โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 289
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.289 – หมอกเลือดมังกร
เมื่อก้าวเข้ามา รอบตัวของฉินเฟิงก็ฟุ้งไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
แต่เสียงโหยหวนเหล่านี้ มิได้เกิดจากความตื่นกลัว หากแต่เกิดจากความเจ็บปวด
พอลองเพ่งมองดีๆ จะพบว่าในสายตา เต็มไปด้วยจุดสีแดงเล็กๆมากมาย
ดูเหมือนว่าจะเป็นหมอกเลือด แม้มันจะฟุ้งอยู่ในชั้นอากาศ แต่คุณก็ยังสามารถมองเห็นฉากโดยรอบได้
รอบตัวเขา คือโถงขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นดินถูกวางทับไว้ด้วยไม้ระแนงสีเขียว ขอบที่ไม่แนบสนิทกันบนพื้นของมันสาดแสงสีเงินออกมา ยามเงยหน้าขึ้นมีกระทั่งเมฆสีขาวและท้องฟ้าสีคราม
ทั้งๆที่ภายนอกเป็นเวลาพลบค่ำแล้วแท้ๆ ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ จะมีห้วงเวลาเป็นของตัวเอง
ฉินเฟิงมองไปด้านหน้า ข้ามผ่านหมอกเลือด จะพบร่างประหลาดในจุดที่ห่างไกล พอเพ่งมองดีๆจะพบว่าเป็นรูปสลักมังกรหินขนาดยักษ์
มังกรหินนี้มีขนาดใหญ่โตมาก สูงกว่า 40 เมตร กว้างกว่า 20 เมตร
ทั้งยังพ่นเลือดออกจากปากตลอดเวลา ราวกับน้ำตก ตกลงไปในแอ่งคล้ายกับสระน้ำพุ
หยดเลือดกระเซ็น เลยกลายเป็นหมอกเลือดฟุ้งไปทั่วจัตุรัส
อย่างไรก็ตาม หมอกเลือดที่กระจายออกมา ในแต่ละจุดมีความเข้มข้นแตกต่างกันออกมา บ้างก็หนา บ้างก็บาง แต่ยิ่งใกล้สระ มันก็ยิ่งเข้มข้น
ตอนนี้ คนที่กำลังร้องโหยหวนอยู่เบื้องหน้าฉินเฟิง เจ้าตัวกลิ้งมาตามพื้น ถอยห่างออกมาจากหมอกเลือด
ขณะเดียวกัน ทั่วบริเวณ เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังนั่งสมาธิ ผิวบนตัวกลายเป็นสีแดงก่ำ ทั้งยังมีเลือดซึมออกมา
“นี่มันโชคลาภชนิดต่อต้านสวรรค์!” ฉินเฟิงสูดหายใจลึก
หมอกเลือดเบื้องหน้า มิใช่สิ่งที่เป็นอันตรายใดๆต่อร่างกายมนุษย์ ตรงกันข้าม มันเป็นสิ่งที่ดี
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงได้รับมามันแค่สามขวด ยังสามารถเสริมสร้างร่างกายได้อย่างมหาศาล
—เป็นเลือดมังกร!
ณ ที่นี้เต็มไปด้วยหมอกเลือดมังกร อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง หมอกเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว มันสามารถช่วยเสริมแกร่งได้ไม่ถึงครึ่ง
แต่กระนั้น เขาก็ยังทิ้งตัวลง ทำสมาธิตรงเข้าไปในตันเถียน
ขณะนี้ในตันเถียนของเขา ปรากฏชั้นทะเลเมฆกระจุกตัวกันหนาแน่น อันที่จริงน่าจะเกินขีดจำกัดของตันเถียนด้วยซ้ำ ราวกับจะระเบิดได้ตลอดเวลา
“พลังพิเศษดูดกลืน!”
กำลังภายในถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว
นอกเหนือไปจาก 40 ชั้นกำลังภายในที่เขาครอบครองอยู่ก่อนแล้ว อีก 60 ชั้นล้วนถูกดูดซับผ่านไปตามเส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว ขยายหลอดลมปราณในร่างกาย แล้วส่งกลับมาอีกครั้ง
ต้องขอบอกว่า กำลังภายในของจ้าวหยิงอี้แข็งแกร่งมาก หลังจากกระแสกำลังภายในถูกส่งกลับมา ปรากฏว่ามันสามารถเพิ่มกำลังภายในให้แก่ฉินเฟิงได้มากถึง 20 ชั้นทะเลเมฆ
กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ฉินเฟิงในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเลเวล E ขั้นสูงสุดถึง 6 เท่า เทียบได้กับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D6!
ฟู่ว …
เมื่อสามารถผ่านห้วงวิกฤตระหว่างความเป็นความตายมาได้ กำไรที่สามารถเก็บเกี่ยวมันก็มากมายแบบนี้แหละ
แน่นอน ในด้านความมั่งคั่งก็เช่นกัน ฉินเฟิงกวาดตามองทรัพสินย์ที่เขาได้รับมาจากจ้าวหยิงอี้ก่อนหน้านี้ ทำเอาต้องสูดหายใจลึก
แม้จะตรวจสอบอย่างรีบร้อน แต่ขั้นต่ำคาดว่าน่าจะมากถึง6 – 7 หมื่นล้าน! ทั้งยังเจอสมบัติบางอย่างที่มีมูลค่าสูงมาก ห่างไกลเกินกว่าจะใช้วัดด้วยตัวเงินได้
จ้าวหยิงอี้เป็นยอดคน เป็นตัวตนทรงพลัง เลยแตกต่างจากผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D ทั่วๆไปเป็นธรรมดา แต่ในวันนี้ สุดท้ายต้องจบลงดั่งวลี มอบชุดแต่งงานให้กับผู้อื่น!
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ฉินเฟิงได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ผู้คนที่แต่เดิมสมควรจะเสียชีวิตกลับรอด ขณะเดียวกัน ผู้คนที่แต่เดิมสมควรจะกลายเป็นตำนาน มีชื่อเสียงโด่งดังในรุ่นต่อไปกลับถูกฉินเฟิงสังหารจนสิ้น
“หวังว่าผลจากบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคที่ฉันเป็นคนทำ มันจะช่วยขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ไปในทิศทางที่ดี”
อำนาจขององค์กรมืดอ่อนแอลง ย่อมเป็นตัวแทนของความรุ่งเรือง และชีวิตที่ดีขึ้นของกลุ่มพันธมิตรมนุษยชาติ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็เผยยิ้มเล็กน้อย
ฉินเฟิงลืมตาขึ้น เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปราวกับพริบตา ผู้คนหน้าทางเข้า มีจำนวนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
คนเหล่านี้น่ากำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ตั๋วสุสานเทพสงครามมีทั้งสิ้น 5,000 ใบ ดังนั้นทุกท่านน่าจะสามารถจินตนาการได้ ถึงจำนวนของผู้คนและความใหญ่โตของจัตุรัสแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ทำได้แค่ไปรวมตัวกันที่ขอบจัตุรัส ไม่สามารถมุ่งหน้าไปยังน้ำตกเลือดมังกรได้ เหตุเพราะยิ่งใกล้หมอกก็ยิ่งหนา ทั้งพอห่างถึงในระยะ 50 เมตร ก็อาจถูกละอองจากน้ำตกเลือดมังกรสัมผัสโดยตรง
สุสานเทพสงครามเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ คนกว่า 5,000 คนเข้ามา แต่ทุกคนยังไม่ได้แก่งแย่งแข่งขันกัน ยังไม่มีความขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น ส่งผลให้ถึงตอนนี้ พวกเขาสามารถฝึกฝนข้างในได้เป็นเวลากว่า 1 วันแล้ว
ยิ่งสามารถแบกรับการเสริมแกร่งจากเลือดมังกรได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปได้ไกลกว่าคนอื่นๆมากเท่านั้น
ฉินเฟิงยกขาขึ้นและเริ่มก้าวเข้าไป สัมผัสได้ถึงหมอกเลือดมังกรรอบตัวที่ช่วยเสริมแกร่งให้แก่ตนเอง รู้สึกคันยิบๆ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามันไม่น่าตื่นเต้นเท่าครั้งอาบเลือดราชันย์จระเข้มังกรบนเกาะ เพราะตอนนั้นเขาเลเวลแค่ E3 แต่ปัจจุบันก้าวขึ้นมา E8 แล้ว!
ฉินเฟิงยังคงก้าวต่อไป ผู้คนรอบข้างหันมองมาทางเขาด้วยความชื่นชมและทอแววประหลาดใจ
เพราะยังไงซะ แต่ละย่างก้าวของเขามันรวดเร็วเกินไป —นี่เขาไม่รู้สึกเจ็บเลยอย่างนั้นหรือ?
แน่นอน ว่าหมอกเลือดมังกรเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อฉินเฟิง แว่บเดียวเขาก็ผ่านใจกลางทั้ง 5,000 คน และสามารถมาถึงด้านหน้าสุดได้อย่างรวดเร็ว
มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ซึ่งทุกคน ล้วนเป็นคนที่ฉินเฟิงรู้จักทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นคนจากสี่ตระกูลใหญ่แห่งทะเลเหนือ พันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติในอนาคต รุ่นเยาว์อัจฉริยะในปัจจุบัน
ทั้งยังมี คนจากองค์กรมืดอีกเล็กๆน้อยๆ
พวกเขาทั้งหมดล้วนมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตาม เหมือนที่นี่จะวัยรุ่นนิรนามคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักรวมอยู่ด้วย–
–เป็นโจวฮ่าว!
เวลานี้ ท่อนบนของโจวฮ่าวเปลือยเปล่า สวมเพียงกางเกงกีฬาขาสั้น กล้ามเนื้อของเขาเดี๋ยวปูดบวมเดี๋ยวหดลีบ ยืดขยายอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆซึมซับหมอกเลือด เสริมแกร่งขึ้นทีละน้อย
บนไหล่เขา ยังมีนางพญามดทองที่กำลังสูดหายใจเข้าออกไม่หยุด ซึมซับละอองเลือดในอากาศ
เผ่ามังกรมีพลังมหาศาล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด หากได้รับพลังงานจากเลือดมังกร ล้วนส่งเสริมให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น
มันคือการดำรงอยู่ที่ทุกเผ่าพันธุ์สามารถดูดซับได้
ภายในวันนี้เพียงวันเดียว โจวฮ่าวสามารถดูดซับมันจนยกระดับขึ้นอย่างเฉียบพลัน ก้าวขึ้นสู่เลเวล F5 ยังไม่พอ ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา หากเทียบกับในอดีต มันเพิ่มพูนขึ้นมากถึง 2 เท่า
การพัฒนาเช่นนี้ สำหรับผู้คนมากมาย ถือว่าเป็นการฝึกฝนที่ขัดต่อเจตจำนงสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเป็นฉินเฟิงที่คอยช่วยเหลือโจวฮ่าว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกรุ่นเยาว์จากตระกูลใหญ่ในที่นี้เลย
แต่ยังไงซะ ส่วนหนึ่งก็เพราะฉินเฟิงสนับสนุนให้แก่โจวฮ่าวเพียงคนเดียว ไม่ใช่สนับสนุนคนหมู่มาก ในขณะที่ตระกูลใหญ่ต้องคอยเลี้ยงดูรุ่นเยาว์นับหลายสิบคน เขาเลยจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่มากมาย ไม่อาจแบ่งปันหรืออัดมาที่คนๆเดียวเหมือนโจวฮ่าวได้
และตอนนี้ ทรัพยากรมากมายที่ฉินเฟิงมอบให้อีกฝ่าย ได้สำแดงผลลัพธ์ของมันออกมาแล้ว
โจวฮ่าวเคยถูกเสริมแกร่งด้วยเลือดมังกรมาก่อน เลยเป็นธรรมดาที่จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับเลือดมังกรมากกว่าคนอื่นๆ กลายเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆในบรรดาฝูงชน
เพียงแต่บริเวณที่เขานั่ง รอบกายไม่มีใครอยู่เลย อีกทั้งวัยรุ่นที่อยู่ไม่ไกล ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาดระแวง เพราะแต่ละคนล้วนมีผู้ติดตาม ไม่ก็มากับสหายในเมืองหรือตระกูลเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เอง โจวฮ่าวจึงโดดเดี่ยว
ฉินเฟิงก้าวเดิน ตรงเข้าไปทางโจวฮ่าว
โจวฮ่าวลืมตาขึ้น มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ แต่หลังจากเห็นฉินเฟิง เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
สภาพฉินเฟิงในตอนนี้ ดูน่าเวทนานัก เสื้อผ้าหลุดรุ่ย ทั้งยังสวมหน้ากากสีเทาซีด
โจวฮ่าวเริ่มตื่นตัวทั้งบังเกิดข้อสงสัย เพราะเขารู้สึกว่าชายหน้ากากที่กำลังเดินเข้ามาช่างดูคุ้นเคย
ฉินเฟิงถอดชุดขาดรุ่งริ่งของเขาออก เดินไปนั่งทางฝั่งโจวฮ่าว แต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป ทิ้งระยะห่างกว่า 5 เมตร
ฉินเฟิงไม่เอ่ยคำใด ทว่าภายใต้ชุดต่อสู้ที่เขาเพิ่งถอดออก มีสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งโผล่หน้าออกมา
มันมีสามหาง ทั้งยังมีขนสีขาวราวหิมะ ดวงตาสีเงิน
แววตาของโจวฮ่าวทอประกายสดใสทันที
ฉินเฟิงหันไปทางโจวฮ่าวและพยักหน้าให้อย่างเงียบๆ ในสายตาของคนอื่นๆ นี่ดูเหมือนจะเป็นแค่การทักทายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม โจวฮ่าวรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายดี
“อย่าพูดเชียว นายต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักฉัน แต่ถ้ามีการแข่งขันเกิดขึ้นล่ะก็ … แค่ขยับเข้ามาใกล้ฉันก็พอ” ฉินเฟิงส่งเสียงผ่านกำลังภายในของเขา เนื่องจากในที่นี้เขาแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นย่อมไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะจับได้
โจวฮ่าวแสร้งไม่แสดงสีหน้าใดๆ หันกลับไปโดยไม่ตอบโต้ฉินเฟิง