โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 103
Ch.103 – กระบวนท่าวรยุทธ : มีดผลาญสวรรค์
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.103 – กระบวนท่าวรยุทธ : มีดผลาญสวรรค์
ชายคนนั้นมองฉินเฟิงอย่างไม่หวั่นเกรง กระทั่งการแสดงออกทางสีหน้าก็บ่งบอกชัดว่ากำลังยั่วยุ
เพราะนี่ก็แค่ผู้ใช้พลังเลเวล G
ฉินเฟิงฝากจานให้ไป๋หลีถือ และยื่นมือไปทางผู้ใช้พลังเลเวล F อย่างช้าๆ
ชายคนนั้นแสยะยิ้มมุมปาก ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาปัดป้อง
“ไอ้หนู อย่าคิดพยายาม … ” แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยจบ หมัดที่เชื่องช้าของฉินเฟิงก็พลันตวัดไหว ระเบิดพลังขึ้นอย่างกระทันหัน ชกเปรี้ยงเข้าใส่แขนของชายคนนั้นจนเกิดเสียงดัง ‘กริ๊ก’ –หักงอไปด้านข้างในทันใด
เมื่อไร้สิ่งกีดขวาง หมัดของฉินเฟิงก็กระแทกเข้าใส่กระพุ้งแก้มอย่างแรง จนอีกฝ่ายต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป
พรวดดดด!
ฟันซี่ใหญ่สามสี่ซี่หลุดกระเด็นไปตามทิศทางของหมัด ปากอ้ากระอักหมอกเลือดไปพร้อมๆกัน
ฉินเฟิงชักมือกลับ และสะบัดหลังมือใส่เขาอีกครั้ง
คราวนี้มันเป็นการตบฉาดด้วยหลังมือ หน้าของชายคนนั้นสะบัดไปอีกทิศทาง มันรุนแรงจนกระพุ้งแก้มเปลี่ยนรูปทรงไปจากเดิม
“อ๊ากกก!”
พร้อมกันกับปากที่อ้าขึ้นกรีดร้อง ฟันอีกแถวร่วงตกลงมาผสมผสานไปกับเลือด กลิ่นสาบคาวฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
“ปากแกเหม็นเกินไปนะ ควรจะแปรงมันซะบ้าง!” ฉินเฟิงสาดเสียงเย็นชา ถอนมือกลับ
หลังจากถูกตีไปสองครั้งติดต่อกัน และตระหนักถึงฟันที่สูญเสียไปเกือบหมดปาก ผู้ใช้พลังเลเวล F ก็คลั่งจนแทบบ้า
เหตุการณ์ไม่จบลงง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้พลังไม่ได้มาที่นี่คนเดียว โต๊ะที่อยู่ถัดออกไป สหายอีกสามคนผุดลุกขึ้นทันที เตรียมจะเข้ามาช่วยเหลือ
แต่ฉินเฟิงไม่สนใจ เขาหันไปหยิบจานในมือไป๋หลี และเริ่มกลับไปตักอาหารอีกครั้งราวกับไม่มีเรื่องราว -คนที่ถูกทุบตีตอนแรกยิ่งเห็นก็ยิ่งคลั่งแค้น ท่วมท้นไปด้วยความโกรธ
“จงตายให้แก่บิดา!” เขาขยับปากส่งเสียงอู้อี้ แต่กลิ่นอายสังหารกลับท่วมไปทั้งดวงตา ทั้งคนทั้งร่างระเบิดกำลังภายในออกมา
“หมัดล่มสลาย!”
คลื่นปราณขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น กระเพื่อมไหวเป็นระลอกในชั้นอากาศ กระบวนท่าหมัดนี้ ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในเลเวล F หากสัมผัสโดนก็คงไม่พ้นบาดเจ็บสาหัส!
ราวกับมีตาหลัง ฉินเฟิงพลิกตัวมาด้านข้าง ยกเท้าข้างหนึ่ง อัดฉีดกำลังภายในลงในมัน เหยียดออกไปอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ท่วงท่านี้แม้จะดูไม่รุนแรง แต่ …
เปรี้ยง!
—มันกลับสามารถทำลายปราณหมัดของศัตรูได้อย่างง่ายดาย!
ไม่เพียงทำลาย แต่ยังทะลวง! เท้าของฉินเฟิงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันกระทุ้งเข้าใส่หน้าท้องของเลเวล F อย่างแรง!
หลังจากเท้าแนบลง เลเวล F ก็คล้ายกับติดเทอร์โบ พุ่งฟิ้ว! ไกลออกไปกว่า 20 เมตร กระแทกเข้ากับกำแพงเสียงดังปัง!
“อ๊อก .. ”
เห็นแค่เพียงชายคนนั้นยกมือขึ้นกุมท้อง และอ้วกเลือดออกมาเต็มปาก
เดิมที สหายบนโต๊ะเขาต้องการที่จะเข้ามาช่วย แต่เวลานี้ทุกคนต่างนิ่งค้าง ไม่กล้ายกเท้าก้าวออกมาแม้เพียงเสี้ยว ทั้งหมดเบิกตากว้าง มองฉินเฟิงด้วยความตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
เพราะยังไงซะ พวกเขาย่อมล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของสหายดี และกระบวนท่าหมัดล่มสลายเมื่อครู่นี้ เป็นอะไรที่ทรงพลังและรวดเร็วมาก มันเป็นการโจมตีสไตล์เส้าหลิน ทว่ากลับถูกฝ่ายตรงข้ามสยบลงทั้งๆที่ยังหันหลังอยู่!
ยังไม่พอ มันยังไม่อาจต่อต้านการเตะแบบลวกๆของศัตรูได้ นี่บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังภายในของฉินเฟิงแข็งแกร่งยิ่งกว่า แกร่งกว่ามากจนสหายของเขาพ่ายแพ้อย่างเทียบไม่ติด
“ครั้งนี้พวกเราจะทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน ฝากไว้ก่อนเถอะ!” หนึ่งในนั้นหันไปส่งสัญญาณให้คนที่เหลือ และเดินจากไป อีกสองคนหยุดกิน พุ่งเข้าช่วยพยุงชายคนแรกที่ได้รับบาดเจ็บออกไปหาหมอ
ฉินเฟิงเองก็สูญสิ้นความอยากอาหารไปเช่นกัน เพราะปัจจุบันบนพื้นมันเต็มไปด้วยเลือดและกลิ่นไม่พึงประสงค์
“ช่างมันเถอะ ไว้กลับไปค่อยหาอะไรกินกันก็ได้”
ฉินเฟิงออกจากโถงอาหารพร้อมกับไป๋หลี ทุกคนในร้านที่เห็นเหตุการณ์ล้วนพากันจดจำหน้าตาของทั้งสอง
“มีคนที่แสร้งทำเป็นหมู แล้วคอยกินเสืออยู่ด้วยแฮะ นั่นเขาจงใจติดโลโก้เลเวล G ไว้หลอกลวงคนอื่นๆใช่ไหม?”
“อยู่ห่างๆเขาไว้ดีกว่า ถ้าเจอกันอีกก็หลบหน้า!”
“อย่าบอกนะว่าเขาเองก็มาตามล่าสัตว์ร้ายเกราะคริสตัลเหมือนกัน!”
ช่วงเวลานี้ หลายคนเริ่มตื่นตัว ทั้งหมดจดจำหน้าตาของฉินเฟิง และตัดสินใจว่าจะไม่เฉียดเข้าไปยุ่งกับเขา
…
พอกลับมาถึงห้องพร้อมกับไป๋หลี ฉินเฟิงก็โทรสั่งอาหาร
“ผมขอสั่งปีกไก่กับขาไก่ … อืม .. ตกลง”
ไป๋หลีมองมาทางฉินเฟิงด้วยแววตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
“เมื่อกี้ทำไมที่รักถึงไปทะเลาะกับเขาล่ะ? เขาจะพาฉันไปกินไก่ไม่ใช่หรอ? สุดท้ายเลยอดกินเลย!” ไป๋หลีหน้ามุ่ย
ฉินเฟิงยื่นมือออกไป และบีบปากเล็กๆของอีกฝ่ายเบาๆ
“เดี๋ยวโตไปก็จะรู้เล่ห์เหลี่ยมพวกนี้ในภายหลังเอง”
แม้คนอื่นจะเพียงแซวไป๋หลี แต่มันก็ทำให้ฉินเฟิงโกรธจริงๆ ยิ่งเมื่อเขาจินตนาการถึงฉากนั้น ตนก็ยิ่งร้อนรุ่ม!
“ก็แล้วเรื่องที่ว่ามันอะไร จิ้งจอกเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ!”
ไป๋หลีทำแก้มป่อง แสดงท่าทีว่ากำลังโกรธ
“อ่า คำถามนี้มันลึกซึ้งเกินไป เดี๋ยวฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ดูก็แล้วกัน”
ว่าจบ ฉินเฟิงโน้มตัวลง ประกบริมฝีปากของไป๋หลี –ตามที่คาดไว้จริงๆ รสชาติมันช่างอ่อนโยน นุ่มละมุนลิ้นจริงๆ!
ฉินเฟิงไม่มีทีท่าว่าจะปลีกตัวไปจากการกิน ‘อาหาร’ มื้อนี้ได้เลย แต่เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น เจ้าตัวก็ต้องผละจากไป๋หลีอย่างไม่เต็มใจ
ประตูถูกเปิดออก และคนที่ผลักรถเข็นอาหารเข้ามา คือเด็กสาวหน้าตางดงามในวัย 20 ปี
–เป็นหลิวซู!
หลิวซูมาในสภาพสวมใส่ชุดต่อสู้ สีหน้าของเธอเย็นชา โลโก้ F3 บนหน้าอกเด่นชัดสะดุดตา
“มิสเตอร์ นี่คือหมายเลขสั่งอาหารของคุณ ยังไงก็ตาม ช่วงเย็นวันนี้คุณได้ต่อสู้กับผู้ใช้พลังคนอื่นๆใช่ไหม? เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจของโรงแรมเรา มันทำให้เสียลูกค้า ข้าวของจำนวนมากถูกทำลาย ดังนั้นฉันเลยจะขอเรียกเก็บค่าเสียหายจากในใบเสร็จของคุณด้วย มีอะไรจะโต้แย้งไหม?”
ฉินเฟิงพยักหน้า “ไม่มี”
สำหรับเรื่องเงินเขาไม่เก็บมาคิดกังวล ส่วนเรื่องค่าอาหาร เนื่องจากเขาต่อยผู้ใช้พลังจนฟันหลุด เลือดกระเซ็น ตกลงไปในอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เตรียมไว้ คนมากมายก็เห็นมัน ดังนั้นจานผัก จานเนื้อจึงต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
แต่อาหารเหล่านี้มันไม่ได้มีค่าเสียหายมากนัก ดังนั้นฉินเฟิงเลยยินดีที่จะจ่าย
“ยอดเยี่ยม ขอบคุณมิสเตอร์ที่ให้ความร่วมมือ แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันหวังว่ามิสเตอร์จะไม่ทำแบบนั้นอีกในครั้งต่อไป”
หลิวซูกล่าวอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงของเธอดูจะคุกคามเล็กน้อย คล้ายกับเป็นการขู่กลายๆว่าฉินเฟิงอย่าทำอีก
“ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้ามาวุ่นวายกับฉันน่ะนะ!” ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา เขาไม่ใช่คนที่จะเก็บงำ กล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ได้
หลิวซูกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ฉันเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง แต่มันคงไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าคุณไม่พาแฟนออกไปด้วย ถ้าไม่อยากต่อสู้ ก็เก็บเธอไว้ให้มิดชิด แต่ถ้ายังปล่อยให้หล่อนออกมาเดินป้วนเปี้ยน คุณคงเจอปัญหาไม่หยุด!”
พอถูกพูดแทงใจดำ ฉินเฟิงก็อึ้ง พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“พี่สาว นี่มันเรื่องของฉัน อย่ามายุ่งดีกว่าน่า”
“หึ เตือนแล้วนะ จะทำอะไรต่อจากนี้ ก็เตรียมรับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ด้วยก็แล้วกัน ไอ้ผู้ชายอวดดี!”
หลิวซูเอ่ยเสียงเย็นชา เธอมองฉินเฟิงด้วยความดูแคลน และผลักรถเข็นอาหารออกไป
ฉินเฟิงไร้คำจะกล่าว หลิวซูคิดเป็นตุเป็นตะเกินไปจริงๆ แล้วตอนนี้เขากลายเป็นคนอวดดีไปได้ยังไง?
อย่างไรก็ตาม เขามาที่นี่เพราะเรื่องของลุงหลิวเท่านั้น ไม่ได้มาทะเลาะกับเธอ จึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
วันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงลุกจากเตียง เขาพาไป๋หลีไปเดินเล่นในแปลงดอกไม้หลังโรงแรม ขณะกำลังกุมมีดกษัตริย์ครามในมือครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน
“ผู้ใช้วรยุทธโบราณที่มาถึงเลเวล F สมควรที่จะมีกระบวนท่าวรยุทธติดตัวเอาไว้บ้าง ดังนั้นฉันก็ควรจะเริ่มฝึกพวกมันด้วยใช่ไหม?”
“ก่อนจะเกิดใหม่ จำได้ว่าฉันเคยครอบครองกระบวนท่าวรยุทธ ‘มีดผลาญสวรรค์’ คิดว่าท่านี้น่าจะเหมาะสมกับอาวุธในตอนนี้นะ”
–กระบวนท่ามีดผลาญสวรรค์ มีเงื่อนไขที่สูงมาก กำลังภายในจะถูกเปิดใช้งานด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างออกไป มันจะไหลผ่านตามจุดฝังเข็มพิเศษ เพื่อปลดปล่อยปราณที่ลุกไหม้เหมือนไฟ ส่งผลให้กระบวนท่านี้ อาจเทียบเท่าได้เลยกับพลังพิเศษธาตุไฟ
ทันใดนั้นฉินเฟิงก็เกิดความคิดขึ้นในหัวใจ
“ในเมื่อฉันเองก็ครอบครองอบิลิตี้ไฟ งั้นถ้าฉันลองใช้มันประสานกันกับกระบวนท่ามีดผลาญสวรรค์ดูล่ะ? น่าคิดจริงๆว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นถึงขนาดไหน!”
ด้วยความคิดนี้ ฉินเฟิง จึงทำการกระตุ้นกำลังภายใน ขณะเดียวกันก็อัดฉีดรูนไฟเข้าไป
ในพริบตา เปลวเพลิงก็พลันพวยพุ่งออกจากมีดกษัตริย์คราม!
“มีดเปลวเพลิง!”
นี่คือหนึ่งใน ‘ชุดกระบวนท่าพื้นฐาน’ ของมีดผลาญสวรรค์ ยามเมื่อมันถูกใช้ออกโดยฉินเฟิง และผสานรูนไฟที่ถูกอัดฉีดลงไป เปลวเพลิงจึงสำแดงพลานุภาพยิ่งกว่าที่ควร ดูดุดันและทรงพลังเป็นอย่างมาก
“มาลองกันอีกสักท่า! ระบำดอกไม้ไฟ!”
พลันปรากฏลำแสงแผดเผารูปทรงครึ่งวงกลมขึ้นกลางอากาศ โดยแสงที่ว่าสะท้อนหักเหจากใบมีด ฉากนี้แลดูคล้ายกับดอกไม้ไฟที่กำลังระเบิดออก —สมชื่อระบำดอกไม้ไฟจริงๆ!