนชราด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็จูงเด็กคนหนึ่งมาด้วย
ซุนต้าตงพูดออกมาอย่างดีใจ “แม่ข้า เมียข้า พวกเขามาแล้ว!”
ผู้มาใหม่คือแม่ของซุนต้าตง ป๋ายรุ่ยฮัว และเฟิ่งเอ๋อร์ตัวน้อยนั่นเอง
.