โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 130
Ch.130 – เฉินหมิงสภาพสมบูรณ์
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.130 – เฉินหมิงสภาพสมบูรณ์
“หัวหน้าห้อง อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ความแข็งแกร่งของเธอตอนนี้พูดได้ว่าผ่านข้อกำหนดของผู้ใช้พลังเลเวล G แล้ว และถ้าผลลัพธ์ในครั้งนี้ออกมาดี เธอก็จะได้รับตราผู้ใช้พลังโดยไม่ต้องออกล่าพวกสัตว์ร้าย!”
“ใช่ๆ”
“อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับ ‘สัตว์ประหลาด’ สิ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ใช้อบิลิตี้ด้วยซ้ำ!”
เมื่อถูกปลอบประโลม จ้าวหยูก็กลับมาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
ต่อมาก็เป็นการทดสอบของผู้ใช้วรยุทธโบราณ เนื่องจากชั้นปีที่ 1 มีผู้ใช้วรยุทธโบราณอยู่ถึง 3 ห้อง ดังนั้นการทดสอบจึงไม่ใช่ในรูปแบบทีละ 5 คน แต่เป็น 10 คน แต่ยังไงปริมาณก็เยอะอยู่ดี ฉะนั้นผลการทดสอบเลยดำเนินไปอย่างเชื่องช้าอย่างไม่ต้องสงสัย
และแน่นอน ว่าผลงานของโจวฮ่าวน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากในระหว่างปราบปรามกองทัพซากศพ โจวฮ่าวกับลู่เหมิงเองก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร นอกจากจะสามารถทำเงินได้มากมายแล้ว ทั้งสองยังนำมันไปแลกเปลี่ยนกระสุน ยาเสริมแกร่ง และยาเพิ่มกำลังภายใน ทำให้ในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของโจวฮ่าวก้าวขึ้นมาถึงเลเวล G6 แล้ว
สัตว์ร้ายยางถูกโจวฮ่าวโจมตีจนตัวเกือบจะบิดเบี้ยว
และแล้วผลการจัดอันดับบนจอแสดงผลก็ปรากฏ
ผู้ใช้วรยุทธโบราณอันดับ 1 : โจวฮ่าว พลังต่อสู้ : 3190 !
หลายคนจากคลาสอบิลิตี้ เริ่มตัดสินใจกันแล้วว่าจะขอเข้าร่วมทีมกับโจวฮ่าว
หลังจากนั้น ก็เป็นการทดสอบของมือปืน
และต้องบอกว่าการทดสอบของพวกเขาน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าทางฝั่งผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้อบิลิตี้อย่างเทียบไม่ติด! เพราะยังไงซะ พวกเขาก็คือเศรษฐีท้องถิ่นผู้ร่ำรวย
พวกคนรวยใช้งานปืนกลหนักในมือ กระหน่ำซัดกระสุนพลังงานออกไป เสียงระเบิดสะท้านสะเทือนน่าตื่นเต้น
สำหรับคนที่ไม่มีเงิน ทำได้แค่ใช้ปืนพกยิงเพื่อแสดงความแม่นยำเท่านั้น ทว่าไม่มีใครเหลียวมองพวกเขาเลยในเวลานี้
ตอนแรกฉินเฟิงกวาดสายตาส่งๆ แต่แล้วจู่ๆเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!
“เฉินหมิง!”
เป็นมันไปได้อย่างไร!
ฉินเฟิงหันขวับไปมองจอแสดงผลบนจตุรัส และพบว่าอีกฝ่ายใช้ปืนคู่สองกระบอก ตัวปืนเป็นสีเทาเงางาม และทั้งสองเป็นปืนพลังงาน
ฉินเฟิงแน่นอนย่อมไม่ใส่ใจมองความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย แต่เบนสายตาลงไปที่ขาของเฉินหมิง
เขาพบว่าเฉินหมิงสวมกางเกงขายาวคลุมขาเอาไว้ แต่มันดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเลย
“โจวฮ่าว นายรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินหมิง? นี่มันก็เลยช่วงเวลารับสมัครมาแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมเฉินหมิงถึงสามารถเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูงได้อีก?”
ภายในสายสื่อสาร โจวฮ่าวตอบกลับฉินเฟิงอย่างเป็นธรรมชาติ
“นายก็รู้นี่ ว่าตั้งแต่ที่ได้รับการฉีดยากระตุ้น ความสัมพันธ์ของพวกเรามันก็ไม่ค่อยจะดีนัก ฉันไม่ได้ติดต่อกับมันเลย แต่เขาพูดกันว่าเป็นเพราะมันประจบหลินไค ลูกชายของรองผู้ว่าการหลินเซิง แล้วขอให้รองผู้ว่าการฝากฝังให้เข้าเรียนร่วมกับคลาสมือปืน โดยบอกว่าเป็นเพื่อนของหลินไค!”
ถึงจะบอกว่าเพื่อน แต่ชัดเจนว่าน่าจะคอยมาเป็นบอดี้การ์ดไม่ก็หมารับใช้ซะมากกว่า
ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลย ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
“ฉินเฟิง นายอย่าไปสนใจเจ้าเฉินหมิงเลย จำได้ไหมว่าตอนงานเลี้ยงรุ่นพวกเราถูกเรียกไปรวมตัวกันจากการนัดแนะของมัน ใครจะรู้ มันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกคนร้ายก็ได้ ไม่ว่าเมื่อก่อนพวกเราจะสนิทกันแค่ไหน แต่ตอนนี้อย่าไปยุ่งกับมันเลย ได้ยินชัดนะ?”
โจวฮ่าวรู้ว่าในสถาบันระดับกลาง ฉินเฟิงมักจะอ่อนโยนกับเฉินหมิงตลอดมา แม้ว่าหลังจากปลุกพลังแล้วจะไม่ได้สนใจกันและกันก็ตาม แต่ในเมื่อฉินเฟิงเอ่ยถาม โจวฮ่าวก็เร่งเตือน
“เออน่า ฉันรู้แล้ว!”
ฉินเฟิงวางสายสื่อสาร สายตาจับจ้องเฉินหมิงอวดฝีมือ
แต่ความสนใจของฉินเฟิงเหมือนจะตกลงที่เท้าของเฉินหมิงตลอดเวลา หน้าผากของเขาเริ่มยับย่น
ต้องรู้นะว่า หลังจากที่ฉินเฟิงตัดขาของเฉินหมิงแล้ว เขาก็เผามันทิ้งไม่เหลือซาก ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อใหม่ แต่ฉินเฟิงสังเกตมาได้สักพักแล้ว และพบว่าเท้าของเฉินหมิงที่โผล่พ้นกางเกงออกมาไม่ใช่ของเทียมแต่อย่างใด
แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์จะพัฒนาไปมาก แต่ขาเทียมเป็นไปได้หรือที่จะแนบเนียนจนเหมือนกับเนื้อมนุษย์เช่นนี้
ช่วงที่เฉินหมิงขยับตัวยกส้นเท้าขึ้นมา มันดูเป็นธรรมชาติมาก
นอกจากนี้ ที่แปลกยิ่งกว่า คือฉินเฟิงพบว่าขาของเฉินหมิงมันยืดหยุ่น ว่องไวและทรงพลังมากขึ้น กลิ่นอายจากในร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อย
ในฐานะผู้ใช้พลังสมาธิที่ทรงพลังคนหนึ่ง และเฉินหมิงมีระดับที่ต่ำกว่าตนเองอยู่หลายขั้น แต่ฉินเฟิงกลับไม่อาจรับรู้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่ายได้เลย
ในช่วงเวลาสั้นๆ … มันเกิดอะไรขึ้นกับเฉินหมิงกันแน่?
อาจเป็นเพราะสายตาจดจ้องของฉินเฟิงมันมุ่งมั่นเกินไป หรือบางทีเฉินหมิงอาจจะสังเกตเห็นฉินเฟิงก่อนแล้ว ในเวลาที่ออกจากสนาม เขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนอัฒจันทร์ และประสานสายตากับฉินเฟิงในทันที
ความเกลียดชังอันรุนแรงน่าหวาดกลัวฉายชัดในดวงตา ฉินเฟิงก็ไม่น้อยหน้า จ้องสวนกลับไปเช่นกัน
บางทีในเวลานี้ อีกฝ่ายคงคิดออกแล้ว ว่าใครที่เป็นคนทำลายขาของเขา
ยังไงก็ตาม รู้แล้วมันจะทำไม? เพราะระหว่างทั้งสอง อย่างไรก็เป็นปรปักษ์กันอยู่แล้ว!
เนื่องจากคลาสมือปืนมีอยู่ถึง 6 ห้อง กว่าการแสดงของพวกเขาจะจบลง เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว!
เมื่อถึงช่วงเวลานี้ นักเรียนในคลาสอบิลิตี้เบื่อกับการอดทนจนรอต่อไปไม่ไหว!
ในการจัดอันดับมือปืน เป็นธรรมดาว่าอาวุธของใครดีที่สุด คนนั้นก็ย่อมได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า แน่นอนว่าความสามารถเองก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน
ส่วนอันดับของเฉินหมิงอยู่ในที่ 10 นับว่าเป็นผลงานน่าทึ่งมาก!
“ฉินเฟิง ก่อนจะมีการหาทีม นายพอจะดึงอันดับหนึ่งอย่างจ้าวหยูในคลาสอบิลิตี้มาอยู่กับพวกเราได้ไหม?” โจวฮ่าวถาม
“ฉันจะลองถามเธอดู”
จ้าวหยูนั่งอยู่เยื้องลงไปเบื้องหน้าฉินเฟิง
“หัวหน้าห้อง ตอนนี้เธอมีทีมรึยัง?”
เป็นธรรมดาที่จ้าวหยูจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนในชั้นเรียน เพราะในหนึ่งทีม จะสามารถมีผู้ใช้อบิลิตี้ได้มากที่สุด 2 คน ส่วนผู้ใช้วรยุทธโบราณและมือปืนไม่ได้จำกัดจำนวน
ขณะที่บางคนไม่สนิทกับฉินเฟิง ดังนั้นตัวเลือกอันดับต้นๆเลยเบนไปทางจ้าวหยูซะมากกว่า
จ้าวหยูเองก็ยังไม่ได้ให้สัญญากับคนอื่นๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในจิตใจของจ้าวหยูเกิดความคิดอยู่ลึกๆว่าตนอาจมีหวังเช่นกัน … มีหวังที่จะได้อยู่ร่วมกลุ่มกับฉินเฟิง ก็อย่างที่เฉิงเฉาบอกกับทุกคน ว่ามันจะเป็นการดีที่สุดหากเข้าร่วมทีมกับคนที่แข็งแกร่ง
ดังนั้น จ้าวหยูตัดสินใจไว้ก่อนแล้วว่า เมื่อไหร่ที่เปิดให้เข้าร่วมทีม จ้าวหยูจะไปคุยกับฉินเฟิง
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าก่อนที่เธอจะเอ่ยปาก ก็ถูกฉินเฟิงชิงตัดหน้าเสียก่อน
“ยังไม่มีหรอก!” จ้าวหยูเร่งส่ายหัว
“งั้นก็มาเข้าร่วมกับทีมของเราสิ!”
“ได้เลยไม่มีปัญหา! ขอบคุณมากนะฉินเฟิง ฉันดีใจจริงๆที่นายเชิญฉัน!” จ้าวหยูรีบกล่าว
ฉินเฟิงยิ้ม แล้วบอกสมาชิกนักเรียนคนอื่นๆในทีมให้แก่เธอ “ทีมเรายังมีคลาสผู้ใช้วรยุทธโบราณอีกหนึ่งคน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ตัดสินใจ”
“ใช่โจวฮ่าวรึเปล่า?”
“อืม!”
“ฟู่ว .. ฉันชักจะรู้สึกกดดันซะแล้วสิ เพราะพวกนายทั้งคู่แข็งแกร่งมาก”
ในขณะที่ฉินเฟิงไม่อยู่ จ้าวหยูคือบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่สุดในชั้นเรียน เธอได้อันดับหนึ่งเสมอมา แม้การจัดอันดับนี้จะเป็นจริง แต่จ้าวหยูก็ยังคงตระหนักดี ว่าตัวตนทรงพลังที่แท้จริงน่ะคือฉินเฟิงกับโจวฮ่าวต่างหาก!
ถึงฉินเฟิงจะได้อันดับบ๊วยในครั้งนี้ แต่มันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าฉินเฟิงคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี!
“วางใจเถอะ เรื่องงานสวนล่าใบไม้ผลิน่ะ เชื่อมือฉันได้เลย!”
จากนั้น ฉินเฟิงก็ติดต่อกับโจวฮ่าวอีกครั้ง
“เรียบร้อยแล้ว!”
“งั้นพวกเราต้องหาสมาชิกอีก 2 คน พอดีว่าคลาสผู้ใช้วรยุทธโบราณของฉันมีคนที่ที่มีความสามารถพิเศษอยู่ และฉันคิดว่าพวกเราน่าจะรับเขาเข้ามาอยู่ในทีม”
“พิเศษยังไง?” ฉินเฟิงถาม
“พิเศษตรงที่ว่าเขาสามารถใช้กำลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ ว่ากันว่าเขาเป็นลูกหลานของผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เชี่ยวชาญในด้านยาและการรักษา
“อ่า .. ประมาณว่าเขาเรียนแพทย์เป็นทางเลือกเสริมน่ะ!”
“ตกลง ฉันต้องการเขา พาเข้ามาร่วมทีมได้เลย!” ฉินเฟิงตอบกลับ
ท่ามกลางสถาบันระดับสูง นอกเหนือไปจากสามคลาสแล้ว ก็ยังมีวิชาเรียนนอกสาขา คล้ายๆกับพวกคลาสฝึกอบรม ที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นนักเรียน ก็สามารถลงเรียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหลักสูตรแบบสั้นๆ
เช่นเดียวกับแพทย์รักษา , ปรุงอาหาร , ปลูกพืช ฯลฯ เป็นการเรียนหลักสูตรเร่งด่วนเพื่อให้ผู้คนนำไปใช้เอาชีวิตรอด
อย่างเช่นคลาสทำอาหาร มากที่สุดสามเดือนก็จบหลักสูตร , คลาสเพาะปลูกน่าจะสักหนึ่งปี
สำหรับหลักสูตรการแพทย์ แม้ค่อนข้างใช้เวลาเรียนนาน แต่การรักษาแบบฉุกเฉินจะใช้เวลาเรียนที่สั้นกว่า อย่างเช่นทักษะการเย็บแผล ฯลฯ ที่จำเป็นต่อการออกสู่ทุ่งล่า
หากมีเพื่อนร่วมชั้นที่มีความสามารถดังที่กล่าวมาอยู่ในทีม เวลาจ้าวหยูกับโจวฮ่าวได้รับบาดเจ็บ คนๆนี้ก็จะสามารถช่วยรักษาได้
——คำในนิยายที่อาจทำให้เกิดความสับสน—-
1.ผู้ใช้พลัง = คือคำเรียกของทุกสายอาชีพรวมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ , วรยุทธโบราณ , มือปืน , คนฝึกสัตว์ จะเรียกรวมๆแบบนี้
2.แก่นพลังงาน/แก่นอบิลิตี้ = ในสัตว์ร้าย ถ้าเป็นตัวปกติจะเรียกว่าแก่นพลังงาน แต่ถ้าสัตว์ร้ายตัวไหนสามารถใช้พลังพิเศษ(อบิลิตี้)ได้ ตัวนั้นจะมีแก่นอบิลิตี้
3.พลังพิเศษดูดกลืน = อบิลิตี้ ‘ติดตัว’ ของพระเอก ในชาติก่อนลดทอนพลังลง แต่ปัจจุบันสามารถแสดงพลังได้ถึงขั้นไหนยังไม่ทราบ