แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 320 ไปด้วยกัน
“หัวหน้าใหญ่ ข้าว่าเราไม่ควรไปพบศัตรู ข้าคิดว่าตอนที่พวกเราลงเขาจะต้องถูกพวกมันดักซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน”
“ใช่ ศัตรูส่งจดหมายฉบับนี้มา แสดงว่าพวกมันต้องมีเจตนาไม่ดีแน่!”
“หากเราลงเขาไป เช่นนั้นเท่ากับเป็นการทำให้พวกมัน… ทำให้พวกมัน… คำพูดนั้นพูดยังไงนะ อ้อ จับตะพาบน้ำในอ่าง!”
ชายคนที่พูดเป็นคนสุดท้ายถูกกู่ฟู่กุ้ยตบศีรษะอย่างแรงจนเกือบหน้าคะมำลงพื้น “เจ้าว่าใครเป็นตะพาบน้ำวะ ?! พูดไม่เป็นก็หุบปากไปซะ!”
ในเมื่อลูกน้องของเขาพูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีกู่ฟู่กุ้ยเองก็คงต้องเลิกอ้อมค้อม เขามองเจียงป่าวชิงพลางถูมือไปมา “เอ่อ… น้องเจียง ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงเจ้าไปกับพวกเราด้วยแล้วกัน”
นี่คือจุดประสงค์แท้จริงที่เรียกเจียงป่าวชิงมาในวันนี้ แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเขานั้น หมายความว่าเขาตัดสินใจไปที่ตึกเซียงเจียงในตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิ้นเสียงพูดหัวหน้าใหญ่ ห้องประชุมราวกับหม้อระเบิด ทุกคนต่างส่งเสียงเอะอะโวยวายยกใหญ่จนซูรุ่ยเอ๋อร์รำคาญเสียงมาก นางนวดขมับเบา ๆ เพราะถูกเสียงของพวกเขารบกวนจิตใจ
“พวกเจ้าพอได้แล้ว ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องไป พี่ใหญ่กู่ไม่ได้ถามพวกเจ้าสักหน่อย เสียงดังโวยวายกันอยู่ได้ ข้าปวดหัวไปหมด” ซูรุ่ยเอ๋อร์ต่อว่าด้วยเสียงแหบแห้งทว่าเสียงอื้ออึงในห้องเงียบลงทันที
ซูรุ่ยเอ๋อร์นั่งพิงพนักพิงเก้าอี้ นางนวดขมับด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างเล่นแส้เหล็กอยู่อย่างนั้น
แส้เหล็กนั้นล้อแสงและส่องประกายจาง ๆ ท่ามกลางแสงแดดสาดทอ เสียงขู่ขวัญจากการขยับแส้เหล็กทำให้ในห้องรวมกลุ่มหารือเงียบลงไม่น้อยเลย
“หัวหน้าใหญ่ ข้าไม่ได้อยากโวยวายอะไรหรอก เพียงแค่มีหนึ่งคำถามอยากถามท่านเท่านั้น”
หลายคนกลืนน้ำลายลงคอขณะมองซูรุ่ยเอ๋อร์ที่ในมือถือแส้ ชายคนหนึ่งเห็นว่านางไม่มีเค้าโครงว่าจะใช้แส้จึงพูดต่ออย่างกล้าหาญ “หัวหน้าใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกพี่น้องกลัวตายอะไร เพียงแต่ถ้าพรุ่งนี้ท่านไปตามที่ฝ่ายนั้นนัดมา แล้วถ้าพวกนั้นคิดแผนจับหัวหน้าโจรก่อนแล้วกักตัวท่านไว้ แบบนั้นพวกพี่น้องในหมู่บ้านก็อาจแตกความสามัคคีกันได้ นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านคนเดียวนะขอรับ”
กู่ฟู่กุ้ยพยักหน้า “เจ้าพูดได้อย่างมีเหตุผลมาก แต่ข้าคิดไว้แล้ว ก่อนที่ข้าจะไปในตอนเที่ยงวันพรุ่ง ข้าต้องจัดแจงเรื่องทั้งหมดในหมู่บ้านให้เรียบร้อยก่อน เหล่าหลู่จะเป็นคนคอยอยู่รักษาการณ์ในหมู่บ้าน”
หลู่เว่ยต้งที่ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันตกตะลึง ชั่วครู่หนึ่งใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกใจ และถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เขาคิดมาตลอดว่ากู่ฟู่กุ้ยลำเอียงไปทางจิ้นเทียนหยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กู่ฟู่กุ้ยกลับเลือกที่จะมอบทั้งหมู่บ้านให้เขาดูแลในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้…
จู่ ๆ หลู่เว่ยต้งรู้สึกตื้นตันใจจนขอบตาร้อนผ่าว เขาพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันเอาไว้ ทว่าก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แม้การถูกมอบหมายให้ดูแลหมู่บ้านช่วงเวลาที่หัวหน้าใหญ่ไม่อยู่จะถือเป็นเกียรติ แต่เขาอยากลงไปด้วยมากกว่าจึงพูดขึ้นเสียงดัง “หัวหน้าใหญ่ ท่านหมายความว่ายังไง! ข้าเองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย!”
กู่ฟู่กุ้ยขมวดคิ้ว ปฏิเสธเขาโดยตรง “เจ้าอยู่ในหมู่บ้านปลอดภัยกว่า อย่าลืมสิว่าคนเหล่านั้นต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าต้องการช่วยหลี่อันหรูกับมู่จิ้งอี๋ออกไปหรอกรึ ยังไงก็ต้องมีคนอยู่ในหมู่บ้านคอยเฝ้าสองคนนั้นไว้ และถ้าหากว่าตอนบ่ายของวันพรุ่งพวกข้ายังไม่กลับมา เจ้าก็รับหน้าที่ฆ่าสองคนนั้นซะ”
พูดถึงตอนสุดท้าย คำพูดของกู่ฟู่กุ้ยแสดงให้เห็นความหมายที่โหดร้าย ในเมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้มีเสียงคัดค้านก็เบามากกว่าเมื่อสักครู่
กู่ฟู่กุ้ยมองเจียงป่าวชิง การถกเถียงเมื่อสักครู่นั้นนางเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่านางเป็นคนนอก ไม่ได้มีส่วนร่วมในการถกเถียงและไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย
“น้องเจียง เจ้ายังไม่บอกเลยว่าจะไปที่ตึกเซียงเจียงกับพวกข้าในวันพรุ่งหรือไม่” กู่ฟู่กุ้ยถามเจียงป่าวชิงอีกครั้ง
เจียงป่าวชิงเหมือนเพิ่งดึงสติกลับมาได้ นางพยักหน้า “หัวหน้าใหญ่ ข้าฟังท่าน”
กู่ฟู่กุ้ยเผยรอยยิ้มออกมาทางสีหน้า เขายังไม่ทันได้พูดอะไร จ้าวซื่อไห่คนเดิมกระโดดออกมาอีกครั้ง เขาเห็นว่าหลู่เว่ยต้งกำลังจะคุมอำนาจในหมู่บ้านแล้วจึงลอยตัวไม่น้อยและกล้าขึ้นมาก เขาพูดขึ้นเสียงดังว่า “หัวหน้าใหญ่ ท่านพานางไปด้วย ถ้าหากว่านางกับไอ้คนนั้นตีขนาบหลอกพวกเราจะทำเช่นไรเล่า ?!”
หลู่เว่ยต้งขมวดคิ้ว เขากำลังจะฉุดดึงจ้าวซื่อไห่เพื่อไม่ให้กระโดดออกไป แต่กลับได้ยินเสียงแส้เหล็กแหลมคมพุ่งผ่านอากาศมาและฟาดไปที่ข้างตัวจ้าวซื่อไห่เสียก่อน
น้ำหนักของแส้เหล็กไม่จัดว่าเบาเลย ซูรุ่ยเอ๋อร์ใช้แส้มาตั้งแต่เด็ก ใช้เวลาเกือบยี่สิบปีนางถึงสามารถใช้แส้เหล็กหนัก ๆ นี้ได้อย่างชำนาญและรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม นางควบคุมแรงได้ดีมาก แส้เหล็กที่หวดออกไปเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้จ้าวซื่อไห่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่มันสะบัดโดนชายเสื้อส่วนใหญ่ของเขาทำให้เขาเจ็บเล็กน้อยพอเป็นการตักเตือนได้เป็นอย่างดี
ซูรุ่ยเอ๋อร์พูดขึ้นเสียงเบา “ข้าบอกแล้วว่ามีอะไรให้พูดดี ๆ ไม่เห็นต้องตะโกนเสียงดัง เสียงเจ้ารบกวนจนคนอื่นเขาปวดหัวเจ้ารู้บ้างสิ”
จ้าวซื่อไห่ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เขาพูดไม่ออก ไม่รู้เพราะตกใจหรือว่าโกรธกันแน่
หลู่เว่ยต้งฉุดดึงจ้าวซื่อไห่ไปด้านหลังด้วยใบหน้าบึ้งตึง “พอได้แล้วซื่อไห่ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก เจียงฉิงน้องของเจียงป่าวชิงยังอยู่ในหมู่บ้าน ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ฝังเจียงฉิงไปพร้อมกับทั้งสองคนนั้นซะ”
ความหมายคือต้องการจับเจียงฉิงเป็นตัวประกัน
อันที่จริง แม้กู่ฟู่กุ้ยจะไม่ได้พูดอย่างกระจ่างแจ้ง แต่ความหมายของเขาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ทว่าเวลานี้หลู่เว่ยต้งกลับพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งโดยตรง มันเป็นการล่วงเกินเจียงป่าวชิง
เป็นที่รู้กันว่าหมอเจียงของหมู่บ้านฟู่กุ้ยของพวกเขามักไม่ชอบสร้างปัญหาและค่อนข้างเย็นชา แต่ถ้าหากใครมารังแกเจียงฉิงผู้เป็นน้องของเขา มันเหมือนเป็นการกระตุ้นต่อมความอดทนของนาง ทำให้เจ้าตัวแบกรับไม่ไหวเลยทีเดียว
กู่ฟู่กุ้ยค่อนข้างเก้อเขินและอึดอัดใจ เขาเรียกเสียงดัง “เหล่าหลู่!”
ทว่าหลู่เว่ยต้งกลับพูดต่อ “หัวหน้าใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านสนิทกับเจียงป่าวชิง พวกท่านจึงกระดากอายที่จะพูดคำพูดพวกนี้ แต่ข้ากับนางมีความสัมพันธ์ที่แย่มากข้าจึงไม่กลัวว่ามันจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เราพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างกันทุกฝ่ายตั้งแต่ต้นนี่แหละดี”
กู่ฟู่กุ้ยยิ่งเก้อเขินมากกว่าเดิม “เหล่าหลู่ เจ้า…” แต่เขากลับพูดอะไรอย่างอื่นไม่ออก เขารู้ดีว่าที่หลู่เว่ยต้งพูดเช่นนี้ก็เพราะคำนึงถึงพวกพี่น้องในหมู่บ้านจริง ๆ แต่คำพูดที่เลือกใช้มันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นัก
เจียงป่าวชิงยิ้มเย็นชา “จะเอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าถึงตอนที่ข้ากลับมาในตอนบ่ายวันพรุ่งแล้วพบว่าอาฉิงได้รับความไม่เป็นธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ก็อย่าโทษหากข้าจะใช้วิธีของข้า”
วิธีของเจียงป่าวชิง… ทุกคนต่างก็นึกเรื่องบางอย่างได้
ตอนที่เจียงป่าวชิงเพิ่งมาที่นี่ แน่นอนว่ามีคนไม่พอใจ พวกเขาจึงพยายามขัดขานางทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งนางไม่ได้เป็นพวกยอมโดนแกล้ง นางมักจัดการกับพวกคนที่ชอบขัดขาในตอนนั้นเลย หรือเรียกได้ว่าเป็นพวกไม่แก้แค้นในภายหลัง
ในอดีตมีชายคนหนึ่งไม่รู้ว่าสมองกลับหรืออย่างไรถึงได้โง่เง่าทำให้เจียงฉิงได้รับบาดเจ็บ เขาแกล้งขัดขาเจียงฉิงหวังทำให้เจียงฉิงบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังดีที่เจียงฉิงเข้มแข็งมาก นางบอกเจียงป่าวชิงว่าตัวเองไม่เป็นอะไรในขณะที่ชายคนนั้นก็รีบพูดว่าแค่แกล้งเล่น ๆ อย่าได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย แต่เจียงป่าวชิงกลับแค้นใจมาก นางยิ้มเยือกเย็นและไม่รู้ว่านางใช้วิธีใด ชายคนนั้นถึงได้กลั้นขับถ่ายไม่อยู่ตลอดทั้งคืน… และเป็นอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องกันสามวันเต็ม
ชายคนนั้นได้รับบทเรียนอันยากที่จะลืมเลือนและเขาได้รู้จักว่าอะไรกันแน่ที่เรียกว่า “เรื่องใหญ่”
สภาพที่น่าเวทนานั้น เพียงแค่คนในหมู่บ้านนึกถึง พวกเขาต่างก็ตัวสั่นแล้ว
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อให้พวกเขามีปัญหาอะไรกับเจียงป่าวชิง พวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงไม้ลงมือกับเจียงฉิงอีกแล้ว
.
.