โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 29
Ch.29 – บริจาคเนื้อสัตว์
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.29 – บริจาคเนื้อสัตว์
ทว่าดีใจได้พักเดียว หลินเต๋อหรงก็ต้องกลับมาเศร้าสลด เพราะแม้จะมีเนื้อมากกว่า 1000 จิน แต่สำหรับเด็กกำพร้า มันก็ไม่ต่างอะไรจากหยดน้ำที่ตกลงในถังใหญ่ ตามปกติ อาหารดีๆแบบนี้จะไม่สามารถกินจนหมดในครั้งเดียวได้ แต่จะต้องเหลือเก็บเผื่อไว้กินในอีกหลายๆมื้อ ซึ่งหลังจากแบ่งเก็บแล้ว คุณค่าทางอาหารของมันก็จะลดลง โภชนาไม่แตกต่างไปจากการกัดเนื้อชิ้นโตเพียงคำเดียวเท่านั้น
“ผู้อำนวยการ ผมยังพูดไม่จบเลย เนื้อพวกนี้ไม่ใช่เนื้อธรรมดา แต่มันเป็นเนื้อสัตว์ร้ายระดับนายพล!”
“ว่าไงนะ!?”
หลินเต๋อหรงอ้าปากค้าง!
สำหรับเนื้อสัตว์ร้ายธรรมดา ราคาในตลาดก็สูงมากกว่า 100 เหรียญเข้าไปแล้ว แต่หากเป็นเนื้อของสัตว์ร้ายระดับนายพล ราคาก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปกว่า 3 เท่า
ในกรณีนี้ กล่าวได้อีกนัยนึงก็คือ มีคนบริจาคเงินกว่า 300000 เหรียญให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในคราวเดียว!
ซึ่งนั่นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ช่วยส่งข้อมูลติดต่อผู้ใจบุญให้กับฉันที ฉันต้องการจะเอ่ยขอบคุณเขาด้วยตัวเอง!”
“ผู้อำนวยการ คนที่บริจาคไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นฉินเฟิง!”
ในฐานะที่เป็นนักเรียนคนหนึ่ง ที่เพิ่งออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป อาจารย์เลยย่อมสามารถจดจำเขาได้เป็นธรรมดา แม้จะไม่อยากเชื่อในตอนแรกก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินเต๋อหรงกลับดูไม่ดีใจเลย แต่แสดงออกถึงความกังวลขึ้นมาแทน
ที่แท้ คนๆนั้นก็คือเจ้าหนูฉินเฟิง
ฉินเฟิงเป็นหนึ่งในเด็กที่ฉลาดที่สุดที่เขาเคยสอน แน่นอน ว่าฉินเฟิงเองก็มิใช่อ่อนแอ หากแต่หลินเต๋อหรงยังคงสงสัย ว่าฉินเฟิงสามารถนำเนื้อมากมายขนาดนี้มาได้อย่างไร เพราะนี่มันไม่ใช่จำนวนน้อยๆ หากแลกเปลี่ยนเป็นเงิน มันคือจำนวนมหาศาล
“รอก่อนนะ อย่าเพิ่งทำอะไรกับเนื้อ ฉันขอติดต่อฉินเฟิงก่อน!”
แล้วหลินเต๋อหรงก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา โทรหาฉินเฟิง
…
ฉินเฟิงเพิ่งจะเช็กอิน กลับมาเข้าพักในโรงแรม เขาล้างเนื้อล้างตัวเล็กน้อย ลงไปนอนแช่ในอ่าง สัมผัสถึงความอุ่นสบายของน้ำ
แต่จู่ๆอุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็ดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปกดเชื่อมต่อ ตอบรับการคุยสายในรูปแบบวิดีโอโดยตรง หลินเต๋อหรงเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมอันหรูหราเบื้องหลังฉินเฟิง เขาก็ตกใจ
“ฉินเฟิง!”
“สวัสดีครับผู้อำนวยการ!” ฉินเฟิงทักทายอย่างผ่อนคลาย บ่งบอกถึงความใกล้ชิดเป็นกันเอง
“ใช่ นี่ฉันเอง ฉันเพิ่งจะกลับมา และได้ยินว่าเป็นเธอที่บริจาคเนื้อนายพลสัตว์ร้ายให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอไปเอาพวกมันมาจากที่ไหนกันตั้งมากมาย อย่าบอกนะว่าเธอกลายเป็น ‘คนเก็บซาก’ ไปแล้ว?”
“คนเก็บซากที่เอ่ยโดยหลินเต๋อหรง ความหมายของมันก็คือ คนที่ไม่แข็งแกร่ง แต่มีความสามารถหลบหนีสัตว์ร้ายในทุ่งล่าได้ เป็นตัวล่อชั้นดี พวกเขามักจะเข้าร่วมกับทีมที่ทรงพลัง และหลังจากเสร็จงานแล้ว ก็จะได้รับวัตถุดิบ , เนื้อ หรือกระดูกบางส่วน เล็กๆน้อยๆ จากสินสงคราม”
หรือในอีกรูปแบบนึง ก็คือพวกที่ออกตามหาศพของผู้ใช้พลังพิเศษ แล้วขโมยสิ่งของล้ำค่าจากศพของผู้อื่น
แน่นอน ว่าหากเลือกทำอาชีพนี้ แล้วบังเอิญโชคร้ายขึ้นมา ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ในหัวใจของฉินเฟิงบังเกิดความอบอุ่น เขาเร่งกล่าวทันที “ผู้อำนวยการ คุณไม่ต้องกังวลไป ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก!”
แล้วฉินเฟิงก็อธิบายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องราวของพื้นที่เพาะปลูกทางตอนเหนือในวันนี้ ว่ามีคลื่นกองทัพหนูยักษ์บุกเข้ามา เหตุการณ์ดังกล่าวมิใช่ความลับแต่อย่างใด หากต้องการตรวจสอบ ก็สามารถหาได้จากประกาศทั่วไป
“ผมสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณขึ้นมาได้แล้ว คุณก็รู้นี่ว่าในคลาสต่อสู้ ผลงานของผมยอดเยี่ยมขนาดไหน แถมความแข็งแกร่งของผมก็ไม่ได้อ่อนแอเลยในตอนนี้ ผมสามารถสังหารหนูยักษ์กินพืชหลายร้อยตัวลงได้ เลยได้รับเงินมามากมาย ส่วนเนื้อสัตว์ร้ายระดับนายพลนั่นผมไม่ได้ขาย แต่เลือกนำกลับมาบริจาคแทน!”
“ยอดเยี่ยม นั่นมันฟังดูเยี่ยมไปเลย!” หลินเต๋อหรงพยักหน้าหงึกๆ เขาดูมีความสุขมาก “ฉินเฟิง! เธอต้องสัญญากับฉันนะ ว่าถ้าเธอมีโอกาส อย่าลืมกลับมาหากันบ้าง อ้อ แล้วของฝากพวกนี้น่ะไม่จำเป็นหรอก ขอแค่มาหากันก็พอแล้ว!”
ฉินเฟิงยิ้มและกล่าว “ผู้อำนวยการ ถ้าคุณลำบากหรือว่ามีปัญหาอะไร สามารถเปิดอกพูดกับผมได้ตรงๆเลยนะครับ นอกจากนี้ อย่าผสมเนื้อนายพลสัตว์ร้ายกับอย่างอื่น หรือแบ่งเก็บไว้กินหลายวัน ให้พวกเด็กๆกินมันตรงๆเลยดีกว่า ถ้าเหลือก็นำไปตากแห้งและแจกจ่ายออกไป ทำแบบนั้นมันจะดีกว่า แล้วเอาไว้เมื่อไหร่ที่ผมกลับจากการต่อสู้ ผมจะเอาพวกมันมาฝากอีก!”
“เข้าใจ เข้าใจแล้ว! ขอบคุณจริงๆนะเจ้าลูกชาย!”
“ผู้อำนวยการ อย่าเกรงใจกันเลย เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปพบคุณเอง!”
ฉินเฟิงกล่าวด้วยความหมายอันลึกล้ำในสายตา เพราะวันพรุ่งนี้ จากช่วงชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง มันคือวันที่หลินเต๋อหรงถูกฆ่าตาย!
“โอเค ฉันจะรอเธอ ฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าเจ้าหนูฉินเฟิงในตอนนี้ แข็งแกร่งขนาดไหน!” หลินเต๋อหรงหัวเราะ
สนทนากันอีกไม่กี่คำ ก็วางสายไป
ซ่า—
ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น กระจกที่เกาะไปด้วยไอน้ำ สะท้อนกับร่างกายของเขา
ในเวลาเพียงครึ่งเดือน ร่างกายของฉินเฟิงมิบอบบาง ผอมแห้งอีกต่อไป ตรงกันข้าม มันเปี่ยมไปด้วยพลัง นอกจากนี้ ร่างกายและมวลกระดูกของเขายังเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี ส่งผลให้ตอนนี้เขาน่าจะสูงสักราวๆ 175 ซม. แล้ว!
สวมใส่ชุดคลุมอาบน้ำ ฉินเฟิงก็เริ่มขัดสีฉวีวันให้แก่เสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋รักสะอาดเป็นอย่างมาก มันชอบที่จะให้คนมาขัดๆถูๆแชมพูจนเกิดฟอง นอนรับการปรนนิบัติจากฉินเฟิง
แน่นอน ว่าในฐานะที่มันเป็นพระเอกของงาน ที่ช่วยให้สามารถไล่ตามราชันย์หนูในครั้งนี้ได้ ฉินเฟิงจึงบริการมันเป็นอย่างดี
หลังจากต่อสู้มาหลายวัน แม้จะเป็นฉินเฟิง แต่เขาก็ยังรู้สึกล้า ตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาผ่อนคลาย แถมยังปลอดภัย ฉินเฟิงเลยผล็อยหลับไปอย่างวางใจ
ทว่าเสี่ยวไป๋มิได้หลับด้วย เมื่อมันเห็นว่าฉินเฟิงหลับไปแล้ว แก่นพลังงานขนาดเท่ากำปั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้ามัน
-เป็นแก่นพลังงานของราชันย์หนู
“แผล่บ แผล่บ แผล่บ”
เสี่ยวไป๋เริ่มลามเลีย แก่นพลังงานค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าแก่นพลังงานมีขนาดพอๆกับเจ้าจิ้งจอก เปี่ยมไปด้วยอำนาจมากพอที่จะระเบิดทั้งตัวของเสี่ยวไป๋ได้เลย แต่มันกลับถูกกินไปในชั่วพริบตา โดยที่ร่างกายของเสี่ยวไป่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่นานมันก็ผล็อยหลับไป
…
วันถัดมา ฉินเฟิงสวมชุดสีขาว และกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ มุ่งหน้ากลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เสี่ยวไป๋ที่สลบไสล แน่นอนว่าถูกยัดเอาไว้ในกระเป๋าสะพายของเขา เนื่องจากเขาไม่วางใจที่จะให้เสี่ยวไป๋อยู่ในโรงแรมเพียงลำพัง เพราะมันอาจถูกลักพาตัวไปได้ในพริบตา
ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงแค่เดินเข้าไปหน้าประตู ฉินเฟิงก็ได้กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก เด็กๆที่เล่นอยู่ข้างนอกหายไปหมด ทุกคนไปรวมกันอยู่ในโรงอาหาร น้ำหูน้ำลายต่างไหลออกมา
กระทั่งวัยรุ่นบางคนที่โตแล้ว ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นในวันนี้
“ฉินเฟิง เธออยู่นี่เอง มาลองชิมมันดูสิ” หลินเต๋อหรงกล่าวด้วยความสุข เขาดึงแขนฉินเฟิงไปอย่างรวดเร็ว
ณ เวลานี้ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คนหนุ่มสาวจำนวนมากกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมงาน หลินเต๋อหรงยอมรับฟัง ทำตามคำแนะนำของฉินเฟิง ไม่ลดคุณภาพของเนื้อลง ย่างมันทั้งชิ้น จนส่งกลิ่นหอมโชยตลบอบอวลไปทั่ว
“รสดีไม่เลว!” ฉินเฟิงลองชิมมัน เขาพบว่ารสชาติไม่ได้แย่เลย แต่ก็แน่ล่ะ ก็นี่มันเนื้อของนายพลสัตว์ร้ายนี่นา มันจะรสแย่ได้ยังไงกัน
“ฉินเฟิง วันนี้เธอรับหน้าที่แจกจ่ายมันก็แล้วกันนะ!” หลินเต๋อหรงวางถาดเนื้อย่างลงในมือของฉินเฟิง จากนั้นก็หันไปสั่นกระดิ่ง เพื่อให้บรรดาเด็กกำพร้าเริ่มเข้ามาต่อแถว
“ในวันนี้ พี่ชายของพวกเธอทุกคน -ฉินเฟิง ได้นำของขวัญมาให้ ขอพวกเธอจงจดจำใบหน้าของพี่ชายฉินเฟิงเอาไว้ให้ดี ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะกลายเป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้! เข้าใจกันไหม”
คำกล่าวของหลินเต๋อหรงช่างเปี่ยมไปด้วยความรัก
“เข้าใจครับ/ค่ะ!” ตอบรับ ร้องตะโกนสนับสนุน
แม้จะมีเด็กที่โตแล้วบางส่วนไม่เชื่อว่าในอนาคตฉินเฟิงจะเป็นฮีโร่ แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าฉินเฟิงในปัจจุบัน เปรียบดั่งตัวตนที่ให้ก่อให้เกิดทั้งความคาดหวังและความอิจฉาแก่เหล่าเด็กกำพร้า
ฉินเฟิงเริ่มแจกจ่ายอาหาร หลังจากกินกันแล้ว เขาก็พากลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวไปเข้าคลาสต่อสู้ พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยง
“ผู้อำนวยการ ในช่วงบ่ายนี้คุณจะไปพื้นที่เพาะปลูกใช่ไหม?” ฉินเฟิงถาม
ถ้าฉินเฟิงจำไม่ผิด ในทุกวันนี้ของเดือน หลินเต๋อหรงจะไปยังยุ้งฉางของพื้นที่เพาะปลูก
เนื่องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นองกรค์อย่างเป็นทางการของชุมชนทางตอนเหนือ มันจึงมีการจัดสรรข้าวสารให้ทุกเดือน แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยลดต้นทุนที่ต้องเสียไปได้
“ใช่แล้วล่ะ”
“งั้นก็ดีเลย ผมจะไปกับคุณด้วย!”
“จะไปมันก็ได้อยู่หรอก แต่เสียเวลาไปกับอะไรแบบนี้มันจะดีหรอ?!”
หลินเต๋อหรงรู้ดี ว่าปัจจุบันฉินเฟิงไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เขาสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นสมควรที่จะมุ่งอยู่กับการฝึกฝน แทนที่จะมามัวเสียเวลากับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
อีกอย่าง ตอนนี้ฉินเฟิงเองก็ได้ช่วยเหลือทุกคนมามากพอแล้ว