แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 347 เข้าเมืองหลวง
เจียงหยุนชานนั่งรถม้าเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับเจียงป่าวชิง ระหว่างทางสองพี่น้องก็คุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมา
“ตอนนั้นข้าอุ้มเด็กแล้วตกลงไปในแม่น้ำคราด ข้าดิ้นรนสุดชีวิตเลยนะ” เจียงหยุนชานพูดถึงเรื่องในอดีตเสียงแผ่ว “กว่าจะโผล่หัวออกมาจากแม่น้ำไหลเชี่ยวนั้นได้ไม่ง่ายเลย แต่พอโผล่ขึ้นมาก็เห็นตอนที่เจ้าถูกไอ้คนนั้นถีบตกน้ำพอดี ต่อมาข้าลอยคออยู่ในน้ำ ลอยไปตามกระแสน้ำเชี่ยวพัด โชคดีที่ท่านอาจารย์มาเห็นข้าและช่วยชีวิตข้าไว้ เขาบอกว่านี่เป็นชะตากรรมที่สวรรค์มอบให้ และเขายอมรับข้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย เฮ้อ ข้าไม่คิดเลยว่าเราสองพี่น้องจะยังมีวันที่ได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง”
ความตื้นตันใจปนอยู่ในน้ำเสียงของเจียงหยุนชาน
เจียงป่าวชิงกดไหล่ซ้ายของตัวเองพลางนึกถึงเรื่องในอดีต ตอนนี้มันยังรู้สึกเจ็บอยู่หน่อย ๆ “อื้ม… ตอนนั้นข้าก็คิดว่าพี่ตายแล้วเหมือนกัน ข้าคงสำลักน้ำสลบลอยไปเกยฝั่งริมแม่น้ำ อาฉิงเป็นคนมาพบเข้า นางเลยช่วยเขย่าตัวข้าจนฟื้น ในช่วงเวลาสามปีนี้ ข้าจับพลัดจับผลูได้ไปอยู่ในหมู่บ้านโจร คอยช่วยเหลือดูแลเรื่องรักษาโรคต่าง ๆ ให้พวกเขาและถือว่าอยู่ดีมีความสุข”
นางสรุปชีวิตของตัวเองอย่างง่าย ๆ ให้เจียงหยุนชานฟัง ทว่าไม่ได้พูดถึงตอนที่นางไร้ที่อยู่อาศัยจนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไปช่วงหนึ่งแม้แต่น้อย
เจียงหยุนชานมองเจียงป่าวชิง เขารู้ว่าน้องสาวตัวเองมักพูดถึงเรื่องดี ๆ มากกว่าเรื่องกลัดกลุ้ม นางคงไม่พูดถึงความยากลำบากที่ประสบพบเจอมาตลอดสามปีนี้ ยิ่งเจียงป่าวชิงเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกสงสารนาง จึงทำได้เพียงแอบสาบานในใจอย่างลับ ๆ ว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องสาวของเขาเอง
เจียงหยุนชานหลับตาลง ตอนลืมตาขึ้นอีกครั้งในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ป่าวชิง ข้าเรียนหนังสือกับท่านอาจารย์ในเมืองหลวง เขาให้บ้านหลังเล็กแก่ข้า เจ้ากับอาฉิงย้ายเข้ามาพักกับข้าสิ”
“ได้ยินว่าราคาสินค้าในเมืองหลวงนั้นแพงมาก แต่พี่กลับมีบ้านหลังเล็กแล้ว แสดงว่าพี่กลายเป็นคนรวยแล้วสิ” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ตอนนี้ข้ากับอาฉิงจะได้พึ่งใบบุญของพี่แล้ว”
เจียงหยุนชานยิ้มอย่างเขินอาย ท่าทางของเขาเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายคนนั้นเมื่อสามปีที่แล้ว “เจ้าอย่าเย้ยหยันข้าสิ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พึ่งใบบุญอะไรกันล่ะ… อ้อ ใช่แล้ว” เขานึกเรื่องบางอย่างได้ “เกือบลืมบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าไปสนิทเลย เมื่อสามปีก่อนตอนที่ข้าตกน้ำ ป่าวชิงเจ้าจำได้ใช่ไหว่ามีเด็กคนหนึ่งด้วยซึ่งก็คือคนที่ข้าช่วยเขาในตอนนั้นนั่นแหละ เด็กคนนั้นใช้ชีวิตอยู่กับข้าตลอดสามปีนี้ ปีนี้เขาอายุเก้าขวบแล้วและยังเด็กกว่าอาฉิงเล็กน้อย เขาชื่อว่าเลี่ยวชุนหยู่”
เมื่อพูดถึงเลี่ยวชุนหยู่ เจียงหยุนชานเผยสีหน้าเจื่อน ๆ ที่หาดูได้ยากออกมาให้เห็น “ชุนหยู่มีนิสัยที่ค่อนข้าง…” เขาคิดถ้อยคำที่อ่อนโยนอย่างลำบากใจ “ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ช่วงนี้ข้ามักจะออกไปแสวงหาความรู้กับท่านอาจารย์จึงละเลยการเรียนของเขานิดหน่อย เด็กก็คือเด็ก แต่ข้าไม่รู้ว่าควรเข้าหาหรือเตือนเขายังไงจริง ๆ”
เจียงฉิงถอนหายใจอย่างแรง “ไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะทำตัวเชื่อฟังเหมือนข้า พี่สาวช่างมีบุญวาสนาจริง ๆ นะจ๊ะ”
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ไม่นานนัก กำแพงเมืองของเมืองหลวงก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นแก่สายตา มันเป็นกำแพงสูงตระหง่านยาวเหยียดจนมองไม่เห็นริมขอบจากระยะไกล นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงฉิงกับเจียงป่าวชิงมาที่เมืองหลวง
เจียงป่าวชิงยังดีหน่อย แต่เด็กเล็กอย่างเจียงฉิงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงสบถออกมาเบา ๆ “ไอ้โย! สูงใหญ่มากจริง ๆ!”
หลังจากผ่านช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้อยู่ร่วมกัน เจียงหยุนชานเองก็รู้สึกชอบน้องสาวที่ทั้งร่าเริงสดใสและว่านอนสอนง่ายอย่างเจียงฉิงเข้าแล้ว เขาพูดขึ้นยิ้ม ๆ “อาฉิงมาเมืองหลวงครั้งแรกรึ ? ผ่านไปสองสามวันเมื่อเจ้าได้พักผ่อนบ้างแล้ว ข้าจะพาเจ้ากับป่าวชิงไปเดินเล่นในเมืองหลวง”
เจียงฉิงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นส่งยิ้มหวานให้เจียงหยุนชาน “พี่หยุนชานช่างดีจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงจงใจหยอกล้อนาง “งั้นพี่ป่าวชิงก็ไม่ดีแล้วสิ”
เจียงฉิงมุดเข้าไปออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนเจียงป่าวชิง “ไม่ ๆ ๆ พี่สาวดีที่สุดแล้วจ้ะ!”
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานสบตากันก่อนจะพากันหัวเราะ
……
เมืองหลวงแตกต่างจากที่อื่น ๆ ที่นี่ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองแต่ต้องตรวจสอบสถานะของแต่ละคนก่อน
เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงเป็นโจรอยู่หลายปีจึงไม่มีสิ่งนำทางอะไรติดตัวตั้งนานแล้ว ตามข้อมูลที่ฝ่ายราชการทำการบันทึกไว้ พวกนางเกือบเท่ากับคนที่ไม่มีสถานะอะไรเลย หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นครอบครัวเถื่อน โชคดีที่กงจี้คำนึงถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงสั่งคนให้ทำสิ่งนำทางให้เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงระหว่างทางและติดต่อเข้าไปภายใต้ชื่อบ้านของเจียงหยุนชาน
ผู้หญิงสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ทว่าในสภาพสังคมนี้การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะยืนหยัดด้วยตัวเองนั้นต้องทุ่มเทต่าง ๆ นานา กงจี้จึงไม่อยากให้เจียงป่าวชิงต้องเหนื่อยเช่นนั้น
อีกอย่าง ในเมื่องมีเจียงหยุนชานอยู่ด้วย ครอบครัวของพวกเขาต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน สู้ทำพร้อมกันเลยดีกว่า
เรื่องนี้ถูกจัดการโดยกงจี้จึงไม่มีอะไรผิดพลาด ประกอบกับสถานะพิเศษของกงจี้ ทำให้กองทัพมโหฬารนี้สามารถเข้าเมืองได้โดยแทบจะไม่มีการสกัดกั้นใด ๆ
กงจี้ขี่ม้าและค่อย ๆ เคลื่อนไปตามความเร็วของรถม้า จากนั้นเขาพูดกับเจียงป่าวชิงที่อยู่ในรถม้า “เจ้ากลับไปกับพี่ชายเจ้าก่อน ข้ายังมีธุระอีกเล็กน้อย ถ้าหากจัดการธุระเสร็จแล้ว อีกสองสามวันข้าค่อยไปหาเจ้า”
เจียงป่าวชิงเลิกม่านประตูรถออกและมองกงจี้อย่างเป็นกังวล “เรื่องเล็กน้อยจริง ๆ รึ ?”
กงจี้เลิกคิ้วขึ้น “ไม่เชื่อข้ารึ ?”
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ใช่ ไม่ต้องสงสัยในความสามารถของกงจี้เลย เขาบอกว่าอะไรก็จะทำได้อย่างแน่นอน
“ก็ได้” เจียงป่าวชิงส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้กงจี้ เผยให้เห็นลักยิ้มหวานตรงข้างแก้มของนาง “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าต้องมาเล่นกับข้านะ”
กงจี้มองดูลักยิ้มอันแสนหวานของเจียงป่าวชิงและสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่แปลกใจเลยที่มีคนพูดว่าผู้หญิงคือที่ชุมนุมอันแสนเศร้ารันทดของวีรบุรุษที่ฝังอยู่ในกระดูก เขาเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งแล้วในตอนนี้ และเกือบจมอยู่ในลักยิ้มของผู้หญิงของเขาแล้ว
กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งและมองเจียงป่าวชิง “รอข้านะ” จากนั้นเขาก็สะบัดบังเหียนและขี่ม้าจากไป
เจียงป่าวชิงปล่อยม่านรถลงและกลับไปนั่งในห้องโดยสาร
เจียงหยุนชานมองนาง เขาอยากพูดอะไรบางอย่างแต่เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่สักพัก สุกท้ายก็ถามออกไปด้วยความกลุ้มใจ “เจ้ากับคุณชายกง…”
เจียงฉิงเอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก
เจียงป่าวชิงจึงตบศีรษะเจียงฉิงเบา ๆ แล้วถึงจะพูดกับเจียงหยุนชานอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ เราถือว่าคบหาดูใจกันแล้วน่ะ”
อารมณ์ของเจียงหยุนชานซับซ้อนมาก เขามีความรู้สึกประมาณว่าน้องสาวที่เพิ่งได้คืนกลับมาหลังจากพรากจากกันไปนานถูกพรากจากกันอีกครั้ง
“ข้าไม่ใช่พี่ชายที่โง่เขลาและหัวโบราณอะไร” เจียงหยุนชานพึมพำ “แต่นี่เร็วเกินไปหน่อย ป่าวชิงเจ้ายังเด็กอยู่เลยนะ…”
เจียงฉิงจึงรีบพูดขึ้นเพื่อหลานชายที่หล่อเหลาในฝันของนาง “พี่หยุนชาน พี่สาวไม่เด็กแล้วนะ! อีกอย่าง ข้าเห็นว่าแม่ทัพกงก็มีอายุประมาณหนึ่งแล้ว เขาคงอยากแต่งพี่สาวกลับไปเร็ว ๆ…อู้อู้อู้”
คำพูดตอนหลังของนางถูกเจียงป่าวชิงปิดปากไว้ ทำให้นางพูดต่อไม่ได้
เจียงหยุนชานยิ่งรู้สึกกังวลมากกว่าเดิม
“อาฉิง ยังเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องแต่งงาน” เจียงป่าวชิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “พวกเจ้าอย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาล่ะ ไม่แน่เขาอาจคิดว่าข้าเกลียดการแต่งงานก็ได้”
เจียงป่าวชิงสอนพี่ชายกับน้องสาวอย่างตั้งใจ
เจียงฉิงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ แต่เจียงหยุนชานยังคงรู้สึกว้าวุ่น เขารู้เกี่ยวกับภูมิหลังของกงจี้มาบ้าง หากบอกตามตรง ครอบครัวที่มีภูมิหลังซับซ้อนเช่นนั้นไม่เหมาะกับน้องสาวจิตใจดีและไร้เดียงสาของเขาเลยจริง ๆ
แต่กงจี้จริงใจต่อน้องสาวของเขาไหมนั้น เจียงหยุนชานเห็นมาโดยตลอด หลังจากที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ เขาเคยเจอกงจี้ที่กำลังตามหาเจียงป่าวชิงอย่างบ้าคลั่ง หลังจากรู้จากเขาว่าเจียงป่าวชิงตายแล้ว เจียงหยุนชานก็ทอดถอนใจเล็กน้อยเมื่อหวนนึกถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากของกงจี้ อีกอย่าง ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น การรวมตัวกับเจียงป่าวชิงในครั้งนี้ต้องขอบคุณกงจี้อย่างสิ้นเชิง สำหรับพวกเขาสองพี่น้อง กงจี้เป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เขาสามารถออกจากเมืองได้ก่อนเวลาเพื่อไปรับเจียงป่าวชิงก็เพราะกงจี้ส่งนกพิราบสื่อสารมาให้เขาก่อนล่วงหน้า
‘กงจี้… เจ้าทำเรื่องเหมาะสมน้ำใจงามถึงขั้นนี้ ข้าไม่สามารถเลือกจุดที่ไม่ดีของเจ้ามามอง แล้วตัดสินเรื่องน้องสาวข้าได้จริง ๆ’
เจียงหยุนชานครุ่นคิดในใจ
.