แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 370 พบลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกครั้ง
ครูเวินขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางจมดิ่งลงไปในความทรงจำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พออายุมากแล้วก็ดูเหมือนกับว่าจะจำเรื่องบางอย่างในตอนสาว ๆ ไม่ค่อยได้” ผ่านไปสักพักครูเวินถึงเดินออกมาจากในความทรงจำแล้วกล่าวขอโทษเล็กน้อย “นึกตั้งนานกว่าจะนึกออก ตอนเด็ก ๆ เหมือนว่าข้าเคยตกเก้าอี้ คือข้าปีนเก้าอี้เล่น ๆ ตามประสาเด็ก”
เจียงฉิงที่อยู่ข้าง ๆ เบิกตากว้างทันที ไม่น่าเชื่อว่าครูที่ดูยึดมั่นในหลักการเช่นนี้จะมีด้านซุกซนเมื่อตอนยังเด็กด้วย
ครูเวินเหมือนรู้ว่าเจียงฉิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ นางจึงยิ้มอย่างเบิกบาน “อื้ม ตอนเด็ก ๆ ข้าซนมากจริง ๆ”
พูดจบครูเวินชะงักไปเล็กน้อย นางหันไปมองเจียงป่าวชิงอีกครั้ง “หรือเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลมากจากตอนนั้น แต่นี่ผ่านมาใกล้จะสี่สิบปีแล้วนะ…”
เจียงป่าวชิงทอดถอนใจ “ดูจากกระดูกแล้ว ตอนนั้นที่ครูตกเก้าอี้ แรกเริ่มน่าจะไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม มันจึงหลงเหลือโรคเรื้อรังไว้นิดหน่อยเจ้าค่ะ ตอนวัยสาวครูเวินอาจไม่รู้สึกถึงอาการใด ๆ แต่ยามนี้ครูอายุมากแล้วประกอบกับสะสมเป็นเวลานาน… ความเจ็บป่วยเมื่อวันก่อนเป็นเหมือนโซ่ที่ติดไฟและมันเผาไหม้ได้อย่างเร็ว หากพูดถึงการรักษาให้หายขาดยังคงยากอยู่เล็กน้อยเพราะปล่อยทิ้งนานจนเกินไป แต่ข้าจะเขียนใบรายการยาให้กับครู หากกินยารวมถึงทายานวดตามที่ข้าบอกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สบายได้อย่างมากเลยเจ้าค่ะ”
เดิมทีครูเวินเห็นว่าเจียงป่าวชิงมีวิธีการคลำกระดูกและทายาได้อย่างช่ำชอง นางจึงลองถามไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดเลยว่าเจียงป่าวชิงจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้จริง ๆ ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ลดความเจ็บปวดได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ความเจ็บปวดที่ขานี้จะรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงในวันที่อากาศไม่ดี ก่อนหน้านี้ก็เคยไปให้หมอคนอื่น ๆ ดูเหมือนกัน แต่หมอเหล่านั้นไม่สามารถบอกอะไรได้เลย บอกแค่ว่าอายุมากแล้ว นี่เป็นอาการป่วยที่มีอยู่ทั่วไปในผู้สูงอายุ
เจียงป่าวชิงปูกระดาษลงบนโต๊ะหนังสือด้านข้างอย่างคล่องแคล่ว ลงมือเขียนใบรายการยาอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็เป่าหมึกให้แห้งเบา ๆ เมื่อมันแห้งนางถึงจะหยิบมันขึ้นมาแต่กลับยื่นให้เจียงฉิงซะอย่างนั้น
“เรื่องบางเรื่อง เราคนรุ่นหลังก็ควรรับใช้รุ่นอาวุโส” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “อาฉิง เดี๋ยวพอเจ้าเลิกเรียนแล้ว ตอนที่ไปส่งครูเวิน เจ้าแวะไปที่ร้านยาและหยิบยาให้กับครูเวินสามชุด ให้ครูเวินท่านลองกินยาดูสักสามวันก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะดูผลลัพธ์ที่ได้ทีหลัง”
เจียงฉิงตอบรับอย่างดีอกดีใจ
เลี่ยวชุนหยู่ก็อยากไปด้วยเช่นกัน แต่เจียงฉิงจึงเคาะหน้าผากเขา “นี่แน่ะ แขนของเจ้าเพิ่งกระแทกมา เจ้าลืมไปแล้วรึ รักษาบาดแผลอยู่ที่บ้านนี่แหละ ใครใช้ให้เจ้าไม่ดูหน้าดูหลังกันล่ะ”
เลี่ยวชุนหยู่ก้มหน้าอย่างท้อใจ เขาทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่จะตามไปด้วย
ครูเวินกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า เจียงป่าวชิงจึงพูดขึ้นอย่างตั้งใจว่า “ครูเวินเป็นครูของเด็กทั้งสอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว โปรดครูอย่าได้ถือว่าเป็นคนอื่นคนไกลเลยเจ้าค่ะ”
ครูเวินถอนหายใจพลางยิ้มจาง ๆ
……
เจียงฉิงเริ่มเข้าเรียนกับครูเวินแล้ว เจียงป่าวชิงไปที่ร้านยาใจสัตย์ซื่อครั้งนี้จึงไม่ได้พานางมาด้วย
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกหดหู่เล็กน้อยแต่เขาก็คิดได้ในภายหลัง “อาฉิงอายุเท่านี้แล้วจึงจำเป็นต้องปูพื้นฐานความรู้ให้ดี ๆ”
“แม้จะเคยสอนนางเมื่อตอนที่อยู่ภูเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นการสอนจริงจังอะไร” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “ครั้งนี้ให้นางได้ปูพื้นฐานไปพร้อมกับชุนหยู่ เราไม่ขอให้นางเรียนจนเก่งกาจขนาดนั้น หลังจากที่เข้าใจเนื้อหาความรู้ที่ต้องเรียนในขั้นพื้นฐานแล้ว ข้าค่อยสอนนางเกี่ยวกับเรื่องหยูกยา แบบนี้คงจะได้ผลที่คุ้มค่าประมาณหนึ่ง”
เจียงป่าวชิงหยุดพูดสักครู่ แล้วพูดถึงเรื่องที่ทับกระดาษ “ที่ทับกระดาษของเจ้าอันนั้นดีมากเลย อาฉิงเองก็ชอบมากเช่นกัน”
นางครุ่นคิดสักครู่ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ใช้ที่ทับกระดาษทุบอันธพาลจนสลบ
เกิ่งจื่อเจียงได้ฟังก็หน้าบานเป็นกระด้ง “ใช่! ที่ทับกระดาษอันนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการส่งต่อจากครอบครัวของข้ามาสามชั่วอายุคน รับประกันได้เลยว่าใช้ดีจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงยิ้ม ก่อนจะถามเกี่ยวกับเรื่องของเผิงชื่อจินอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเราช่วยชายคนนึงไว้หรอกรึ แถมยังนำไปสู่เรื่องยุ่งยากที่ว่ามีคนมาข่มขู่เจ้าถึงที่อีกด้วย ช่วงนี้มีเรื่องอะไรตามหลังมาจากเรื่องนี้อีกหรือเปล่า ?”
เกิ่งจื่อเจียงหยุดชะงัก “ถ้าเจ้าไม่พูดถึงข้าก็ลืมไปแล้วนะ… แต่ไม่มีใครมาหาข้าอีกแล้ว ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนแถวนี้พอเริ่มป่วยเล็กน้อยต่างก็วิ่งมาที่ร้านยาของข้ากันทั้งนั้น ข้ายุ่งมากจนลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย”
เขากำลังพูด จู่ ๆ กระดิ่งลมข้างนอกก็ดังขึ้น จากนั้นมีคนเลิกม่านประตูเข้ามาขอรับการรักษา อาการเขาดูเหมือนพวกที่เพิ่งได้รับความเย็นมาทั้งตัว “หมอ ข้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ช่วยดูให้ข้าหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวข้ากันแน่…”
เกิ่งจื่อเจียงแสดงท่าทางขอโทษต่อเจียงป่าวชิง ก่อนจะเดินไปดูอาการให้กับผู้ป่วยที่เพิ่งเข้ามา
เจียงป่าวชิงเห็นว่าเกิ่งจื่อเจียงเริ่มยุ่งกับงานแล้ว ตัวนางเองตอนนี้ก็ไม่มีธุระอื่นใดจึงบอกลาเกิ่งจื่อเจียงแล้วออกไปจากร้านยา
อากาศเริ่มหนาวมากขึ้นเรื่อย ๆ เจียงป่าวชิงวันนี้ไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชาย นางสวมเสื้อกันหนาวที่มีลวดลายสีเขียวอมน้ำเงินหนึ่งตัวกับกระโปรงสีเขียวลายใบไผ่ซึ่งไม่ใช่สีสะดุดตาอะไร ท่ามกลางอากาศขมุกขมัวเต็มไปด้วยหิมะอันหนาวเย็น เพียงสวมหมวกคลุมศีรษะไว้ก็ถือว่าเป็นการปกปิดที่มิดชิด เพียงเท่านี้นางก็จะไม่เป็นที่สะดุดตาอีกต่อไป
ทันใดนั้นเอง เด็กซนสองสามคนที่กำลังวิ่งเล่นกันก็พุ่งตัวออกมาจากทางลาดเอียงด้านข้าง เจียงป่าวชิงเดินผ่านพอดี หลบไม่ทันจึงถูกชนเข้าเต็ม ๆ
บนพื้นยังมีหิมะอยู่อีกหน่อย ประกอบกับสวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เจียงป่าวชิงจึงไม่หกล้ม แต่หมวกที่สวมอยู่บนศีรษะมันร่วงหล่นลงมาตอนโดนชน ทำให้ใบหน้าเล็กที่ได้รับการปกปิดอย่างดีในตอนแรกปรากฏออกมาให้เห็น
ใบหน้าสวยเด่นไม่เป็นสองรองใครปรากฏออกมาแล้ว!
พวกเด็กซนเห็นว่าพวกเขาชนคนอื่นเข้าให้แล้วก็รีบกล่าวขอโทษ แต่เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าเล็กของเจียงป่าวชิงที่ห่ออยู่ในผ้าคลุมขนสัตว์ เด็กพวกนั้นตกตะลึงทันทีพลางพากันพูดชมเจียงป่าวชิง “โอ้โหพี่สาว! พี่ช่างงดงามจริง ๆ เหมือนนางฟ้าเลยจ้ะ”
เจียงป่าวชิงมองดูเด็กที่ไม่ดูหน้าดูหลังพวกนี้และพบว่าพวกเขารุ่นราวคราวเดียวกับชุนหยู่จึงไม่ได้โกรธอะไรมาก เพียงแค่ยิ้มและพูดตักเตือนเท่านั้น “ตอนที่เล่นกันครั้งต่อไปก็ระวังทางแยกด้วย และอย่าเล่นกันบนท้องถนนแบบนี้มันอันตราย ตอนนี้โชคดีที่เป็นคนเดินถนน แต่ถ้าเป็นรถม้ามามันจะอันตรายกว่านี้มาก”
“จ้ะพี่ ไปพวกเรา! ไปเล่นในซอยเล็ก ๆ นั่นกันเถอะ” พวกเด็กซนพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้ววิ่งกรูกันเข้าไปในซอย
เจียงป่าวชิงมองดูร่างของพวกเด็ก ๆ วิ่งจากไป เสร็จแล้วก็ปัดหิมะที่เปื้อนอยู่บนตัวเมื่อสักครู่ ตอนที่นางกำลังจะสวมหมวกก็ถูกใครบางคนจับแขนซ้ายไว้เสียก่อน
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วมองไปข้าง ๆ แต่กลับพบว่าคนที่กำลังจับแขนตัวเองอยู่เป็นชายคนหนึ่งที่แต่งตัวในชุดแบบคนรับใช้ “แม่นาง นายท่านของข้าเชิญให้แม่นางไปพบ”
เจียงป่าวชิงขี้เกียจแม้แต่จะพูดคำว่าปล่อย นางรีบคลำหาเข็มยาตรงข้อมือซ้ายอย่างรวดเร็ว ทำทางเหมือนสะบัดแขนเสื้อและปัดมือลงไปบนแขนของคนรับใช้คนนั้น
แขนของชายคนรับใช้แข็งทื่อควบคุมไม่ได้ในทันใด เจียงป่าวชิงรีบฉวยจังหวะนี้สลัดออกมาจากการควบคุมของเขาและก้าวถอยหลังเล็กน้อย
“เฮ้! เจ้ามันไอ้คนไร้ประโยชน์ ทำอะไรน่ะ! ข้าสั่งให้เจ้าเชิญแม่นางให้มาพบข้ามิใช่รึ ?!”
ที่หน้าต่างชั้นสองฝั่งตรงข้าม ชายในชุดผ้าไหมปักลายเกาะหน้าต่างตะโกนด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
คนรับใช้ทั้งหวาดกลัวระคนงุนงง เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง “คุณชายขอรับ เมื่อ… เมื่อกี้นี้ข้าเหมือนถูกแทงด้วยอะไรบางอย่าง… แล้วแขนข้าก็ชาไปหมด ข้าขยับไม่ได้เลยขอรับ”
“ไร้ประโยชน์ เจ้านี่มันช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ!” ชายคนนั้นตะโกนเสียงดังอยู่ที่หน้าต่าง “เจ้าเฝ้าดูนางให้ดี ๆ ไว้แล้วกัน ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้ว นางจำชายคนนั้นได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่นางพาพวกน้อง ๆ ไปดูงานประชุมการบรรยายที่เจียงหยุนชานมีส่วนร่วม นางได้พบกับลูกหลานของตระกูลร่ำรวยที่อ้างว่าพ่อของตัวเองเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
ชายคนนี้ก็คือเขาคนนั้น