แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 359 ช่างแผนการจริง ๆ
เจียงหยุนชานได้ยินเจียงป่าวชิงพูดมาเช่นนั้น สีหน้าเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เลี่ยวชุนหยู่จ้องหน้าเจียงหยุนชานอยู่ตลอด เมื่อเข้าใจว่าคนจมน้ำอย่างตัวเขาเองสามารถคว้ากระดานลอยน้ำแผ่นสุดท้ายไว้ได้แล้ว เขาก็กอดขาของพี่ชายเอาไว้อย่างแน่นหนา “พี่… พี่ให้โอกาสข้าอีกสักครั้งเถอะ ข้าตระหนักได้แล้วจริง ๆ ว่าตัวเองทำผิด” เขาหันหน้าไปพูดกับเจียงฉิงทั้งที่ยังร้องไห้ “พี่อาฉิงข้าผิดเอง ตอนนั้นข้าไม่ควรคิดไม่ดี ไม่ควรรังแกพี่ด้วยความอิจฉาริษยา ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
เจียงฉิงทำอะไรไม่ถูก นางไม่คิดว่าเลี่ยวชุนหยู่จะขอโทษนางอย่างตั้งใจจริงเช่นนี้จึงลูบศีรษะของเขาและพูดอย่างเก้อเขิน “ไม่เป็นไรหรอก คนเราย่อมมีช่วงที่ทำผิดกันทั้งนั้นแหละ พี่สาวข้าเคยบอกว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการรู้ผิดแล้วแก้ไข ต่อไปเจ้าก็อย่าทำแบบนั้นอีกล่ะ”
เลี่ยวชุนหยู่เช็ดน้ำตาพลางมองเจียงหยุนชานอย่างอ้อนวอน “พี่… พี่อย่าส่งข้าไปที่อื่นเลยนะ ข้าจะปรับปรุงตัวเองให้ดี ๆ จะไม่ดื้อไม่เอาแต่ใจแล้วจริง ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน” เจียงหยุนชานถอนหายใจก่อนจะจับไหล่ให้เลี่ยวชุนหยู่ลุกขึ้นจากบนพื้น คำพูดนี้ถือว่าเขาล้มเลิกความคิดเดิมแล้ว
น้ำตายังติดอยู่ตรงหางตาของเลี่ยวชุนหยู่ เขามีท่าทีตกตะลึงขณะมองเจียงหยุนชานอย่างยากที่จะเชื่อ สุดท้ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่… พี่จะไม่… จะไม่ส่งข้าไปที่อื่นแล้วใช่ไหม ?”
เจียงหยุนชานมองเลี่ยวชุนหยู่ที่ทำท่าทางน่าสงสาร เขาตีหน้าขรึมและพูดขึ้นอย่างเอาจริงเอาจัง “อืม แต่ถ้าหากว่าเจ้าทำผิดเหมือนครั้งที่แล้วอีก…”
เลี่ยวชุนหยู่ตกใจสะดุ้งโหยง รีบยกมือรับประกันทันที “ไม่ ๆ ๆ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว จะไม่ทำอีกแล้วจริง ๆ จ้ะพี่!”
เจียงป่าวชิงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา “เอาล่ะ เช็ดหน้าแล้วไปล้างหน้าซะ จะได้มากินข้าวกัน กับข้าวใกล้เย็นหมดแล้ว”
เลี่ยวชุนหยู่รับผ้าเช็ดหน้าไปอย่างเกรงใจ เขาก้มหน้าพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ขอบคุณพี่ป่าวชิงมากจ้ะ”
มื้ออาหารค่ำจบลงด้วยบรรยากาศที่สงบสุข
หลังจากทานอาหารกันเสร็จ เจียงป่าวชิงส่งถุงขนมให้กับเลี่ยวชุนหยู่ “ชุนหยู่ นี่ขนมกุ้ยฮวา ข้าให้เจ้าไว้ก่อนแต่อย่าเพิ่งกินคืนนี้ ค่อยกินวันพรุ่ง คือข้ากลัวว่าถ้าวางไว้ในห้องนี้มันจะถูกหนูบางตัวแอบขโมยกินก่อนน่ะสิ”
เจียงฉิงโบกมือไปมาอย่างคนกินปูนร้อนท้อง “ไม่ใช่ข้านะ ข้าไม่แอบขโมยกินอย่างแน่นอน!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แม้แต่เลี่ยวชุนหยู่ก็ยังดูผ่อนคลายมากขึ้นและหัวเราะเบา ๆ เช่นกัน
ก่อนที่เลี่ยวชุนหยู่จะกลับไปที่ห้อง เขาแอบย่องไปหาเจียงฉิงที่ห้องของนางแล้วยัดขนมกุ้ยฮวาถุงนั้นใส่ในมือของนางด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ “พี่เจียงฉิง… ถ้าพี่ชอบกินก็เอาไปกินเถอะ… เหลือให้ข้าสักสองสามชิ้นก็พอแล้วล่ะ”
เจียงฉิงเบิกตากว้าง “นี่เจ้าให้ข้าจริง ๆ รึ ?”
เลี่ยวชุนหยู่ยากที่จะปกปิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อขนมเอาไว้ได้ แต่เขาพยายามอดทนและพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อื้อ ข้าให้พี่” ท่าทางเขาดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “ถือซะว่าขอบคุณที่พี่ช่วยพูดกับพี่หยุนชานแทนข้าเมื่อตอนก่อนกินข้าว”
เจียงฉิงทำปากจู๋ “พี่ป่าวชิงก็ช่วยพูดแทนเจ้า ทำไมเจ้าถึงให้ข้าคนเดียวเล่า ?”
“ข้ารู้…” เลี่ยวชุนหยู่พูดอย่างกลุ้มใจ “แต่พี่สาวคนโตเป็นคนให้ขนมกุ้ยฮวานี้กับข้า ข้าไม่สามารถนำขนมนี้ไปขอบคุณนางได้”
เจียงฉิงหัวเราะ เมื่อครู่นางก็แค่หยอกเย้าเลี่ยวชุนหยู่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะคิดเป็นจริงเป็นจังเช่นนี้
“เอาล่ะเจ้าไม่ต้องห่วง ในเมื่อพี่ป่าวชิงให้ขนมนี้กับเจ้า งั้นเจ้าก็เอาไปเถอะ อย่าทำให้เสียน้ำใจพี่เขาเลย” เจียงฉิงยัดขนมกุ้ยฮวาถุงนั้นกลับไปในอ้อมแขนของเลี่ยวชุนหยู่อีกครั้ง “เห็นท่าทางตะกละของเจ้าแล้ว คนเป็นพี่สาวอย่างข้าไม่สามารถแย่งน้องชายกินได้หรอก”
เจียงฉิงโบกมือไล่เลี่ยวชุนหยู่ไปข้างนอก “เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปเถอะ ข้าต้องทบทวนบทเรียนของข้าแล้ว”
เลี่ยวชุนหยู่กอดขนมกุ้ยฮวาถุงนั้นพลางเดินออกจากห้องของเจียงฉิง
อย่างไรก็ตาม คืนนี้เขาทนไม่ไหว แอบกินขนมไปสองสามชิ้น กินไปกินมาเลี่ยวชุนหยู่ก็น้ำตาไหลพราก นี่เป็นขนมกุ้ยฮวาที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมาในชีวิต...
……
เจียงหยุนชานกำลังทบทวนบทเรียนของวันนี้อยู่บนโต๊ะหนังสือ ส่วนเจียงป่าวชิงนั่งถูแก้มและถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ “เฮ้อ พี่ ในช่วงสามปีที่ผ่านมาพี่ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ค่อยดี แถมยังหลอกเด็กเป็นแล้วด้วยนะนี่”
ปลายพู่กันของเจียงหยุนชานหยุดชั่วคราว แต่ต่อมาไม่นานเขาเขียนพู่กันอย่างราบรื่นบนกระดาษอีกครั้ง “ข้าไปหลอกเด็กที่ไหนล่ะ”
“ก็ชุนหยู่ไง” เจียงป่าวชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูลายมือของเจียงหยุนชานอย่างชื่นชมและพูดขึ้น “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะส่งชุนหยู่ไปที่อื่นจริง ๆ หรอกใช่ไหมจ๊ะ ก็แค่ต้องการขู่เขาและให้ข้ากับอาฉิงแสดงความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก็เท่านั้น”
สุดท้าย เจียงป่าวชิงก็ออกความเห็นด้วยรอยยิ้ม “อื้ม… แผนการ พี่นี่ช่างแผนการจริง ๆ นะ”
เจียงหยุนชานไม่นึกสนใจที่น้องสาวแซวเขาเช่นนี้ เขาเขียนตัวอักษรเสร็จแล้วก็วางพู่กันลงในถ้วยสำหรับล้างพู่กันด้านข้าง ถอนหายใจและส่ายหน้าเล็กน้อย “เมื่อก่อนเป็นข้าที่ทำไมถูกต้อง ข้าคิดว่าสูญเสียน้องสาวไปแล้วคนหนึ่งจึงรักน้องชายคนนี้มากเกินไปจนไม่ได้สั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด แต่โชคดีที่รู้สำนึกในตอนที่ยังไม่สายเกินไป”
เขามองเจียงป่าวชิง “จริง ๆ แล้วชุนหยู่เป็นเด็กดีคนหนึ่ง สันดานเดิมของเขาไม่ได้แย่ แต่เพราะความรักของข้าที่มีต่อเขาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าจึงเอาแต่ตามใจเขาทุกอย่างจนเขาเสียนิสัย เจ้ากับอาฉิงต่างก็เป็นเด็กหญิงที่ดีมาก มีพวกเจ้าเตือนข้า ข้าจะไม่ทำผิดพลาดในการสั่งสอนชุนหยู่อีก… ครั้งนี้ต้องทิ้งบทเรียนให้กับเขาเป็นธรรมดา”
สองพี่น้องสบตากัน ยิ้มให้กันและกัน
……
หลังจากจัดการกับปัจจัยปัญหาของครอบครัวแล้ว ชีวิตราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ เจียงฉิงชอบพูดจาขำขันอย่างร่าเริงสดใส ถึงแม้ว่าเลี่ยวชุนหยู่จะไม่สบอารมณ์บ้างในบางครั้ง เขาก็เผยความไร้เดียงสาออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราวทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาน่ารักเป็นพิเศษ เวลานี้ครอบครัวมีความสามัคคี เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ปรองดองกันถือเป็นเรื่องดีแล้ว
วันนี้เจียงหยุนชานตื่นตั้งแต่เช้า ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพราะวันนี้เขาต้องไปงานประชุมการบรรยายกับท่านอาจารย์
งานในครั้งนี้แม้บอกว่าเป็นงานประชุมการบรรยายธรรมดา ๆ แต่อันที่จริงกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการต่อสู้แบบเปิดเผยและแบบลับ ๆ ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ พวกเขาทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางระลอกคลื่นแห่งการแข่งขัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีการติดต่อหรือมีเอี่ยวกับคนใหญ่คนโตของฝ่ายราชการและการเมือง แต่โชคดีที่ท่านอาจารย์ของเจียงหยุนชานเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เจียงป่าวชิงจึงไม่กลัวว่าพี่ชายของตนจะถูกรังแกง่าย ๆ
วันนี้นางเตรียมพาน้องชายกับน้องสาวไปร่วมงานประชุมการบรรยาย แต่นางไม่อยากสร้างความกดดันให้เจียงหยุนชานจึงแอบพาน้อง ๆ เข้าไปในงานโดยไม่ให้เขารู้
“ไอ้โย! ท่านอาจารย์ของพี่หยุนชานยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยจริง ๆ หรือจ๊ะ ?” เจียงฉิงมองดูพี่สาวที่กำลังแต่งตัวอย่างปลื้มอกปลื้มใจและถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน” เจียงป่าวชิงมองดูฝีมือการตกแต่งใบหน้าในกระจก “ท่านอาจารย์ของพี่หยุนชานเป็นคนเก่งที่ซ่อนเร้นความสามารถแท้จริงเอาไว้ พี่หยุนชานได้รับโอกาสยิ่งใหญ่ถึงถูกยอมรับให้เป็นศิษย์คนสุดท้าย”
“โอ้ พี่หยุนชานก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!” เจียงฉิงพูดอย่างชอบใจ
อันที่จริงเจียงป่าวชิงไม่ค่อยชอบทาแป้งแต่งเสริมเติมสวยสักเท่าไหร่ นางเพียงแค่ทาแป้งบาง ๆ หนึ่งชั้นเพื่อให้ใบหน้าดูนวลเนียนขึ้นเท่านั้น เสร็จจากใบหน้าก็มองกระจกและเสียบปิ่นปักผมสีเงินประดับไข่มุกลงบนมวยผมของตัวเอง มันทำให้นางดูสง่าและสวยงาม แม้ไม่ได้สะดุดตาอะไรแต่ก็ไม่ถึงกับเรียบจนเกินไป
หลังจากที่เจียงป่าวชิงแต่งตัวเสร็จแล้วก็ดึงเจียงฉิงมาตรงหน้ากระจกแล้วถักมวยผมให้นางสองข้าง จากนั้นก็เสียบปิ่นปักผมรูปผีเสื้อที่ด้านข้างมวยผมทั้งสองข้าง แม้ปิ่นปักผมรูปผีเสื้อจะไม่ใช่เครื่องประดับหายากหรือล้ำค่า แต่มันดูคล่องแคล่วและน่ารักไม่แพ้เครื่องประดับชิ้นอื่น ๆ ยามที่ลมพัดมันจะกระพือปีกข้างใบหูราวกับว่ากำลังจะกางปีกโบยบินออกไปอย่างไรอย่างนั้น
.
.