โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 379
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.379 – อย่าสู้ ถ้ายังไม่รู้จักอีกฝ่าย
ฉินเฟิงไม่ได้เป็นแค่เลเวล D แต่เขาคือเลเวล D ระดับจักรพรรดิ!
เมื่อกลิ่นอายนี้ระเบิดออกมา ฝูงชนโดยรอบพลันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล
“ระยำเถอะ ก็แค่ไอ้เด็กขนยังไม่ขึ้น มาดูกันว่าแกจะแน่สักแค่ไหน!”
ชายร่างสูงใหญ่กำยำจากหน่วยลาดตระเวนถลึงตามองฉินเฟิงด้วยความโกรธ ในมุมมองของพวกเขา ฉินเฟิงยังเด็กเกินไป แม้จะสูงถึง 1.9 เมตรก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การที่อีกฝ่ายสามารถปลดปล่อยแรงกดดันออกมาข่มจนพวกเขารู้สึกอึดอัดได้ บางทีเจ้าหนูตรงหน้าอาจครอบครองอบิลิตี้บางอย่าง
แต่โดยองค์รวมแล้ว พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกตนจะด้อยกว่า
ด้วยเหตุนี้ ชายร่างกำยำจึงกระแทกสองหมัดตนเข้าหากัน เกิดเสียงสนั่นกึกก้อง คล้ายร่างกายกำลังเผาผลาญไปด้วยพลังงานอันลี้ลับ
แรงกดดันของชายคนนั้นพุ่งสูงขึ้น สุดท้ายเริ่มก้าวออกมาข้างหน้า
ฉินเฟิงเห็นว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมถอยแน่ๆ คงมีแต่ต้องสู้เท่านั้น หากไม่โต้ตอบสวนกลับไปคงเป็นการเสียมารยาท
สองกำปั้นซัดเข้าใส่กัน ก่อแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ปงงงง!
พลังงานที่มองไม่เห็นระเบิดกลางอากาศ ผืนดินราวถูกกระพือโดยสายลม ฝุ่นคลุ้งกระจายไปทุกทิศทาง
ยังไม่พอ หน้าต่างร้านรวงที่อยู่ใกล้กับฉินเฟิง แตกเป็นเสี่ยงๆทันที
เพล้ง!
แรงสั่นสะเทือนดั่งระเบิดพลังงาน กวาดไปทั่วบริเวณ!
“มาอีกครั้ง!”
ฉินเฟิงร้องคำราม ชูกำปั้นง้างขึ้น ซัดสวนไปอีกคราว
ปงงงง!
คราวนี้ กำลังภายในที่ปะทุออกมา กระจายออกเป็นรูปทรงพัด หน่วยลาดตระเวนคนอื่นๆที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
ชั่วเวลานั้น พวกเขาทำได้เพียงย่ำเท้าจมลึกลงกับพื้น เพื่อรักษาสมดุลร่างกายไม่ให้ถูกเป่าปลิวไป
พื้นผิวถนนที่แข็งแกร่งจมลึกกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
ผู้ใช้พลังเลเวล D หากคิดทำลายล้างจริงๆ เมืองเล็กๆแบบนี้ย่อมไม่คณามือพวกเขา
แต่โชคยังดี ที่ไม่ว่าจะเป็นฉินเฟิงหรืออีกฝ่าย ทั้งคู่ล้วนข่มกำลังตนเองไว้ ส่งผลให้ผลพวงจากการต่อสู้ไม่กินวงกว้างจนเกินไป
ถึงอย่างนั้นก็ตาม มนุษย์ธรรมดาก็พากันหลบหนีไปหมดแล้ว พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงอยู่ที่นี่
“ทุกคน รีบมาช่วยกันหน่อย!”
ชายร่างใหญ่กำยำร้องตะโกน เขากำลังถูกฉินเฟิงกดดันจนมุม
“ไอ้หนู ไปลงนรกซะ!”
ไคลินร้องคำราม ระเบิดอำนาจต่อสู้อันทรงพลังออกมา ร่างกายยืดขยายทันใด ความสูงเพิ่มพูนขึ้นไปถึง 2.5 เมตร หัวของฉินเฟิงในตอนนี้ อยู่แค่ระดับหน้าอกของอีกฝ่ายเท่านั้น
กำปั้นมโหฬารของไคลินดั่งกระสอบผืนใหญ่ ซัดตรงเข้ามา หากเทียบกับกำปั้นของฉินเฟิงที่สวนกลับไป ดูไม่ต่างกับลูกเห็บน้อยๆเลย
รอบกายไคลิน คนอื่นๆก็ช่วยกันโจมตีด้วยเช่นกัน ฉินเฟิงถูกรุมล้อมจนแทบไม่มีช่องอากาศให้หายใจ
วลีสองกำปั้นหรือจะสู้สี่มือ อาจใช้เรียกกับสถานการณ์แบบนี้ก็ได้!
กำลังภายในของฉินเฟิงอัดฉีดลงบนฝ่ามือ สาดไสวแสงสีทองออกมา
“มังกรทอร์นาโด!”
ในเสี้ยวพริบตา ฉินเฟิงเอี้ยวตัวหมุนเป็นวง กำลังภายในบนฝ่ามือ กลายเป็นเส้นแสงลากยาวรอบตัว ดั่งมังกรทองกำลังร่ายระบำในอากาศ กวาดกรงเล็บปะทะทานรับการโจมตีของเหล่าศัตรู
ผัวะ ผัวะ ผัวะ ผัวะ ผัวะ ผัวะ!
จากทั้งหมด 7 คน มี 3 คนถูกซัดปลิวม้วนกลับหัวกลับหางไปในอากาศ ส่วนอีกสามคนโดนกดดันจนต้องชักฝีเท้าถอยอย่างไม่ยินยอม มีเพียงไคลินเท่านั้นที่สามารถรับการโจมตีของฉินเฟิงได้
เพราะยังไงเสีย เขาก็เป็นผู้ใช้ทักษะกายภาพเลเวล D5 กายเนื้อครอบครองพละกำลังมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของไคลินเวลานี้กำลังเต้นครึกโครม เพราะกำปั้นของเขา กระทั่งวัวสัตว์ร้ายเลเวล D ก็ยังไม่รอดชีวิต ทว่ามันกลับถูกปัดป้องได้โดยกระบวนท่าวรยุทธของฉินเฟิง นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่พละกำลังของฉินเฟิงถูกลดทอนลง จากการทานรับการรุมโจมตีจากลูกน้องของเขาอีกนะ
มองไปยังใบหน้าเรียบเฉยของฉินเฟิง เจ้าตัวดูสงบเยือกเย็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขายังไม่ได้ใช้พลังงานเต็มที่ด้วยซ้ำ
มิฉะนั้น เมืองรุ่งอรุณคงไม่รอดมาถึงตอนนี้
“อ๊าาาา!”
“สู้มัน!”
“ไอ้หนู ฉันจะมอบบทเรียนให้แกเอง!”
แม้จะถูกทุบตีจนกระบวนทัพเละเทะ แต่สมาชิกของหน่วยลาดตระเวน ก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ วิ่งมาให้ถูกอัดอีกครั้ง และอีกครั้ง
ฉินเฟิงก็น้อมรับด้วยความยินดี หมัดมาก็หมัดตอบ เท้ามาก็เท้ากลับไป แต่ไม่ทุ่มพลังถึงขั้นฆ่าให้ตาย เขายังปล่อยให้คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่
ถึงกระนั้น มันก็มากพอให้หน่วยลาดตระเวนกลุ่มนี้ร้องระงมราวกับหญิงสาว
ปงงง!
เปรี้ยงงง!
ตูมมม!
“ไอหย๋า!”
เพียงสามกระบวนท่าหมัดและสองกระบวนท่าเท้า แมลงวันอย่างหน่วยลาดตระเวนกลุ่มนี้ก็ถูกสยบลง
ณ จุดที่ห่างออกไป หน่วยลาดตระเวนเลเวล E แม้มีอาวุธอยู่ในมือ แต่พวกเขาไม่กล้าใช้มัน ขนาดฉินเฟิงเพียงชำเลืองมองผ่านๆ พวกเขายังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ฉะนั้นเรื่องลงมือไม่ต้องกล่าวถึง
“อาาา .. โอ้พระเจ้า ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่”
“นั่นคือปราณกำลังภายใน เขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณจากฟากตะวันออก!”
“เหลือเชื่อจริงๆ เขาว่องไวขนาดนี้ได้ยังไง”
“โอ้พระเจ้า นายพลไคลินถูกอัดจนยับแล้ว!”
คนเหล่านี้ไม่อาจทำใจเชื่อ แต่ก็นั่นแหละ มันคือเรื่องจริง
ไคลินเป็นหนึ่งในคนที่ถูกฉินเฟิงทุบตีจนมีสภาพย่ำแย่ที่สุด ถูกชกใส่หน้าหลายครั้งจนตาพร่า วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ไหนจะงอตัวจนแทบยืนไม่อยู่จากหลายหมัดที่งัดเข้าใส่ท้อง
ต้องไม่ลืมนะว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิง อยู่ในระดับจักรพรรดิ
หลังจากถูกทุบตีอยู่นาน ไคลินค่อยก้าวถอยออกไป
ชั่วขณะหนึ่ง การต่อสู้ราวกับสะดุดติดขัด ฝูงชนนิ่งงัน ปฏิเสธจะขยับตัวอย่างกะทันหัน
ทุกท่านเดาไม่ผิด คนเหล่านี้ไม่ต้องการจะถูกทุบตีโดยฉินเฟิงอีกแล้ว!
ในขณะที่ฉินเฟิงมีปราณกำลังภายในคอยห่อหุ้ม กระทั่งชายเสื้อของเลยไม่แม้จะยับย่น
ตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย ที่แม้แต่ละคนจะสูงเกินกว่า 2 เมตร แต่สภาพหน้า จมูกและรอบดวงตากลับเขียวคล้ำ
พวกเขาเป็นผู้ใช้ทักษะกายภายเลเวล D เชียวนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีสภาพราวกับถูกสั่งสอนเป็นเด็กๆแบบนี้?
เมื่อเรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ ไคลินก็ตระหนักว่าฉินเฟิงมิใช่คนที่ควรจะยั่วยุ
อีกอย่าง ผู้หญิงที่ฉินเฟิงโจมตีก็ตายไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไคลินกับเธอก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร
เดิมคนชาติเดียวกันก็ต้องเข้าข้างกัน แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป ผู้หญิงได้ตายไปแล้ว ไคลินเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการกำจัดฉินเฟิง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสู้กันถึงตายที่นี่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ไคลินก็หยุดมือ ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธที่จะขยับตัว
ฉินเฟิงพอเห็นอีกฝ่ายไม่กล้าสบตาตนเอง ก็ตระหนักได้ทันที ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้คงจบลงแล้ว
แต่เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่การต่อสู้ถึงตายนี่นา แค่เล่นกันขำๆเท่านั้น
“พอใจแล้วใช่ไหม?” ฉินเฟิงถามเสียงหม่น
ไคลินกระแอมไอสองสามครั้ง ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “อะแฮ่ม ฉันคิดว่าบางทีพวกเราอาจเกิดความเข้าใจผิดกันนะสหาย”
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน คนพวกนี้จู่ๆก็ลอบโจมตีผม ผมคิดว่า พวกมันเป็นคนขององค์กรมืด”
ฉินเฟิงชี้ไปบนพื้น ตรงจุดที่มีผู้ใช้พลังได้รับบาดเจ็บสาหัส และมือปืนที่กำลังกลายเป็นบ้า
ส่วนผู้หญิง กลายเป็นศพจนตัวจะแข็งอยู่แล้ว
มุมปากของไคลินกระตุก คนเหล่านี้เป็นผู้ใช้พลังในเมืองของเขา ไม่ว่าพวกนี้จะเป็นองค์กรมืดหรือพันธมิตรมนุษย์ ไคลินย่อมรู้อยู่แก่ใจ
แต่ฉินเฟิงกล่าวเช่นนี้ ก็เท่ากับยอมยื่นบันไดให้เขาลง ดังนั้นไคลินทำได้เพียงน้อมรับ
“เข้าใจแล้ว งั้นก็จับคนพวกนี้ไป แล้วค่อยสอบปากคำในภายหลัง”
หน่วยลาดตระเวนที่เหลือมองมายังฉินเฟิงด้วยความยำเกรง จากนั้นก็ค่อยๆก้าวเข้าไปนำผู้บาดเจ็บทั้งสามจากไป มิกล้าเอ่ยคำใดกับเขา
แต่ไคลินยังไม่จากไปทันที
“เฮ้เจ้าหนู ฉันไม่เคยเห็นนายในเมืองรุ่งอรุณมาก่อนเลย ต้องขอโทษจริงๆสำหรับความเข้าใจผิดนี้”
ฉินเฟิงตอบกลับ “ผมมาที่นี่ครั้งแรก แต่ไม่คิดเลยว่าความปลอดภัยในเมืองรุ่งอรุณจะเลวร้ายถึงขนาดนี้ ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“ไม่เอาน่าสหาย อย่าซีเรียสมากนักเลย เอางี้เป็นไง ฉันจะเลี้ยงเบียร์นาย สนใจไหม?”
“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำขอโทษจากคุณก็แล้วกัน” ฉินเฟิงตอบ
“สหาย ฉันจะเลี้ยงนายจริงๆ” ไคลินเร่งกล่าว บรรยากาศที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายต่อสู้ เริ่มแปรเปลี่ยนไป
ไคลินเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนที่สูง 2 เมตรดังเดิม แม้เจ้าตัวจะลดความสูงลงแล้ว แต่ก็ยังสูงกว่าฉินเฟิงครึ่งช่วงหัว
“สหาย นายมาที่นี่เป็นครั้งแรกใช่ไหม งั้นฉันจะพานายเที่ยวเอง อยากได้อะไร? อาหารอร่อยๆ , เหล้าเลิศรส หรือสาวงามฉันจัดให้ได้หมดเลย!” ไคลินกล่าวอย่างเป็นกันเอง
ใบหน้าของฉินเฟิงยังคงเรียบเฉย เอ่ยปากเบาๆ “สองอย่างแรกพอไหว แต่เรื่องสาวตัดไปได้เลย เพราะผมมีแฟนสาวสุดสวยอยู่แล้ว!”