แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 267 หวังอาซิ่งออกเรือน
น้องอาซิ่งกำลังจะแต่งงาน
เจียงหยุนชานรู้สึกแปลกใจมาก เขารู้ว่าหวังอาซิ่งหมั้นหมายแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่านางเด็กกว่าป่าวชิงมากอยู่ อันที่จริงคนที่บ้านนางควรให้นางอยู่ที่บ้านต่อไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็อย่างว่า ในหมู่บ้านมักมีเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง คือเด็กผู้หญิงอายุยังน้อยถูกให้หมั้นหมายแล้ว แต่โดยทั่วไปครอบครัวของเด็กผู้หญิงจะให้เด็กผู้หญิงอยู่ที่บ้านไปก่อนจนกว่าจะอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี แม้ทางฝั่งของบ้านสามีเร่งแล้วเร่งอีกก็ต้องรอให้สิบเจ็ดสิบแปดก่อน ครอบครัวของเด็กผู้หญิงค่อยให้แต่งออกเหย้าเรือนไป
การที่ให้เด็กผู้หญิงอยู่ที่บ้านต่อช่วงเวลาหนึ่งนั้น หนึ่งคือเพื่อให้นางได้ทำงานต่ออีกหน่อย สองคือหากว่าทำเช่นนี้ เมื่อแต่งออกไปก็จะได้หน้าได้ตา สามารถพูดได้ว่าเป็นทางฝั่งของบ้านสามีที่เร่งรีบอยากแต่งรับลูกสะใภ้เข้าไปเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหยุนชานก็คิดไม่ถึงว่าครอบครัวของหวังอาซิ่งจะต้องการให้ลูกสาวแต่งออกไปเร็วขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่นางอายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้น อันที่จริงยังไม่เกินสิบสองปี ถือว่ายังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กอยู่เลยด้วยซ้ำ
หวังอาซิ่งเหมือนมองเห็นถึงความแปลกใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเจียงหยุนชาน นางก้มหน้าและยังคงขยำชายเสื้อตัวเอง จากนั้นก็พูดพึมพำ “ครอบครัวนั้นเลี้ยงวัวสองตัวและถือว่ามีเงิน เสียก็แค่มือซ้ายของผู้ชายพิการตั้งแต่ยังเล็ก แม่ข้าบอกว่าพวกเขาอยากแต่งรับลูกสะใภ้เข้าบ้านเร็ว ๆ เพื่อจะได้ช่วยพวกเขาดูแลเรื่องงานบ้าน…”
นางบอกไปเช่นนั้นแต่อันที่จริงคือแม่ของนางไม่มีเงินเหลือแล้ว และแม่บอกว่าถึงอย่างไรก็หมั้นหมายแล้ว ให้นางแต่งออกไปเร็ว ๆ จะดีกว่าเพราะจะได้รับสินสอดมาเร็ว ๆ
แน่นอนว่าตัวหวังอาซิ่งเองก็ยังงุนงงอยู่เล็กน้อย
นางรู้ว่าเจียงหยุนชานทำเหมือนว่านางเป็นน้องสาวมาโดยตลอด ความชื่นชอบที่นางมีต่อเขามันไร้ประโยชน์ นางทำได้เพียงเก็บงำความชอบเอาไว้และฝังมันลึกลงไปในหัวใจเท่านั้น ซึ่งเอาเข้าจริงนางก็ไม่อะไรหรอก แต่นางเพิ่งจะอายุสิบสองปี นี่ชีวิตของนางจะเป็นเช่นนี้แล้วรึ ?
หวังอาซิ่งรู้สึกงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังรู้สึกกลัวอีก
แม่ของนางมองว่าตระกูลเจียงเป็นศัตรูจึงไม่อนุญาตให้คนแซ่เจียงมาโผล่ในพิธีแต่งงานของนาง แต่เมื่อนางคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นภรรยาของชายแปลกหน้าในวันมะรืน สัญชาตญาณของนางก็บอกให้มาหาเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน
เพียงได้มองเห็นพวกเขาจากที่ไกล ๆ แค่นั้นก็พอแล้ว
เจียงหยุนชานครุ่นคิดไตร่ตรองสักครู่ก่อนจะพยักหน้า “อืม ข้าจะไปร่วมงานเจ้านะ” พูดเสร็จก็หันไปมองเจียงป่าวชิงราวกับเป็นการถาม
เจียงป่าวชิงเองก็พยักหน้าเช่นกัน “อื้ม วันมะรืนใช่ไหม ? ข้าก็ไปด้วย”
หวังอาซิ่งเงยหน้าขึ้นมา เดิมทีนางอยากยิ้มแต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลลงมาซะอย่างนั้นจนนางต้องรีบเช็ดหน้าอย่างรวดเร็วและโบกมือให้สองพี่น้อง
“ขอบคุณ งั้นเราเจอกันวันมะรืนนะ” พูดเสร็จ ร่างเล็กก็รีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
……
ทางฝั่งตระกูลเจียง หลีโผจื่อกับโจซื่อยังคงคับแค้นใจเรื่องเงินสามตำลึงนั้น เรื่องการแต่งงานของหวังอาซิ่งจึงกลายเป็นที่ระบายของพวกนางพอดิบพอดี และตอนนี้พวกนางกำลังพูดกันอย่างสนุกปากอยู่ด้านนอก
“เหอะ ๆ เด็กเล็กขนาดนั้น แต่งออกไปไม่กลัวว่าจะเป็นหนึ่งศพต่อสองชีวิตรึ ?”
บังเอิญว่าแม่ของหวังอาซิ่งอยู่แถวนั้นและได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดี ความแค้นใหม่เพิ่มขึ้นซ้อนทับกับความแค้นเก่าทันที แม่ของหวังอาซิ่งโมโหมากจนเอากะละมังที่ใส่น้ำอุจจาระไปสาดหน้าประตูบ้านตระกูลเจียง และชี้หน้าด่าหลีโผจื่อว่าบ้านของหลีโผจื่อนั่นแหละที่ไม่สมควรได้มีทายาทอะไรเทือกนั้น
ตระกูลเจียงกับแม่ของหวังอาซิ่งถือว่ามีความแค้นต่อกันมานานจริง ๆ
เมื่อก่อน แม่ของหวังอาซิ่งเคยตั้งท้อง แต่เพราะนางทะเลาะกับหลีโผจื่อเกี่ยวกับเรื่องจุกจิก หลีโผจื่อผลักแม่ของหวังอาซิ่งจนนางแท้งลูกชายที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วในท้อง ในตอนนั้นแม่ของหวังอาซิ่งถึงกับเกือบจะไปรายงานตัวต่อพญายมอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ แม่ของหวังอาซิ่งจึงเกลียดตระกูลเจียงเข้ากระดูกดำ โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์นี้ หลีโผจื่อยังมาแว้งกัด บอกว่าแม่ของหวังอาซิ่งเป็นคนชนนางเอง แถมยังบอกว่าเอวตัวเองหักด้วย แล้วจากนั้นก็อาศัยว่าสมาชิกตระกูลเจียงมีจำนวนมาก ยกพวกมาขู่เอาค่ายาจากตระกูลหวัง
ตระกูลหวังที่น่าสงสารไม่เพียงแต่สูญเสียเด็กอย่างเดียว ยังต้องมาชดใช้ค่ายาจำนวนหนึ่งร้อยสลึงให้กับตระกูลเจียงอีกต่างหาก
ตั้งแต่นั้นมา ในสายตาแม่ของหวังอาซิ่งก็ไม่มีที่สำหรับคนแซ่เจียงอีกเลย
จนกระทั่งวันนี้ แม่ของหวังอาซิ่งได้ยินคำว่า “หนึ่งศพต่อสองชีวิต” จิตใจนางถูกกระตุ้นอย่างร้ายแรงจึงสาดอุจาระใส่ประตูบ้านตระกูลเจียงเสียเลย
ตอนเรื่องในวันนี้มีคนอยู่ในเหตุการณ์ค่อนข้างมาก พวกเขาต่างพูดว่าหลีโผจื่อเป็นฝ่ายผิดที่ปากพล่อย คนอื่นเขากำลังจะมีงานมงคล แต่นางกลับพูดจาเป็นลางไม่ดีให้กับคนอื่นเขาซะอย่างนั้น
หลีโผจื่ออยากก่นด่ากลับไป แต่คนที่เห็นเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ พากันป้องปากซุบซิบประณามนางอยู่ตรงนั้น นางรักในศักดิ์ศรีของตัวเองจึงผลักประตูเข้าบ้านไปด้วยใบหน้าอึมครึมและไม่ออกมาจากห้องอีกเลย
หลังจากเหตุการณ์นี้ วันที่หวังอาซิ่งแต่งงาน บ้านตระกูลเจียงจงใจปิดบ้านอย่างแน่นหนา กลายเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนกับบ้านข้าง ๆ อย่างบ้านตระกูลหวังที่เปิดประตูกว้างต้อนรับแขกผู้มางานมงคล และยังมีการตกแต่งแปะกระดาษมงคลสีแดงมากเป็นพิเศษด้วย
มนุษยสัมพันธ์ของตระกูลหวังในหมู่บ้านนั้นถือว่าใช้ได้เลย ประจวบเหมาะกับมีงานมงคลสมรส คนที่มามอบของขวัญกับเงินสมทบจึงมีไม่น้อย
ถึงแม้เป็นครอบครัวที่ยากจน แต่เจ้าให้สามสลึง ข้าให้ห้าสลึง พอนำมารวม ๆ กันก็เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย มุมปากของแม่หวังอาซิ่งแทบฉีกยิ้มไปถึงบนดวงตาอยู่แล้ว
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานไปให้ของขวัญ แม่ของหวังอาซิ่งหงุดหงิดทันที นางไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเขาสองคนและกำลังจะไล่พวกเขาออกไปก็เห็นหวังอาซิ่งที่สวมชุดสีแดงชุดใหม่พร้อมด้วยผ้าโพกศีรษะสีแดงวิ่งออกมาจากในห้องรอพิธีแต่งงานเสียก่อน
หวังอาซิ่งรีบบอก “แม่ ข้าเชิญพี่หยุนชานกับป่าวชิงมาเองเจ้าค่ะ”
แม่ของหวังอาซิ่งทำตัวเป็นเด็ก ๆ นางไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้นและไม่นึกถึงสภาพจิตใจของคนเป็นลูกสักเท่าไหร่ หลังจากได้ยินที่ลูกสาวพูด นางก็ชะงักแล้วหันหน้าหนีไปทำเหมือนมองไม่เห็นเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน ปากก็ไล่ให้หวังอาซิ่งกลับเข้าไปในห้อง
“อาซิ่ง! นี่เจ้ายังทำเหมือนว่าตัวเองเป็นเด็กเล็กไปได้ กำลังจะแต่งงานอยู่แล้วกลับวิ่งออกมาอย่างบุ่มบ่ามแบบนี้ รีบกลับเข้าไปในห้องซะ!”
หวังอาซิ่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานและผงกศีรษะเล็กน้อยแทนการขอโทษ ไม่นานนัก ร่างของนางถูกคนเป็นแม่ผลักเพื่อไล่ให้กลับเข้าไปในห้อง
เจียงป่าวชิงแอบเดินเข้าไปให้เงินสมทบอย่างเงียบ ๆ เงินนี้ไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยอะไรสำหรับชาวนาที่นี่ สิบสลึงถือว่ามากสำหรับครอบครัวชาวนาแล้ว
แม่ของหวังอาซิ่งเหลือบมองสมุดจดเงินสมทบที่คนทำหน้าที่เพิ่งจดยอดเงินเพิ่มลงไปเมื่อสักครู่ พอนางเห็นว่าในสมุดจดมีเงินเพิ่มมาสิบสลึงก็ส่งเสียงออกมาทางจมูก และในที่สุดนางก็ไม่พูดอะไรเพื่อไล่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานอีก
ชื่อเสียงของเจียงป่าวชิงในหมู่บ้านนั้นไม่ค่อยดีนัก แต่เจียงหยุนชานเป็นที่ชื่นชอบของพวกสาวใหญ่เสมอ ไม่นาน เขาก็ถูกสาวใหญ่ที่มาร่วมงานลากไปถามถึงเรื่องต่าง ๆ
เจียงป่าวชิงส่ายศีรษะเบา ๆ พลางมองหาจุดเหมาะ ๆ เพื่อไปนั่งรอร่วมพิธีแต่งงานของหวังอาซิ่ง จนเวลาผ่านไปพักหนึ่ง นางก็เห็นพี่สะใภ้ของหวังอาซิ่งกับหวังอาซิ่งเดินออกมาจากห้อง
พี่สะใภ้ของหวังอาซิ่งอยู่เป็นเพื่อนหวังอาซิ่งที่นี่ เพียงแต่ไม่เห็นหน้าค่าตากันมานาน เจียงป่าวชิงตกใจที่เห็นพี่สะใภ้ของหวังอาซิ่งผ่ายผอมมากจนเห็นกระดูกโปนออกมา เรียกได้ว่าผอมจนรูปร่างไม่สมส่วนดูน่ากลัว เสื้อผ้าที่พอดีตัวในยามปกติประหนึ่งแขวนอยู่บนตัวนางอย่างว่างเปล่า
นั่นมองดูแล้วน่ากลัวพิกล
แต่พี่สะใภ้ของหวังอาซิ่งรู้ตัวเองดีว่าสีหน้าของตนไม่ค่อยดีนัก จึงใช้ผงสีแดงทาโหนกแก้มเพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวาและยกระดับสีหน้าตัวเอง
เมื่อพี่สะใภ้ของหวังอาซิ่งเห็นเจียงป่าวชิง นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
“พวกเจ้าสองคนคุยกันเถอะ ข้าจะออกไปช่วยข้างนอกสักหน่อย…” พูดเสร็จ นางก็เดินออกจากห้องไปทันที
เจียงป่าวชิงแอบถอนหายใจ เห็นแล้วอนาถจริง ๆ ก็ร่างของพี่สะใภ้หวังอาซิ่งผอมบางเกินจนดูเหมือนว่าถ้ามีลมพัดมาเพียงวูบเดียว นางก็ปลิวไปกับสายลมได้เลย
หวังอาซิ่งเห็นเจียงป่าวชิงมองตามแผ่นหลังของพี่สะใภ้ตัวเองอยู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ร่างกายพี่สะใภ้ข้าไม่ค่อยแข็งแรง ที่แม่ข้าให้ข้าแต่งออกไปก็เพราะต้องการใช้เรื่องมงคลมาลบล้างเรื่องที่ดูไม่ค่อยดีของบ้านข้าน่ะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า
หวังอาซิ่งมองไม่ออกว่าสีหน้าที่เจียงป่าวชิงแสดงอยู่คืออะไร นางเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
สำหรับหวังอาซิ่ง สิ่งที่นางไม่ได้บอกเจียงป่าวชิงคือครอบครัวนางต้องการเงินก็เพราะตั้งใจจะสู่ขอภรรยาคนใหม่ให้กับพี่ชายนาง
และแน่นอนว่าปิดบังพี่สะใภ้นางเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องภูมิหลังของครอบครัวที่น่าเกลียดเช่นนี้ หวังอาซิ่งไม่กล้าบอกเจียงป่าวชิง นางได้แต่มองเจียงป่าวชิงด้วยสายตาเลื่อนลอย “ป่าวชิง ขอบใจเจ้ามากนะที่มางานข้า…”
เจียงป่าวชิงเห็นหวังอาซิ่งในชุดเจ้าสาวก็รู้สึกเวทนาอยู่ลึก ๆ ในใจเพราะดูอย่างไรก็เหมือนเด็กที่ขโมยเสื้อผ้าผู้ใหญ่มาใส่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งดูงุนงงและหงอยเหงา
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปาก “ไม่เป็นไร นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”