โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 386
4/4
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.386 – กลับสู่ปราการชาตง
มีดกษัตริย์ครามในมือฉินเฟิงเฉือนลงบนต้นไม้กอร์กอน
ต้นไม้กอร์กอนตายแล้ว ดังนั้นมันไม่เหลือพลังงานอีกต่อไป เพียงใบมีดทิ่มลง มันก็ถูกเปลวเพลิงเผาเป็นถ่านสีดำ ผุพังเป็นหลุมขนาดใหญ่ทันที
และภายในหลุม ผลึกชิ้นหนึ่งปรากฏสู่สายตา
ผลึกนี้มีรูปทรงไข่ ยาวครึ่งเมตร ณ ส่วนที่กว้างที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 30 เซนติเมตร มันแวววาวและโปร่งแสง ราวกับอัญมณีขนาดใหญ่
–เป็นหัวใจของต้นไม้กอร์กอน!
มูลค่าของมัน เทียบได้กับแก่นอบิลิตี้ของจักรพรรดิสัตว์ร้าย
นี่คือสิ่งที่ถือว่ามีค่ามากที่สุดในบรรดาวัตถุดิบของพืชกลายพันธุ์
ฉินเฟิงรวบรวมสิ่งของต่างๆลงในอุปกรณ์รูนมิติ
ส่วนถุงกระเป๋าหนังสัตว์ของกลุ่มองค์กรมืด ฉินเฟิงโยนมันลงในเป้สะพายสำหรับต่อสู้ ถุงกระเป๋าทั้ง 50 ยัดกันจนเต็มเป้
ระหว่างที่เขาทำอย่างนั้น ผู้คนจากเมืองรุ่งอรุณที่ถอนตัวไปในตอนแรก ต่างเฝ้ามองด้วยความอิจฉา บังเกิดความคิดปรารถนาว่าอยากจะฉกฉวยพวกมันเป็นของตัวเอง
แต่พวกเขาไม่กล้าล้ำเส้น!
ฉินเฟิงยังฆ่าไปไม่พออีกหรือ? อยากจะเพิ่มยอดสังหารให้แก่เขารึไง?
อีกอย่าง กลุ่มคนที่เพิ่งตายไป ทั้งหมดมักออกปฏิบัติการอยู่รอบๆป่านีล เป็นกลุ่มองค์กรมืด มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ พวกเขาในฐานะกลุ่มเล็กๆ มักจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง เมื่อพบกับพวกมัน ก็ได้แต่ทำใจยอมรับความโชคร้าย
จนในวันนี้ พวกมันทั้งหมดต่างจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของฉินเฟิง!
“นี่ไม่ใช่ผู้ใช้อบิลิตี้ในแบบที่ฉันรู้จักเลย พวกองค์กรมืดไม่ต่างไปจากนักเรียนประถมหาเรื่องกับนักเรียนมหาลัย”
“โอ้พระเจ้า เบื้องหลังของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน”
“เจ้าลิงเหลืองนี่ .. เป็นใครกันแน่นะ”
คนเหล่านี้ ไม่ทราบถึงสถานะของฉินเฟิง
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ไป เกรงว่าพวกเขาก็ยังไม่ทราบอยู่ดี!
เพราะฉินเฟิงเดินทางมายังที่นี่ เพื่อต้องการตามหาดอกไม้หยาดน้ำตาเท่านั้น และตอนนี้ภารกิจเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว แถมยังโชคดีได้รับพืชกลายพันธุ์ระดับจักรพรรดิมาครอบครอง เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงไม่คิดรั้งอยู่อีกต่อไป
ใครจะรู้? ความมั่งคั่งอาจล่อลวงผู้คน เรื่องแบบนี้มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณแล้ว
ฉินเฟิงเดินหาถนนหลัก ก่อนจะเรียกรถศึกออกมา ขับกลับไปยังเมืองรุ่งอรุณในยามค่ำคืน
กลางดึก ฉินเฟิงขับผ่านทางตอนเหนือของเมือง สายตาเบนไปเห็นทุ่งดอกไม้หยาดน้ำตาขนาดใหญ่
พลังสมาธิของฉินเฟิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รูนมืดปกคลุมทุ่งดอกไม้หยาดน้ำตา
ทหารยามที่คอยลาดตระเวนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ไม่พบถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
โดยไม่มีใครรู้ตัว ฉินเฟิงได้กวาดดอกไม้หยาดน้ำตาเกือบทั้งหมดไป
แน่นอน เขาไม่ใจร้ายขนาดนั้น ยังเหลือทิ้งไว้อีกราวๆ 1,000 ต้นไว้ให้เมืองรุ่งอรุณเพาะพันธุ์มันในอนาคต
จากนั้น ฉินเฟิงก็แอบเข้าไปยังเมืองรุ่งอรุณอีกที ไม่นานก็พบกับที่พักของไคลิน
ปัจจุบันไคลินอาศัยอยู่บนต้นไม้ยักษ์ นอนกรนเสียงดัง
รูนแห่งความมืดของฉินเฟิง ปกคลุมรอบกายตนอีกครั้ง ใช้งานซ่อนเงาเคลื่อนกายเข้าไปในห้อง
จากนั้น ฉินเฟิงหยิบเมล็ดพันธุ์ต้นไม้กอร์กอนหนึ่งเมล็ดออกมา และวางมันลงบนโต๊ะข้างเตียงของไคลิน ตามด้วยเรียกเหรียญพลังงานที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังสมาธิ วางลงโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
เพื่อจบกระบวนการ ฉินเฟิงไม่ได้ออกจากห้อง เขาเปิดใช้งานบัตรหยกเทพสงครามโดยตรง
ณ เวลานี้ ไคลินที่กำลังหลับสนิท คล้ายกับจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่แปลกออกไป –พลังในการรับรู้ของผู้ใช้พลังเลเวล D ธรรมดาซะที่ไหนกัน
หากฉินเฟิงไม่ได้กลบซ่อนตัวตนเอาไว้อย่างมิดชิด ไคลินคงตื่นขึ้นมาทันทีแล้ว
ไคลินสะดุ้งเฮือก ท่ามกลางความมืดมิด แสงระยับบางอย่างฉายวาบเข้าตาเขา ไคลินกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร
–มันคือเหรียญพลังงาน!
เหรียญพลังงานขนาดห้าลูกบาศเมตร หรือเทียบเท่ากับเป็นเงิน 50,000 ล้าน!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าพระผู้เป็นเจ้ามอบเงินจากสรวงสวรรค์ลงมาให้?”
อย่างไรก็ตาม ไคลินได้ถูกดึงดูดโดยกลิ่นอายของอีกสิ่งหนึ่ง เพราะพลังงานที่ส่งออกมาจากมัน ผู้ใช้พลังสามารถตระหนักได้เป็นอย่างดี
เมื่อเขาหันหน้าไป ก็เห็นเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้กอร์กอน
เวลานี้ ไคลินลืมตาตื่นอย่างสมบูรณ์
เขาเร่งเปิดอุปกรณ์สื่อสารโดยตรง เปิดใช้สิทธิ์ตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูก
เมื่อพบกับไร่ที่เปลือยเปล่า ไคลินช็อคไปโดยสิ้นเชิง
“ฉินเฟิง ทำกันได้เจ็บแสบนักนะ!!”
…
อีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่องที่ไคลินโมโห นั่นเพราะเขาจ่ายเงินไปแล้ว และได้สิ่งที่ตนต้องการมา ตอนนี้ฉินเฟิงพึงพอใจมาก
อันที่จริงการที่ฉินเฟิงทำเช่นนี้ เป็นเพราะเขาต้องป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ในอดีต ทองคำและผ้าไหมเลอค่ามักกระตุ้นจิตละโมภของผู้คน ฉินเฟิงได้เมล็ดของพืชกลายพันธุ์ระดับจักรพรรดิ และหัวใจต้นไม้มาในครอบครอง นั่นไม่เท่ากับเป็นการล่อลวงให้ผู้ใช้พลังเลเวล C ในเมืองรุ่งอรุณออกมาไล่ล่าตนหรอกหรือ?
ต่อให้ฉินเฟิงไม่กลัวอีกฝ่าย แต่ธุรกิจแลกเปลี่ยนดอกไม้หยาดน้ำตา คงจะล่มไม่เป็นท่า
ดังนั้นฉินเฟิงตัดสินใจทำการซื้อขายด้วยตัวเองเลย นอกจากง่ายกว่าแล้ว ยังสะดวกกว่าด้วย
ในส่วนของเรื่องเงิน ฉินเฟิงรักษาสัญญาเสมอ เขาเคยไปถึงเลเวล A มาแล้ว ฉะนั้นเงิน 50,000 ล้าน ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร
เขาจะไม่ยอมให้เรื่องเงินเพียงเล็กน้อย มาทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง
หลังจากกลับมายังสุสานเทพสงครามโดยบัตรหยก ฉินเฟิงได้เปิดตัวเชื่อมมิติอีกครั้ง
สุสานเทพสงครามคือเขตแดนลับ มันอยู่ในต่างมิติ ดังนั้นตราบใดที่ฉินเฟิงมีตัวเชื่อมมิติ เขาจะสามารถใช้มันเป็นทางผ่านในการเดินทางกลับไปได้
…
นี่ก็ล่วงเลยผ่านไปกว่า 3 – 4 วันแล้ว ปราการชาตงเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
ตำแหน่งปรากฏตัวของฉินเฟิง ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆนอกชาตง ไม่มีใครอยู่รอบๆ ฉินเฟิงเรียกเมฆครามออกมา ขับกลับไปยังชาตง
ทว่าเมื่อมาถึงน่านฟ้าของเมือง เรดาร์ของเมฆครามกลับส่งเสียงแจ้งเตือนอย่างบ้าคลั่ง
【ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! เหตุด่วน เหตุด่วน นายพลสัตว์ร้ายเลเวล D3 อยู่ห่างจากตำแหน่งของคุณราวๆ 1,100 เมตร】
【ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! … 】
ก็นั่นล่ะนะ แนวหน้าเนี่ย เป็นสนามรบที่คึกคักเสมอเลย
ฉินเฟิงเร่งความเร็วเมฆคราม ขับตรงไปข้างหน้า
ในจุดที่ไกลออกไป คุณสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งกำลังบุกใกล้เข้าไปในปราการชาตง
–เป็นฝูงหมาป่าทะเลทราย!
เวลานี้ หอคอยเฝ้าระวังในแนวหน้าได้เริ่มยิ่งตอบโต้แล้ว
ปัง ปัง ปัง!
ตูม ตูมมมม!
โดยทั่วไปแล้วสมาชิกของฝูงหมาป่าทะเลทรายจะอยู่ในช่วงเลเวล D และ E อย่างไรก็ตามอำนาจของปืนบนหอคอย เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอที่จะปราบปรามพวกมัน
โดยเฉพาะนายพลหมาป่าทะเลทราย ที่มีความสูงกว่า 3 เมตร ยาวกว่า 5 เมตร ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่ง พลังป้องกันย่อมสูงส่ง ปืนใหญ่ไม่อาจกำจัดมันได้ ช่วยแค่เพียงชะลอความเร็วลงเท่านั้น
ซี่!
สองลำแสงพลังงานถูกยิงออกจากเมฆคราม สังหารสองสัตว์ร้ายที่กำลังเข้ามาใกล้หอคอย
ไม่นาน ฮอลศึกหลายลำก็บินออกจากทิศทางของปราการชาตง และพวกเขาเหล่านั้น เป็นธรรมดาที่จะเห็นเมฆครามอยู่บนท้องฟ้า
“เฮ้? นั่นนายพลฉินนี่ เขากลับมาแล้ว!”
พริบตานั้น ฝูงชนบังเกิดกำลังใจเพิ่มพูนอย่างแรงกล้า
อย่างไรก็ตาม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉินเฟิงถึงไม่ลงจากฮอลศึก เจ้าตัวทำแค่ช่วยยิงโจมตีสัตว์ร้ายที่รุกล้ำเข้ามาจากบนท้องฟ้าเท่านั้น
คนอื่นๆขบคิดสักเล็กน้อย ก็ได้คำตอบว่าฉินเฟิงต้องการอะไร
“ดูเหมือนว่านายพลฉินอยากเห็นประสิทธิภาพการต่อสู้ในปัจจุบันของพวกเรา”
“นั่นสินะ ถ้าจะให้มาหนีเอาตอนนี้ คงสายเกินไปแล้ว”
“ไปกันสักที อย่ามัวชักช้า!”
อาจกล่าวได้ว่า หลังจากฉินเฟิงกลายเป็นนายพล ผู้ใช้พลังเลเวล D ในปราการชาตง ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ก่อนหน้านี้ แม้หูเหลียงจะแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่อำนาจของเขามันยังไม่เพียงพอ ผู้ใช้พลังเลเวล D คนอื่นๆยังพอรับมือกับเขาได้ เมื่อรับมือได้ก็ไม่ต้องฟังคำสั่งให้มากความ อีกอย่างไม่ว่าจะทุ่มเทมากหรือน้อยพวกเขาก็ได้รางวัลจากพันธมิตรมนุษยชาติอยู่แล้ว ฉะนั้นทำไมต้องทำงานหนัก หรือสร้างผลงานให้แก่หูเหลียงด้วยเล่า?
แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของปราการชาตง ได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลเลเวล D แห่งพันธมิตรมนุษยชาติ สำหรับคนทั่วไป นี่ถือว่าสร้างประโยชน์ให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก
เพราะอย่างน้อยที่สุด ฉินเฟิงมีนิสัยเป็นคนชอบลงมือสู้ด้วยตนเอง ยามสถานการณ์คับขัน มันช่วยรับประกันชีวิตของพวกเขาได้!