โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 299
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.299 – ผลประโยชน์มากพอ
ฉินเฟิงยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาหาที่ใดเปรียบ
“ใครจะไม่ปล่อยใครกันแน่ เชื่อหรือเปล่า ว่าตอนนี้ฉันสามารถบุกไปยังตระกูลซง และฆ่าล้างทั้งตระกูลของแกได้!” ฉินเฟิงเย้ยหยัน
ซงหยูไคจ้องฉินเฟิงด้วยความโกรธ แต่เลือดที่คั่งในตา ส่งผลให้เขาแทบไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
อีกทั้งวิสัยทัศน์ยังค่อยๆกลายเป็นมืดมิด ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็ค่อยๆวางมือลงเหนือศีรษะเขา และแล้วทุกสิ่งอย่างก็จมลงอยู่ความมืดมิดโดยสิ้นเชิง
–ซงหยูไค จมลงสู่ความตาย!
สามอาวุโสของตระกูลซงไล่ล่าเขา ทว่าไม่เพียงล้มเหลว แต่กลับนำมาซึ่งความตายแก่ตนเอง
หากกล่าวเรื่องนี้ออกไป น่ากลัวว่าจะไม่มีใครกล้าเชื่อ
ไม่ต้องกล่าวถึงบุคคลที่เพิ่งตายลงไป คือรักษาการณ์ผู้นำตระกูลซง
ณ จุดที่ห่างออกไป ตามทิศทางเดิมของสุสานเทพสงคราม เลเวล D จากอีกสามตระกูลใหญ่ รับรู้ได้ถึงกายตนที่สั่นสะท้าน
“มิสโหว คุณยังตั้งใจจะลงมืออีกหรือเปล่า?” ตี๋เล่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี
ดวงตาของโหวหยางเจียวสั่นไหวเล็กน้อย เหม่อไปพักหนึ่ง
“ลืมมันเถิด ข้าไม่อยากยุ่งกับคนแบบนี้ กำไรที่อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต มันไม่คุ้มเสีย!” หยางเหมาส่ายหัว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ บลัดฮันเตอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาสังหารตระกูลซง และตระกูลซงคือฝ่ายอธรรม แต่ไหนแต่ไรมาธรรมะและอธรรมไม่เคยอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ยิ่งในฝั่งผู้ใช้วรยุทธโบราณก็ยิ่งชัดเจน
โหวหยางเจียวกัดฟันกรอด “แต่พวกคุณก็เห็น ว่าลูกหลานตระกูลฉันเพิ่งถูกฆ่าตายไป แล้วจะให้ปล่อยไปทั้งๆแบบนี้น่ะหรือ?”
หยางเหมาเอ่ยหนักแน่น “มิสโหว ลองคิดดูให้ดี คนที่สังหารลูกหลานของเจ้า เป็นตระกูลซงต่างหาก และบลัดฮันเตอร์ก็ได้ล้างแค้นให้แล้ว”
“แต่ที่มันเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นเพราะเขาอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เห็นอยู่ชัดๆว่าในตอนนั้นเขาสามารถช่วยชีวิตรุ่นเยาว์ตระกูลฉันได้!”
“ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” หยางเหมารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมผู้หญิงคนนี้ได้ เจ้าตัวหันไปเรียกอัจฉริยะตระกูลตนแล้วคนอื่นๆเข้ามา
ทางฝั่งตี๋เล่ยเงียบงัน ไม่เอ่ยสิ่งใด
ต้องขอบอกว่าเมล็ดบัวพิสุทธิ์ 1,000 เม็ดล่อตาล่อใจเขาไม่น้อย แต่ตนก็ทราบดี ว่าฉินเฟิงได้รับมันด้วยความสามารถของตนเอง หากพวกเขาคิดลงมือ เกรงว่ามันคงไม่ง่าย
แต่รุ่นเยาว์ตระกูลโหวที่เพิ่งจบชีวิตลง มิใช่ความผิดของฉินเฟิง จริงอยู่ที่ฉินเฟิงสามารถช่วยเหลือเจ้าหนูนั่นได้ แต่เป็นรุ่นเยาว์ตระกูลโหวเองที่เปิดโปงอีกฝ่ายก่อน จุดประสงค์ก็ชัดเจนว่าคิดยืมดาบฆ่าคน ฉะนั้น ยามเมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย บลัดฮันเตอร์เลยไม่มีหน้าที่ๆจะช่วยเขาเช่นกัน
“มิสโหว ฉันคงไม่ขอเข้าร่วมด้วย ทางตระกูลซงมีคนตายมากมาย จากนี้ไปคงเกิดความปั่นป่วนขึ้น ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะปิดด่านฝึกตน ส่วนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น โปรดอย่าบังคับกันเลย”
โหวหยางเจียวเป็นธรรมดาไม่ยินยอม เธอเพียงลำพัง ไม่อาจเอาชนะฉินเฟิงได้
“ตี๋เล่ย อย่าลืมสิว่าตระกูลหลี่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลตี๋มาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ตอนนี้ผู้นำตระกูลหลี่ตกตายลงด้วยน้ำมือของชายคนนั้น คุณจะยอมปล่อยมันไปจริงๆน่ะหรือ?”
ตี๋เล่ยชะงักงัน เกิดความลังเลขึ้นทันใด
การตายของผู้นำตระกูลหลี่ เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเมืองนุ่ยเหมิงไม่น้อย
อีกทั้งลูกหลานตระกูลหลี่เอง มีอยู่หลายคนที่มายังสุสานเทพสงคราม ทั้งหมดต่างคาดหวังว่าตี๋เล่ยจะช่วยสังหารฉินเฟิง แต่พอเห็นว่าฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก ทั้งหมดก็จนปัญญาด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าพูดออกไป
แต่ตอนนี้ พอได้ยินคำของโหวหยางเจียว เลยเป็นธรรมดาที่จิตใจของพวกเขาจะชื้นขึ้นมา
1,000เมล็ดบัวพิสุทธิ์ น่ากลัวว่าอาจมีราคาเป็นหลายเท่าของทรัพย์สินตระกูลหลี่ หากได้รับ ก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระ!
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ทั้งหมดต่างก็มองไปทางตี๋เล่ย
“อาวุโสตี๋ บรรพบุรุษของพวกเรา ในครั้งเก่าก่อนได้เคยช่วยชีวิตผู้นำตระกูลของท่านเอาไว้”
“สหายตี๋ ท่านผู้นำตายตาไม่หลับ เจ้าจะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้”
“อาวุโสตี๋ เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน ได้โปรดลงมือทำอะไรสักอย่างเถอะ!
พริบตาเดียว ตี๋เลยตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเขา เหล่ารุ่นเยาว์ที่มีส่วนร่วมในการแข่งขันชิงมรดกสุสานเทพสงคราม ทั้งหมดก็เริ่มตื่นเต้น
พวกเขาเบนสายตา มองไปยังยอดเขาบนสถานที่ห่างไกล
และพบว่าบนภูเขา จู่ๆก็คล้ายกับมีอะไรกดทับ ยุบตัวลงกว่า 10 เมตรอย่างกระทันหัน
ตัวตนทรงพลังเลเวล D ถูกสังหารลงโดยบลัดฮันเตอร์
ทั้งหมดนี้ ช่างเป็นอะไรที่เหลือเชื่อสำหรับพวกขเา
อีกทั้งการเฝ้าดูการต่อสู้ของผู้ใช้วรยุทธโบราณ มันช่วยให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมาก
กำลังภายในปั่นป่วนกวาดไปทั่ว แม้ผลพวงที่กระทบตามมาจะทำให้พวกเขาซวนเซ แต่ก็ยังช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ใช้วรยุทธโบราณระดับสูงมากขึ้นในทำนองเดียวกัน
มันช่วยให้พวกเขามีสภาพจิตใจและความเข้าใจในขอบเขตวรยุทธโบราณเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงเริ่มสั่น สั่นด้วยความตื่นเต้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว บลัดฮันเตอร์คือคนคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา
ก่อนหน้านี้บลัดฮันเตอร์เก่งกาจจริงๆหรือเปล่า พวกเขายังไม่รู้ แต่ตอนนี้ทราบแล้วว่าโคตรจะร้ายกาจ ดังนั่นเลยต้องการดูชม
ทั้งหมดเริ่มส่งเสียงฮือฮา
“กระบวนท่าที่บลัดฮันเตอร์ใช้มันอะไรกัน?”
“นั่นไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคทั้งหกใช่ไหม? กระบวนท่าที่เขาเพิ่งใช้เมื่อครู่ รูปแบบมันคล้ายคลึงกับพลังของเทคนิคเหิงหลงเลย กระทั่งท่าร่างที่ไล่ตามไปก็ยังคล้ายกัน”
“ทรงพลังจริงๆ สมแล้วที่เป็นเทคนิคเลเวล A”
ทั้งหมดเชื่อเช่นนั้น ว่าที่ฉินเฟิงร้ายกาจถึงขนาดนี้ เป็นเพราะเขาได้รับเทคนิคเหิงหลงไปครอบครอง
บรรดารุ่นเยาว์ต่างเผยถึงความอิจฉา และเกลียดตัวเองว่าทำไมถึงไม่สามารถคว้าโอกาสเช่นนี้
เหล่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกรุ่นเยาว์ ก็กลายเป็นตกตะลึง ชายคนหนึ่งเอ่ยถามทันทีว่า “เจ้าหนู ในสุสานเทพสงคราม เจ้าเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง? แล้วเทคนิคเลเวล A นั่นหมายความว่าอย่างไร?”
วัยรุ่นบางคนเริ่มหน้าเสีย พวกเขาไม่สามารถผ่านประตูศิลาที่สองได้ด้วยซ้ำ เลยแทบไม่ล่วงรู้เทคนิคลับอะไรเลย
ยังมีวัยรุ่นบางส่วนที่หลบหน้า พอถูกเอ่ยถามโดยผู้ใช้วรยุทธโบราณคนนั้น ก็ไม่กล้าที่จะตอบไป
“ไอ้เด็กนี่ เงียบทำไม รีบพูดมาเร็วเข้า!” ผู้ใช้พลังเลเวล D ตะโกนรุนแรง
“นี่แก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ไม่เห็นตระกูลเล่ยอยู่ในสายตา?” ตี๋เล่ยกล่าวเสียงหม่น เด็กที่ถูกจี้ถามเมื่อครู่ เป็นคนของตระกูลตี๋
“ท่านอาวุโส!” รุ่นเยาว์ตระกูลตี๋รีบวิ่งไปหาญาติเขาทันที พอมาหยุดอยู่ข้างกายตี๋เล่ย ค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เอาล่ะ ทีนี้ก็บอกมาได้แล้ว ว่าสถานการณ์ภายในมันเป็นอย่างไร” ตี๋เล่ยกล่าวเสียงเข้ม กระแทกปลายหอกลงกับพื้น ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า มันสาดประกายไปด้วยสีเงิน การกระทำนี้เล่นเอาคนอื่นๆที่อยู่รอบๆไม่กล้าเคลื่อนไหว
วัยรุ่นเริ่มอธิบายสถานการณ์ภายในออกมาทันที สุดท้ายเขาสรุปให้ว่า “คาดว่าคำพูดของโหวฟางก่อนหน้านี้น่าจะถูกต้อง หลังจากที่พวกเราเข้าด่านสอง เมล็ดบัวพิสุทธิ์ก็หายไปนานแล้ว และพอเข้าสู่ด่านสามเพื่อเรียนรู้เทคนิคลับเหิงหลง ก็เห็นแค่บลัดฮันเตอร์คนเดียวที่ได้เข้าประตูศิลาบานที่ 6 ไป ผมมั่นใจว่าเขาสามารถเรียนรู้เทคนิคเหิงหลงฉบับสมบูรณ์ได้แล้วแน่นอน!”
ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D ทั้งหมดในที่นี้ มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ขณะเดียวกัน บนอุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็ส่งเสียง ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!
“นายรีบหนีก่อนเหอะ พวกเขารู้แล้วว่านายครอบครองเทคนิคลับเหิงหลงฉบับสมบูรณ์ ดูท่าว่าจะกำลังเกิดความคิดร้ายกันแล้ว”
เป็นข้อความจากโจวฮ่าว
“นายเองก็อาศัยประโยชน์จากความวุ่นวายหนีไปด้วยเถอะ คนพวกนั้นก็เห็นว่านายสามารถเข้าสู่ขั้นที่สองได้เหมือนกัน หากฝึกฝนขั้นที่สองได้อย่างสมบูรณ์ จะสามารถต่อกรกับเลเวล E ได้ มีบางคนอยากจะครอบครองมันแน่นอน”
“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วย”
โจวฮ่าวตอบกลับอย่างร้อนรน พอลองคิดดูดีๆ อันที่จริงแล้วโจวฮ่าวตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าฉินเฟิงมากนัก
ฉินเฟิงตอนนี้มีความแข็งแกร่งในเลเวล D ถือว่าสูงที่สุดในที่แห่งนี้ แต่ปัจจุบันทั้งสองแยกกัน ในขณะที่โจวฮ่าวแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ณ ที่แห่งนี้มีเลเวล E อยู่หลายคน ต่อให้เขามีนางพญามดทอง แต่ก็ยังถือว่าอันตรายอยู่ดี
โชคยังดี ที่เวลานี้สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่กับฉินเฟิง ไม่ได้สนใจว่าท่ามกลางฝูงชน มีวัยรุ่นคนหนึ่งถอนตัวจากไป
สายตาของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา มือที่ยื่นออกไปกดลง
ทักษะลับกลืนดารา!
กำลังภายในปะทุโหม ฉินเฟิงดูดกำลังภายในของศัตรูผ่านศีรษะของซงหยูไค กำลังภายในไหลย้อนกลับอย่างบ้าคลั่ง จนทำลายหัวของอีกฝ่าย สภาพของซงหยูไคตายในสภาพไม่น่าดูชม!
จบกระบวนการ ฉินเฟิงก็หยิบเอาอุปกรณ์รูนมิติของอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลายร่างใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา ตรงเข้ามาล้อมรอบฉินเฟิง
โดยผู้ที่นำมา คือโหวหยางเจียวกับตี๋เล่ย
“ตระกูลโหว กับตระกูลตี๋งั้นหรือ?” ฉินเฟิงสาดสายตาเย็นชามองออกไป