โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 267
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.267 – ไม่เหลือที่ยืน
เพียงลงสู่สมรภูมิ ฉินเฟิงก็ระเบิดกำลังรบทรงพลานุภาพออกมา
“ยังเหลืออีกสอง ช่วยลากมันมาให้ฉันด้วย!”
ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา โดยมีฉากเบื้องหลังเป็นนายพลจระเข้มังกรนอนหมอบอยู่แทบเท้า บริเวณส่วนผิวหนังที่ไหม้เกรียมของมัน มีน้ำพุเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด!
คนอื่นๆที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้ อึ้งจนพูดไม่ออก
ฉินเฟิงแม้ล่วงรู้ถึงแผนการของพวกเขา แต่ก็ยังช่วยเหลือ อาศัยเพียงกำลังตน พริบตาเดียว สังหารนายพลสัตว์ร้ายลงกว่า 3 ตัว
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ไม่อาจสร้างภัยคุกคามให้แก่ฉินเฟิงได้เลย
ไม่นานนัก อีกสองนายพลสัตว์ร้ายที่เหลือก็จบชีวิตลงภายใต้เทคนิคมังกรไฟของฉินเฟิง
ผู้ใช้พลังที่เพิ่งตื่นเมื่อปีที่แล้ว ไม่เพียงมีพระสวรรค์ด้านอบิลิตี้ แต่ยังครอบครองกระบวนท่าวรยุทธ ทักษะมีดระดับสูงที่สามารถสังหารนายพลสัตว์ร้ายได้แค่ภายในไม่กี่วินาที
ยามมองไปยังฉินเฟิง ฝูงชนอดรู้สึกศรัทธาไม่ได้
หลังโชว์สังหารหมู่ 5 สัตว์ร้ายนายพล ซากศพของพวกมันก็ถูกยัดเข้าไปในอุปกรณ์รูนมิติของฉินเฟิง
เมื่อไร้ซึ่งการอาละวาดของระดับนายพล สัตว์ร้ายตนอื่นๆก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร
ไม่นาน เหล่าสัตว์ทะเลที่เหลือก็ถูกกำจัดลงโดยมือปืน ทหารเมืองไห่เองก็เริ่มสร้างป้อมปราการ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับกระแสทัพสัตว์ร้ายระลอกต่อไป
หากอ้างอิงตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น คลื่นกองทัพสัตว์ทะเลน่าจะซัดมาอีกแค่ 1 – 2 รอบเท่านั้น แล้วเทศกาลบุกชายฝั่งก็จะจบลง!
ฉินเฟิงเดินไปหาหวังจื่อเฉา มองอีกฝ่ายที่ใบหน้าเขียวคล้ำ ไม่ต่างไปจากคนกำลังถูกทวงหนี้
“รองเทศมนตรีหวัง ขอแสดงความยินดีด้วย ดูเหมือนว่าภารกิจคุณจะไม่ล้มเหลวแล้ว” ฉินเฟิงประชดประชัน
หวังจื่อเฉารู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที แต่ก็ยังต้องการรักษาหน้าตน เอ่ยสวนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุดปีนเกลียวสักที อย่างไรคุณก็ยังเป็นแค่เด็ก ไม่สมควรลูบคมคนอื่นให้มันมากนัก”
ขณะกล่าว หวังจื่อเฉาก็ปลดปล่อยแรงกดดันเล็กๆน้อยๆของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E8 ออกมา สายตาเหลือบมองไปยังโลโก้เลเวล E บนหน้าอกฉินเฟิง บังเกิดความรู้สึกเหนือกว่าผุดขึ้นในจิตใจ
ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ
ในตอนนั้นเอง ผู้ใช้วรยุทธโบราณอีกคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวด้านข้างของฉินเฟิง
“ผู้ว่าการฉิน เมื่อครู่นี้ต้องขอบคุณ คุณมาก” ชายคนนั้นกล่าวด้วยความตื่นเต้น มองฉินเฟิงด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ “อ๊ะ ขออภัยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อชูหยิงซาน เป็นคนพเนจร”
คนพเนจร หรือที่มักจะเรียกกันอีกอย่างว่าผู้แสวงหาตัวตน ไม่อาศัยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง คนๆนี้ไม่ใช่คนจากสามเฉิง แค่บังเอิญผ่านมายังสถานที่แห่งนี้พอดี
และความแข็งแกร่งของชูหยิงซานไม่ได้อ่อนแอเลย เขาอยู่ในเลเวล E5 ครั้งนี้ได้รับการจ้างวานจากหวังจื่อเฉาให้เข้าร่วมภารกิจปราบปรามสัตว์ทะเลของเมืองไห่
หมีเกล็ดน้ำแข็งที่เขาเพิ่งตรึงมันไว้เมื่อครู่ เป็นสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานายพลทั้งห้า มีเลเวลมากถึง E5 !
แม้ต่างฝ่ายต่างก็เป็น E5 เหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าชูหยิงซานไม่อาจโค่นศัตรูลงได้ และหากไม่ระวัง ผิดพลั้งเพียงก้าวเดียว ก็อาจกลายเป็นอาหารในปากของมัน
อย่างไรก็ตาม เขาได้รับเงินจากผู้ว่าจ้างมาแล้ว ดังนั้นจำต้องร่วมมือกับฝูงชนเพื่อฟันฝ่าภัยพิบัตินี้ แม้จะรู้ว่าหวังจื่อเฉาและคนอื่นๆกระทำการไม่ซื่อ แต่เขาก็ทำได้แค่อดทนกับมัน
เว้นแต่จะไม่เหลือทางเลือก หรือไม่สนศักดิ์ศรีหน้าตาตนเอง หากต้องเผชิญกับช่วงเวลาเป็นตายจริงๆ ชูหยิงซานก็จะตัดสินใจหันศีรษะและหลบหนีไปทันที
“สวัสดี เรียกผมแค่ฉินเฟิงก็พอ” ฉินเฟิงยื่นมือไปเชคแฮนด์อีกฝ่าย
ก่อนจะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเองก็เคยเป็นคนพเนจรเหมือนกัน เขาท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ขึ้นเหนือลงใต้ เดินทางไปทั่ว ได้พบเจอประสบการณ์แปลกใหม่มากมาย และรู้ดีว่าความยากลำบากของคนพเนจรนั้นเป็นอย่างไร และมีอิสระเพียงใด
ในมุมมองของเขา ชูหยิงซานมีศักยภาพที่ดี อายุก็ยังไม่มากเกินไป น่าจะแค่ราวๆ 27 – 28 ปีเท่านั้น
“ฉินเฟิง หลังจากเข้ามาในสามเฉิง ฉันได้ยินชื่อของนายมานาน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ร่วมสู้กันในวันนี้ นายแข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก นี่อายุแค่ 17 ปีจริงๆน่ะหรอ?”
ชูหยิงซานชวนฉินเฟิงสนทนา ปัจจุบันความสูงของฉินเฟิงเกือบจะเท่ากับในชีวิตก่อนหน้าของเขาแล้ว มันสูงใหญ่กว่าคนธรรมดา มากถึง 189 ซม.
ด้วยความสูงขนาดนี้ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าของๆมันจะมีอายุแค่ 17 ปี!
“ใช่แล้วล่ะ อายุน่ะไม่มีผลอะไรกับความแข็งแกร่งหรอก อย่างผมกว่าจะแข็งแกร่งแบบนี้ ในช่วง 7 – 8 เดือนที่ผ่านมา ต้องประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่ผู้คนทั่วไปไม่มีวันจินตนาการได้!” ฉินเฟิงกล่าว
ในจุดนี้ ชูหยิงซานนับว่าคล้ายคลึงกับฉินเฟิง
“นั่นสินะ กว่าจะแข็งแกร่งน่ะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทุกกระบวนการล้วนเกี่ยวพันกับชีวิตและความตาย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่เลือกเป็นคนพเนจรแบบนี้ ว่าแต่ฉินเฟิง ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนายอยู่ในเลเวลอะไรงั้นหรอ?”
ตรงจุดนี้ ไม่เพียงชูหยิงซานเท่านั้นที่อยากรู้ แต่หวังจื่อเฉาเองก็เช่นกัน เขายื่นหูเข้าไปใกล้ๆวงสนทนา ต้องการทราบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินเฟิง
พละกำลังกายของฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก มันสามารถโค่นนายพลสัตว์ร้ายลงได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้เลเวลของฉินเฟิงยากจะคาดเดา
นอกจากนี้ฉินเฟิงยังไม่ได้รับการทดสอบ โลโก้ของเขาเองก็แปะไว้แค่ตัว E ไม่มีเลขพ่วงท้าย แต่ทุกคน ณ ที่นี้ไม่มีใครเชื่อแน่นอน ว่าฉินเฟิงจเป็นแค่เลเวล E ธรรมดาๆ
อีกทั้งทักษะลับกลืนดาราก็ถูกเก็บซ่อนไว้ กำลังภายในแต่ละครั้งใช้ออกเพียง 1/10 เท่านั้น เลยเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินเฟิง
ฉินเฟิงเหลือบสายตา กวาดไปตกลงบนร่างของหวังจื่อเฉา เมื่อนึกถึงแรงกดดันที่อีกฝ่ายเพิ่งปลดปล่อยออกมา เขาก็ยิ้มทันที
“ตอนนี้ผมใกล้จะไปเหยีบเลเวล E8 แล้ว! ” ว่าจบ ฉินเฟิงก็เริ่มระดมกำลังภายใน ก่อตัวเป็นเจ็ดชั้นทะเลเมฆ และปลดปล่อยกลิ่นอายของมันออกมา
วินาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นหวังจื่อเฉาหรือชูหยิงซานที่ยืนอยู่ข้างกายฉินเฟิง ทั้งหมดรู้สึกราวกับได้พบเจอกับสัตว์ประหลาดอันน่าหวาดกลัว!
แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!
หวังจื่อเฉาบังเกิดความรู้สึกอับอาย ไม่ต้องการที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนอีก
เพราะที่ฟังและเห็นทั้งหมดนี้มันคืออะไร?
อายุแค่ 17 ปี ก็ก้าวมาถึงเลเวล E แล้ว อีกฝ่ายเด็กกว่าเขาตั้ง 20 ปีเชียวนะ!
และที่คุยเรื่องประสบการณ์ ออกไปที่นั่นที่นี่ มันบ้าอะไรกัน ประโยคพวกนั้นมิใช่เป็นการแดกดันเขาว่าทำตัวติดบ้าน ไม่ออกไปไหนหรอกหรือ? แต่พอมาลองคิดดูดีๆ … หวังจื่อเฉาเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเขาออกไปสู้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ยิ่งไปกว่านั้น กลับกลายเป็นว่าฉินเฟิงในปัจจุบัน ครอบครองกำลังภายในเกือบเทียบเท่ากับตนได้อย่างกระทันหัน
ส่งผลให้การที่หวังจื่อเฉาจงใจเปิดเผยแรงกดดันกำลังภายในของตนก่อนหน้านี้ กลายเป็นเรื่องขบขันไปเลย เพียงคิดก็รู้สึกถึงใบหน้าที่แดงและร้อนผ่าว
ขณะนี้ ทั้งสองสนทนากันอย่างออกรส ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่สนใจหวังจื่อเฉา
“แต่นายก็ยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ด้วยไม่ใช่หรอ! นี่มันช่างน่าประทับใจ! ในที่สุดฉันก็เข้าใจ เสียที ว่าอัจฉริยะมันหมายความว่ายังไง!” ชูหยิงซานกล่าวชื่นชม
สีหน้าของหวังจื่อเฉากลายเป็นมืดมน ส่งเสียงฮึฮะในลำคอและหันหลังจากไป เพียงแต่สภาพในแต่ละก้าวของเขา ราวกับหมาป่าหงอยที่พ่ายแพ้ด้วยความอับอาย
ชูหยิงซานถึงค่อยพบว่ามีหวังจื่อเฉาอยู่ด้วย เอ่ยปากออกมาอย่างสงสัย “รองเทศมนตรีหวังทำเสียงแบบนั้นหมายความว่ายังไง? หรือต้องการจะบอกว่าพวกเราไม่ควรเสียเวลาสนทนากัน แต่ตอนนี้สถานการณ์มันมั่นคงแล้วไม่ใช่หรอ? ยังต้องการให้พวกเราออกไปจัดการพวกสัตว์ร้ายตัวเล็กตัวน้อยอีกรึไง?”
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย “บางทีอาจเพราะเขารู้สึกอับอาย”
ชูหยิงซานพอได้ยินคำของฉินเฟิง ก็สามารถเรียบเรียงและเข้าใจถึงความหมายได้อย่างรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“โลกเราในทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่มักจะมีพรสวรรค์มากกว่าคนรุ่นก่อน ดั่งวลีคลื่นของแม่น้ำแยงซีเกียงมักจะผลักดันไปข้างหน้า การที่เขาจิตใจคับแคบ ริษยาคนรุ่นหลังแบบนี้ อาจเป็นผลร้ายให้วรยุทธโบราณหยุดนิ่งได้” ชูหยิงซานกล่าว
หลังจากพลังของชูหยิงซานตื่นขึ้น เขาก็ออกท่องโลกกว้าง จึงรู้สึกคุ้นเคยกับสัตว์ร้ายมากกว่ามนุษย์ ทั้งยังไม่เคยมีประสบการณ์ความขัดแย้งภายในสถานชุมชน เลยไม่ค่อยทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้เดียงสาไปซะทั้งหมด —เจ้าตัวมีความเชื่อมั่นในวรยุทธโบราณอย่างเต็มเปี่ยม
เฉพาะในจุดนี้ ที่ฉินเฟิงไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย
เพราะนับตั้งแต่สามารถปลุกอบิลิตี้ขึ้นมาได้ ฉินเฟิงก็ตระหนักว่า อบิลิตี้ต่างหากคือสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดไม่เป็นรองใคร
ผู้ใช้อบิลิตี้น่ะ เมื่อพัฒนาขึ้น เติบโตขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ยามต้องต่อสู้เพียงขยับมือหรือเท้านิดๆหน่อยๆ ก็สามารถกำจัดศัตรูที่ทรงพลัง ให้สลายหายไปในอากาศราวกับกลุ่มควันได้แล้ว การจะย้ายขุนเขาหรือแหวกทะเลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม หากเปรียบกับกำลังภายในของผู้ใช้วรยุทธโบราณ แม้จะครอบครองความสามารถอันยอดเยี่ยม แต่หากต้องเผชิญกับกองทัพสัตว์ร้าย ย่อมไม่สามารถสำแดงอำนาจได้เหมือนผู้ใช้อบิลิตี้ และคงมิแคล้วตกลงสู่ความตาย
ขณะที่ฉินเฟิงในตอนนี้เกือบจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเลเวล D แล้ว นั่นหมายความว่าพลังอำนาจชนิดย้ายขุนเขา แหวกผืนทะเล ตัดผืนฟ้า กำลังเฝ้ารอเขาอยู่!