แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 330 อันที่จริงข้าโกรธมาก
หลังจากที่หลี่อันหรูขึ้นรถม้าไปแล้ว ก็ยังมีรถม้าอีกหนึ่งคันจอดอยู่ด้านข้าง เห็นได้ชัดว่ามันถูกจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงโบกมือให้พวกกู่ฟู่กุ้ย “หัวหน้าใหญ่ ข้าต้องไปแล้วนะ”
น้ำเสียงของกู่ฟู่กุ้ยเหมือนระฆังใหญ่ ทั้งก้องทั้งทรงพลังอยู่ในที “อื้ม น้องเจียงเจ้าไปเถอะ ถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุข จงอย่าลืมว่าประตูหมู่บ้านฟู่กุ้ยเปิดรอเจ้าอยู่เสมอ”
เจียงป่าวชิงตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
ริมฝีปากบางของกงจี้เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง เขาหัวเราะเยาะเบา ๆ นี่เขาต้องไร้ความสามารถเพียงใดถึงจะทำให้เจียงป่าวชิงหนีไปจากข้างกายเขาอีกครั้ง
ครั้งนี้ต่อให้เขาต้องจับนางมัด เขาก็จะมัดไว้ข้างกายอย่างแน่นหนาเลยทีเดียวเชียว!
เจียงฉิงตัวเล็กมือเท้าคล่องแคล่วอย่างมาก นางเหยียบม้านั่งแล้วกระโดดหย็องขึ้นไปบนรถ ศีรษะเล็กหันกลับมายื่นมือไปหาเจียงป่าวชิง “พี่สาว มา ข้าจะ…”
คำว่า “ข้าจะช่วยพยุงพี่เอง” ยังไม่ทันได้พูดออกไป เจียงฉิงก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากงจี้กำลังมองนางอย่างเย็นชาเสียก่อน และแน่นอนนางตัวสั่น ทว่าเมื่อนางนึกถึงปณิธานที่ว่านางต้องการเป็นน้าแล้วนั้น ร่างเล็กพลันหยุดชะงักและเพียงพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ข้าเข้าไปข้างในก่อนนะจ๊ะพี่” แล้วหมุนตัวมุดเข้าไปภายในรถม้าทันที
กงจี้รู้สึกพึงพอใจต่อการรู้จักสถานการณ์ รู้จักจังหวะที่ถูกที่ควรของเจียงฉิงมาก
เจียงป่าวชิงใช้สายตาทิ่มแทงเขาและพูดขึ้นเสียงเบา “อย่าขู่ขวัญเด็กสิ”
“เจ้าปฏิบัติต่อนางด้วยความสงสาร” กงจี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา “แต่ทำไมถึงได้ใจดำกับข้าเช่นนี้ล่ะ”
เจียงป่าวชิงเกิดความโมโหเล็ก ๆ พลางกลอกตามองบนใส่คนตรงหน้า ‘หึ ใครใจดำกันแน่ถึงได้มายุแหย่คนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้!’
เจียงป่าวชิงถลึงตาใส่กงจี้ สุดท้ายอดไม่ได้ต้องทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “รู้ว่าข้าใจดำก็อย่ามายุแหย่ข้าสิ”
กงจี้หัวเราะเสียงเย็นเยียบ มือเขายื่นออกไปทางเจียงป่าวชิง ต้องการประคองนางขึ้นรถม้าแต่ทว่านางไม่สนใจมือที่เขายื่นมาเลย นางเหยียบม้านั่งและขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง จากนั้นเลิกม่านรถออกและเข้าไปในรถม้าไม่พูดไม่จา
หลิวหมิงอันเห็นว่ารอบตัวของกงจี้เริ่มแผ่กระแสสังหารออกมาอย่างน่ากลัวจึงรีบถอยห่างจากกงจี้เร็วไวและหันไปทำความเคารพต่อกู่ฟู่กุ้ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน “หัวหน้ากู่ เราต้องกลับแล้ว”
กูฟู่กุ้ยพูดขึ้นอย่างมีพลัง “รีบไปเถอะ และเราอย่าได้เจอกันอีกเลย!”
หลิวหมิงอันหัวเราะคิกคัก เขาพลิกตัวขึ้นบนหลังม้าแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ออกเดินทางได้!”
ล้อรถม้าหมุนไป…
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงฉิงได้นั่งรถม้า นางพยายามอดกลั้นความอยากเปิดม่านออกไปดูวิวข้างนอกตัวรถม้า เลือกที่จะนั่งอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่ตรงนั้น นั่งไปกันสักพักเด็กหญิงตัวน้อยพูดขอโทษเจียงป่าวชิงที่เงียบมาตลอด “พะ… พี่สาว เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไม่จับพี่นะจ๊ะ พี่อย่างโกรธข้าเลยนะ…”
เจียงป่าวชิงหลุดขำ “หึ ๆ อาฉิงเอ๋ย ข้าไม่ได้โกรธเจ้าสักหน่อย”
เจียงฉิงตาเป็นประกายทันที มุมปากของนางยกสูงขึ้น ลักยิ้มเล็ก ๆ ที่แก้มนุ่มสองข้างปรากฏขึ้นมาให้เห็นบ้างเล็กน้อย นางขยับเข้าไปใกล้เจียงป่าวชิงอย่างอืดอาดและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่สาว อันที่จริงข้าไม่ได้ปอดแหกนะ ก็แค่เห็นว่าพี่เหมือนไม่ได้เกลียดพี่ชายคนนั้นมากมายอะไร ดังนั้นข้าก็เลย…”
“ใครบอกว่าข้าไม่เกลียดเขา” เจียงป่าวชิงเบิกตาโต “ข้าเกลียดเขาจะตายชัก!”
“แต่ว่าพี่สาว เมื่อครู่ข้าเห็นว่าพี่ไม่ได้โกรธอะไรเมื่อตอนที่พี่ชายคนนั้นจูงมือพี่เลยนา…”
“ไม่ใช่ อันที่จริงข้าโกรธมาก โกรธที่สุด!”
“อ้อ~~ เจียงฉิงเข้าใจแล้วจ้ะ” เด็กหญิงพูดยิ้ม ๆ
เสียงเด็กผู้หญิงสองคนในรถม้าเบาทว่าชัดเจน เสียงพวกนางแทรกออกมาจากหน้าต่างรถอย่างเลือนราง กงจี้กำลังขี่ม้าอยู่ไม่ไกลจากรถม้ามากนัก เขาจงใจขี่ม้าอย่างเอ้อระเหย พอได้ยินคำว่า “โกรธ” อย่างเลือนรางก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หางตาคุณชายอย่างเขาเห็นว่าหลิวหมิงอันกำลังจ้องมองเขาอย่างงุนงงโดยที่ในมือของอีกฝ่ายกำลังจับบังเหียนไว้อยู่อย่างนั้น
‘คุณชายกงผู้เย่อหยิ่งยิ้มแบบนี้เป็นด้วยหรือนี่ ?’ หลิวหมิงอันคิดในใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าของกงจี้หุบหายไปทันที เขามองหลิวหมิงอันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ามีธุระรึ ?”
ท่าทางที่ตรงกันข้ามก่อนและหลังชัดเจนเกินไปจริง ๆ
หลิวหมิงอันรู้สึกขบขัน เขายิ้มก่อนจะสะบัดบังเหียนและขี่ม้าไปด้านหน้า
ณ ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เวลาที่กีบม้ากับล้อรถเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาเป็นชั้นหนาในป่า ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็เกิดเสียงแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เจียงป่าวชิงถึงตระหนักได้ว่ากองทัพนี้มีระเบียบวินัยมาก ตลอดทางไม่มีเสียงรบกวนจนแทบเรียกได้ว่าเงียบสนิท ดูก็รู้ว่าเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัยและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้แวะพักระหว่างทางไปจนถึงจุดพักม้าตามทาง
คงเป็นเพราะถูกเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว การต้อนรับที่จุดพักม้าเป็นระเบียบเช่นกัน แม้แต่เรื่องจำนวนคนกับรถม้าก็เกิดการนับการดูแลเอาใจใส่ไม่เกิดความสับสนแม้แต่น้อย
เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงเหยียบม้านั่งเล็กลงจากรถม้า
เจียงฉิงกอดถุงผ้าของนางไว้ในอ้อมแขน เดินอยู่ข้างเจียงป่าวชิงและมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทหารยศค่อนข้างสูงนายหนึ่งที่ดูไม่คุ้นเคยอยู่ข้างหน้าเจียงป่าวชิง เขาสวมใส่ชุดทหารแบบสะดวกต่อการขยับเคลื่อนย้าย ไม่นานชายทหารผู้นี้ก็เอ่ยทักทายและพูดกับเจียงป่าวชิงอย่างไม่มีการพลิกแพลงด้วยสันหลังที่ตั้งตรง
“แม่นางเจียง นายท่านของข้าบอกว่าที่จุดพักม้าแห่งนี้เตรียมห้องกับน้ำร้อนไว้ให้แม่นางเรียบร้อยแล้ว เชิญแม่นางไปล้างหน้าล้างตาและพักผ่อนก่อน ประเดี๋ยวจะมีคนไปส่งอาหารเย็นให้แม่นางที่ห้อง”
ยอมรับเลยว่าจัดการได้อย่างเหมาะสมมากจริง ๆ เจียงป่าวชิงพยักหน้า กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเสียงบ่นดังขึ้นมาจากทางด้านหลังก่อน
“อะไรกัน! ที่นี่ที่ไหน ทำไมถึงได้มืดหม่นไปหมด นี่เราจะพักกันที่นี่รึ ?!”
หลี่อันหรูบ่นโดยมีกุ้ยจือผู้เป็นสาวใช้ประคองนางเข้ามาข้างใน
ตอนที่เดินผ่านเจียงป่าวชิง หลี่อันหรูส่งเสียงอย่างไม่พอใจและใช้สายตาทิ่มแทง “เหอะ! ทำไมยังมีหน้าอยู่ที่นี่ต่ออีก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าพี่หมิงอันจะพาโจรไปที่เมืองหลวงทำไม”
เจียงฉิงไม่ชอบให้ใครมาว่าพี่สาวของนางเช่นนี้ แก้มของนางพองลมขึ้น ดวงตากลมโตจ้องหลี่อันหรูเขม็ง
ตอนนี้หลี่อันหรูเป็นอิสระแล้ว แต่คนของหมู่บ้านฟู่กุ้ยกลับไม่ได้รับผลกรรมแม้แต่น้อย นางจึงเกลียดคนของหมู่บ้านฟู่กุ้ยเข้ากระดูก โดยเฉพาะเจียงป่าวชิง เพราะแผนการของนางกับมู่จิ้งอี๋ล่มในตอนนั้นก็เพราะเจียงป่าวชิงคนเดียว!
เห็นเจียงป่าวชิงในตอนนี้ จะไม่ให้นางเกลียดได้อย่างไร
แต่เจียงป่าวชิงคร้านจะสนใจหลี่อันหรู นางทำเหมือนว่าหลี่อันหรูไม่มีตัวตนจึงทำให้ฝ่ายนั้นโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ประกอบกับการจ้องของเจียงฉิง สำหรับหลี่อันหรูแล้วนี่คือการยุแหย่ นางจึงยิ่งโกรธมากกว่าเดิมและกำลังจะเดินเข้าไปตบเจียงฉิง “นางเด็กชั้นต่ำ เจ้าจ้องข้าทำไมฮึ ?!”
เจียงป่าวชิงหรี่ตาลงพลางเอื้อมไปดึงเจียงฉิงมาปกป้องอยู่ที่ด้านหลังอย่างคนมือไวตาไว
การตบของหลี่อันหรูโดนเพียงแค่ความว่างเปล่าในอากาศ และตอนที่นางกำลังจะเหวี่ยงมือออกไปอีกครั้ง เจียงป่าวชิงก็คว้าข้อมือของหลี่อันหรูด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียมน่ากลัว
“เอาสิ ถ้าเจ้ากล้าตบน้องสาวข้าก็ลองดูสิ”
หลี่อันหรูถูกมองด้วยดวงตาที่เย็นชาของเจียงป่าวชิง นางอดรู้สึกกลัวไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น ?”
มู่จิ้งอี๋รีบก้าวเข้ามา พอเขาเห็นว่าหลี่อันหรูกำลังปะทะกับเจียงป่าวชิงก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาได้รู้จากพี่ชายของเขาแล้วว่าเจียงป่าวชิงคนนี้เป็นคนที่ยุแหย่ไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่หลี่อันหรูกลับกำลังปะทะกับเจียงป่าวชิงอยู่ในขณะนี้
มู่จิ้งอี๋ อ้อไม่ ตอนนี้ควรเรียกว่าหลิวจิ้งอี๋ เขาเพิ่งเดินเข้ามา จัวหวะเดียวกันหลี่อันหรูออกแรงสะบัดมือออกจากมือของเจียงป่าวชิงแล้วหมุนตัวโถมเข้าไปในอ้อมแขนของหลิวจิ้งอี๋และเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฮือ ๆ ๆ ฮือออ พี่จิ้งอี๋ ผู้หญิงคนนั้นรังแกข้า!”
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะ มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือจากในอ้อมแขนอย่างเอ้อระเหย
หลิวจิ้งอี๋รู้สึกปวดศีรษะมากอย่างเลี่ยงไม่ได้
.