แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 333 ช่วยไม่ได้ รอตายเถอะ
เจียงป่าวชิงสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชายจึงสะดวกต่อการขยับตัว นางถลกชายเสื้อขึ้น ยกเท้าเหยียบม้านั่งและก้าวขึ้นไปบนรถม้าโดยไม่สนใจหลิวจิ้งอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ สุดท้ายเลิกม่านรถเตรียมเข้าไปในห้องโดยสารรถม้า
ทันทีที่เลิกม่าน กลิ่นหอมปะทะเข้าจมูกของนาง มันน่าจะเป็นทำเนียมของคุณหนูผู้สูงศักดิ์อย่างพวกนางที่นิยมทาผงหอมบนร่างกาย แต่ภายในห้องโดยสารบนรถม้าคันนี้เป็นแบบปิดสนิท หน้าต่างก็ปิดอยู่ ทันทีที่คนจากข้างนอกเข้ามา อย่างไรก็ต้องได้กลิ่นหอมฉุนนี้
เจียงป่าวชิงกลั้นหายใจไว้ ยังคงยืนค้างในท่าเลิกม่านอยู่อย่างนั้น
หลี่อันหรูเห็นเจียงป่าวชิงก็ทำสีหน้าไม่ดีใส่โดยที่มือยังค้ำศีรษะไว้อยู่ ปากก็อุทานว่าไอ้โย! ไอ้โย! ด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “ไอ้โย! ทำไมเจ้าเพิ่งมา ข้าปวดหัวจะตายอยู่แล้วนะ!”
น้ำเสียงตำหนิติเตียนที่เจ้าตัวคิดว่าสมเหตุสมผลนี้ ทำให้เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
เหอะ! ช่างมีมาดดีจริงนะ
เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ นางนึกถึงตอนที่หลี่อันหรูเพิ่งถูกจับตัวไปที่หมู่บ้านฟู่กุ้ย ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ถูกจิ้นเทียนหยู่ขู่ขวัญ
หลี่อันหรูเห็นเจียงป่าวชิงมองนางด้วยสีหน้าสนใจ เพลิงโกรธแค้นในใจของนางพุ่งขึ้นมาทันที
“เจ้าจะเลิกม่านอยู่อย่างนั้นทำไม!” หลี่อันหรูพูดขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ น้ำเสียงของนางเฉียบคม “เจ้าคงใจอำมหิตคิดอยากทำให้ข้าหนาวตายล่ะสิ”
เจียงป่าวชิงยิ้ม “เจ้าว่าไงก็ตามนั้นแหละ”
“เจ้า!”
สิ่งที่หลี่อันหรูเกลียดที่สุดคือท่าทางสงบอันเป็นธรรมชาติอยู่ตลอดของเจียงป่าวชิง
ยิ่งเมื่อนางนึกถึงตอนที่เจียงป่าวชิงเห็นนางตกอยู่ในสภาพจนตรอกน่าสังเวชที่สุด… หลี่อันหรูมองเจียงป่าวชิงเหมือนมองศัตรูที่มีความแค้นต่อกันมายาวนาน
กลิ่นกระจายไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว เจียงป่าวชิงเหลือบไปเห็นกุ้ยจือผู้เป็นสาวใช้ที่แต่งตัวด้วยชุดผ้าบางขดตัวอยู่ตรงมุมรถม้า นางพลันหยุดชะงักแล้วปล่อยม่านลง
“หรูเอ๋อร์!” หลิวจิ้งอี๋พูดขึ้นอย่างปวดศีรษะจากนอกห้องโดยสาร “ที่เชิญแม่นางเจียงมาก็เพื่อให้นางมาดูอาการเจ้า เจ้าอย่าเอาแต่ใจแบบนี้สิ”
หลี่อันหรูถลึงตาเหี้ยม ๆ ใส่เจียงป่าวชิง ส่งเสียงไม่พอใจพลางยื่นแขนออกไปอย่างหยิ่งผยอง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวตั้งแต่เมื่อคืน แล้ววันนี้ยังตื่นเช้ามาพบกับเช้าที่อากาศหนาวเย็น ถ้าข้าไม่ป่วยสิแปลก”
เดิมทีเมื่อเห็นท่าทางของหลี่อันหรู เจียงป่าวชิงไม่ค่อยอยากสนใจนางสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรนางก็ยังมีกำลังกายคิดจะก่อเรื่องอยู่และคงไม่ได้ป่วยอะไรมากนักหรอก แต่นางก็คิดด้วยว่าถ้าหากนางปัดก้นกลับไปตอนนี้ หลิวจิ้งอี๋คงไปรบเร้าพี่ชายของเขาอีกเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น คนที่จะลำบากใจที่สุดคือหลิวหมิงอัน
เฮ้อ… หลิวหมิงอันเองก็น่าเวทนาจริง ๆ ที่มีน้องชายเช่นนี้ ไม่มาบอกด้วยตัวเองนี่ช่างเป็นคนสองหน้าดีแท้ ๆ
ด้วยความเห็นใจหลิวหมิงอัน เจียงป่าวชิงยื่นนิ้วมือออกไปแตะบนข้อมือของหลี่อันหรูอย่างรังเกียจ เพื่อจับชีพจรให้นาง
หลี่อันหรูเห็นเจียงป่าวชิงมีสีหน้ารังเกียจคร้านจะปกปิด นางก็โมโหจนเกือบชี้หน้าด่าเจียงป่าวชิงอยู่แล้ว ดีที่อดกลั้นเอาไว้
เจียงป่าวชิงเก็บมือกลับมาไม่พูดไม่จาอะไร จากนั้นหมุนตัวไปเลิกม่านประตูและเดินออกจากห้องโดยสารรถม้าเงียบ ๆ
หลี่อันหรูงุนงง นางนั่นมันกำลังทำอะไรกัน ?
เมื่อหลิวจิ้งอี๋เห็นเจียงป่าวชิงออกมา เขาก็เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ร่างกายของหรูเอ๋อร์เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ?”
เจียงป่าวชิงส่งเสียง หึ เบา ๆ แล้วพูดขึ้นอย่างสงบใจเย็น “ข้าช่วยไม่ได้ รอตายเถอะ”
มีเสียงของหล่นลงบนพื้นดังออกมาจากในห้อง และมีเสียงงุนงงของสาวใช้ดังตามมาว่า “ว้าย! คุณหนู ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ?”
ต่อมาก็เป็นเสียงตบหน้าที่ดังอย่างชัดเจน รวมไปถึงเสียงตะโกนของหลี่อันหรู “ไสหัวไป! ข้าไม่ต้องการความหวังดีจอมปลอมของเจ้า นังบ้า!”
หลิวจิ้งอี๋ไม่สนใจทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น เขาเอาแต่มองเจียงป่าวชิงด้วยความตกตะลึง “เป็นไปได้ยังไง…”
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความเมตตา “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ? สุขภาพร่างกายของนางยังดีมาก เท่าที่ข้าตรวจดู มันเป็นเพียงความรู้สึกไม่สบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถม้านานเท่านั้นแหละ แต่นางทำท่าทางยังกับจะตายให้ได้ การเดินทางยังอีกยาวไกล ถ้าอ่อนแอเช่นนี้ยังจะทำอะไรได้อีกถ้าไม่ใช่รอความตาย ?”
พูดเสร็จ เจียงป่าวชิงก็หันไปพยักหน้าให้หลิวหมิงอันที่อยู่ข้าง ๆ “ท่านหลิว ข้าขอตัวกลับก่อน”
หลิวหมิงอันทำความเคารพเจียงป่าวชิงอย่างเลื่อมใส เขาไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ
ในจังหวะนี้เอง เสียงร้องไห้ด้วยจิตใจพังทลายของหลี่อันหรูดังมาจากภายใน ปะปนด้วยเสียงด่าประจานเจียงป่าวชิง
หลิวหมิงอันหันไปมองหลิวจิ้งอี๋และพบว่าน้องชายอกตัญญูคนนี้กำลังยืนทำสีหน้าซับซ้อนคิดอะไรอยู่ตรงนั้น ที่น่าแปลกคือไม่ได้สนใจหรือมีท่าทีจะเข้าไปปลอบใจอะไรหลี่อันหรูเลย เขารู้สึกว่าน้องชายคนนี้ยังพอมีทางรักษาอยู่จึงหัวเราะเสียงเบา “หึ ๆ ไอ้น้องชาย เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา ข้าอยากเตือนเจ้าสักหน่อย แม่นางเจียงคนนี้เป็นหัวใจสำคัญของคุณชายทรงอำนาจกงจี้ การช่วยเจ้ากับเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเจ้าออกมาในครั้งนี้ง่ายสำหรับเขามาก แต่เจ้าต้องมองให้ออกว่าแม่นางเจียงคนนี้ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์หลักของเขา เจ้าควรไปพูดกับเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเจ้าคนนั้นให้รู้จักวางตัวหน่อย และอย่าให้นางก่อเรื่องอีก เพราะแม่นางเจียงไม่แยแสเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเจ้าเลยสักนิด อย่าทำอะไรที่มันจบไม่สวยในตอนท้าย… เอาล่ะ เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ข้าไปข้างหน้าก่อนแล้วกัน”
พูดเสร็จหลิวหมิงอันก็จากไปอย่างเอ้อระเหย ทิ้งให้หลิวจิ้งอี๋ที่ยังคงมีสีหน้าซับซ้อนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหนสักพัก
หลังจากเหตุการณ์เล็ก ๆ เช่นนี้ กองทัพค่อย ๆ หน้าเดินอีกครั้ง
เจียงฉิงคว่ำหน้าอยู่ข้างหน้าต่างและกำลังมองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างสนอกสนใจ แต่เด็กเล็กก็ยังเป็นเด็กเล็กอยู่วันยังค่ำ ผ่านไปสักครู่นางเหนื่อยหมดแรง ได้แต่นอนหมอบอยู่ในรถม้าอย่างว่านอนสอนง่าย
เจียงป่าวชิงคลุมเสื้อให้เจียงฉิงเพิ่มอีกหนึ่งผืน ก่อนจะเลิกมุมม่านหน้าต่างเพื่อมองทิวทัศน์เคลื่อนผ่านที่ด้านนอก ชั่วอึดใจนั้นนางรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบในหัวใจ
……
สามวันต่อมา…
คงเป็นเพราะหลิวจิ้งอี๋ควบคุมหลี่อันหรูอย่างเข้มงวด นางไม่ได้ก่อเรื่องอีก และในตอนบังเอิญเจอกันที่จุดพักม้า หลี่อันหรูเพียงส่งเสียงไม่พอใจออกมาทางจมูกและหันหน้ากลับไปโดยไม่ได้มายุแหย่อะไรเจียงป่าวชิงอย่างที่เคย
เจียงป่าวชิงไม่สนใจนางตัวชอบก่อเรื่องนั่นเลย เพราะในสายตาของนาง นางก็ไม่เคยแยแสอะไรแม่นางหลี่อันหรูผู้น่ารำคาญนั่นอยู่แล้ว
…
วันที่สี่ ระหว่างเดินทางฝนตกหนักอย่างกะทันหัน มันตกหนักเสียจนพวกเขาไม่มีทางไปถึงหมู่บ้านหรือร้านค้าได้ ประจวบกับอยู่ในถิ่นทุรกันดารพอดี เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงอยู่ในรถม้าย่อมไม่เป็นอะไร แต่พวกนายทหารยศสูงที่กำลังเดินทางอยู่ด้านนอกคงได้รับความทุกข์ยากพอตัว
เจียงป่าวชิงเลิกม่านอยู่บ่อยครั้งเพื่อมองดูฝนที่ตกหนักด้านนอก แม้ไม่เห็นถึงอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าของนาง แต่ในใจนางกลับว้าวุ่น
ณ ตอนนี้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงมาตั้งนานแล้ว ความหนาวมีมาก ไหนจะฝนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ตกหนักขนาดนี้…
นางรู้ดีว่าขาของกงจี้นั้นแม้หายดีแล้ว แต่เพราะได้รับความเสียหายจากพิษมาเป็นเวลานาน ตัวนางเองก็มิใช่เทพเจ้าที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทุกโรค ตัวอย่างเช่นขาของกงจี้ แม้หายดีแล้วแต่ก็ยังมีอาการในภายหลังจนได้ นั่นก็คือมันไม่อาจทนต่อความหนาวเหน็บ อาจมีอาการปวดหรืออื่น ๆ ซึ่งนี่แหละที่นางเป็นห่วง
เจียงป่าวชิงกัดฟัน เลิกม่านประตูรถม้าออกและพูดคุยกับคนบังคับม้าผู้หนึ่งซึ่งใส่เสื้อกันฝนกำลังบังคับรถม้าอยู่ข้างนอก “เจ้ารู้ไหมว่าท่านแม่ทัพของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ?”
เสียงฝนตกหนักมาก ประกอบกับเสียงรถม้าเคลื่อนที่ เจียงป่าวชิงต้องพูดถึงสองครั้งกว่าคนบังคับรถม้าจะได้ยิน
“ท่านแม่ทัพคงอยู่หน้ากองทัพ” ชายบังคับรถม้าตะโกนตอบเสียงดัง
เจียงป่าวชิงตอบกลับ “เจ้าสามารถขับให้เร็วอีกหน่อยได้ไหม ไปหาท่านแม่ทัพของพวกเจ้า”
ชายผู้บังคับรถม้าให้เจียงป่าวชิงในช่วงนี้เห็นว่าท่านแม่ทัพของพวกเขามาหานางอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนมีความปรารถนาในตัวแม่นางคนนี้ เพียงแต่แม่นางคลับคล้ายจะไม่ค่อยชอบท่านแม่ทัพของพวกเขาสักเท่าไหร่และมักขับไล่ท่านแม่ทัพบ่อย ๆ แต่ตอนนี้นางกลับเป็นฝ่ายบอกว่าจะไปหาท่านแม่ทัพของพวกเขาด้วยตัวเอง
คนบังคับรถม้ารู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก เขาตบหน้าอกเพื่อรับประกัน “ไม่มีปัญหา! ไม่ต้องห่วงเลย เดี๋ยวข้าจัดให้เองขอรับ!”
.