โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 39
Ch.39 – มีดกษัตริย์คราม
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.39 – มีดกษัตริย์คราม
นี่คือสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถลบออกได้ เป็นตัวบ่งบอกว่าอุปกรณ์รูนดังกล่าวถูกสร้างขึ้นจากวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้าย
ฉินเฟิงถอดเสื้อนอกของเขาออก และเริ่มสวมเกราะชั้นใน
เมื่อสวมทับกับร่างกาย กลับให้ความรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย ไม่อึดอัด แถมยังช่วยบรรเทาอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน
ยิ่งกว่านั้น พลังป้องกันของเสื้อตัวนี้ยังแข็งแกร่ง และสามารถทานทนต่อแรงกระแทก การฉีกขาดจากราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล G
“ไม่เลวเลย!” ฉินเฟิงพยักหน้า และสวมเสื้อนอกของเขาทับอีกครั้ง เพื่อปกปิดเกราะชั้นในไว้ สำหรับปลอกข้อมือ ฉินเฟิงยังไม่คิดใส่มัน
เพราะจะเป็นการดีกว่า หากไม่อวดโอ้มันต่อหน้าสาธารณะ!
จากนั้น ดวงตาของฉินเฟิงก็ตกลงบนใบมีด
“นักออกแบบได้จำลองอาวุธนี้ให้เหมือนกันกับมีดในช่วงยุคราชวงศ์ถัง และเนื่องจากวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้ายทุกชิ้นสามารถตั้งชื่อได้โดยนักออกแบบที่สร้างมัน ดังนั้น มีดนี้จึงถูกเรียกว่า มีดกษัตริย์คราม!”
“ฝักของมีด ถูกเย็บจากหนังที่มิสเตอร์ฉินเหลือทิ้งไว้ มันสามารถช่วยห่อหุ้มคมมีดเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี!”
ซุนน้อยกล่าวแนะนำอย่างรวดเร็ว
“มีดนี้มีความยาวโดยรวม 65 ซม. , ความยาวด้าม 20 ซม. , ความยาวใบมีด 45 ซม. , ความกว้าง 3.2 ซม. และความหนาเป็น 0.7 ซม.”
“ส่วนคะแนนการประเมิน มันคืออาวุธรูนเงินเลเวล G5 ซึ่งสามารถเฉือนทะลุหนังสัตว์ร้ายทุกเลเวล G กระทั่งใช้ล่าสัตว์ร้ายเลเวล F ก็ยังไม่มีปัญหา ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว อาวุธนี้สามารถเรียกว่าเป็นเลเวล F เลยก็ยังได้!”
ฉินเฟิงคว้าด้ามจับมีด และลองกำฝักหนังดู เขาพบว่าฝักค่อนข้างนิ่ม ทว่าแข็งแรง ยามที่กำอยู่ในมือไม่อาจรู้สึกได้ถึงคมที่อยู่ภายใน ชัดเจนว่ามันทนทานมากทีเดียว
โดยรวมแล้วมันไม่ใหญ่เกินไป เพราะยังไงซะ วัตถุดิบทั้งหมดที่ฉินเฟิงหามาได้ ก็ยังคงมีจำกัดนัก
ฉินเฟิงดึงด้ามมีดออกมาอย่างช้าๆ แสงสีเงินของมันสาดกระทบเข้าไปในดวงตาของฉินเฟิง
แน่นอน ว่าแม้จะสาดแสงสีเงิน หากแต่ตัวใบมีด มิได้เป็นสีเงินแต่อย่างใด
ใบมีดไม่ได้มีสีของอาวุธโลหะ เพราะมันคืออาวุธที่ทำมาจากกระดูก , ฟัน และกรงเล็บของสัตว์ร้าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกระดูกซะมากกว่า
ในจุดนี้สามารถย้อมเป็นสีโลหะได้ก็จริง แต่ฉินเฟิงไม่มีความต้องการอะไรแบบนั้น ยามเมื่อมีดถูกดึงออกมา มันก็เผยให้เห็นถึงประกายสีฟ้าของท้องฟ้าคราม
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้ชื่อว่า มีดกษัตริย์คราม!
แม้จะดูเหมือนว่าเป็นอาวุธที่บอบบาง หากแต่ยามถือมันไว้ในมือ คุณจะรู้สึกเลยว่า มันมิอาจทำลายได้
“ยอดเยี่ยม ฉันพอใจมากเลย!”
ฉินเฟิงกุมมีดไว้ในมือ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ความพึงพอใจของลูกค้า คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา!”
ซุนน้อยปากหวาน ฉวยโอกาสกล่าวทันที
จากนั้นพวกเขาก็ให้กล่องทรงกระบอกที่มีขนาดหนึ่งเมตร และมีเส้นผ่านสูงกลางยาวประมาณสิบเซนติเมตรแก่ฉินเฟิง ซึ่งนี่เพียงพอที่จะใส่มีดกษัตริย์ครามเก็บไว้ข้างใน ขณะเดียวกันมันก็ถูกติดไว้ด้วยสายสะพายไหล่ เพื่อให้ฉินเฟิงสวมไว้ด้านหลังเขา
แบบนี้จะดีกว่าการนำมันออกมาโชว์โดยตรง เพราะปัจจุบัน มีดกษัตริย์ครามคือทรัพย์สินที่ยังไม่ถูกเปิดเผย และอาวุธสังหารไม่สามารถถูกนำออกมาเดินโชว์ไปทั่วได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสถานที่ชุมชน
ฉินเฟิงขับรถมุ่งไปยังพื้นที่บ้านของโจวฮ่าว เมื่อโจวฮ่าวได้ยินข่าว เขาก็แทบอดใจรอไม่ไหว รีบวิ่งลงบันไดมา
“เพ้ย!” ฉินเฟิงหัวเราะ “โจวฮ่าว นายคงจะไม่ไปทั้งๆแบบนี้จริงๆหรอกนะใช่ไหม?”
โจวฮ่าวในเวลานี้กำลังสวมใส่ชุดต่อสู้
ในยุคที่ความแข็งแกร่งเป็นที่สุด การประเมินสถานะที่แท้จริงมิใช่อยู่กับชุดสูทหรือรองเท้า หากแต่เป็นชุดอุปกรณ์ต่อสู้
มันคือยุคที่หากเป็นไปได้ คงจะมีผู้คนจำนวนมากออกมาเดินเล่นในชุดรูนสีทอง -แค่คิดว่ามีการดำรงอยู่เช่นนั้น ก็ชวนให้รู้สึกอิจฉาซะไม่มี
“สภาพนี้แล้วมันยังไง? ฉันหล่อมั้ยล่ะ มันคือชุดที่พ่อฉันสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อฉลองในการปลุกพลังวรยุทธโบราณของฉันเชียวนะ ฮะฮ่า!”
โจวฮ่าวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ชุดนี้ได้ถูกซื้อมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว แต่โจวฮ่าวไม่มีจังหวะที่จะสวมใส่มัน ดังนั้นในวันนี้เขาจึงแกล้งสวมมันเพื่อจงใจให้สร้างภาพ
“เออๆ หล่อก็หล่อ!” ฉินเฟิงส่ายหัว มองเขาอย่างไร้หนทาง
ทว่าเมื่อโจวฮ่าวก้มลงมองการแต่งตัวของฉินเฟิง เขาก็ต้องขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ฉินเฟิง ไม่ใช่ว่านายเพิ่งจะซื้อรถศึกราคา 8 ล้านมาหรอกหรอ? ทำไมนายถึงยังไม่เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าใหม่อีก ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้นายเองก็เคยมีชุดต่อสู้อยู่ชุดนึงหนิ!”
ชุดต่อสู้ที่โจวฮ่าวเคยเห็น เพียงมองปราดเดียว เขาก็รู้ว่ามันแพง ไหนจะเรื่องที่ฉินเฟิงสามารถเก็บผลศักยภาพมาได้อีก ดังนั้นสหายคนนี้ของเขาก็ไม่น่าจะขาดเหลืออะไรเรื่องเงิน
“ช่างมันเถอะน่า นี่มันงานปาร์ตี้คืนสู่เหย้าไม่ใช่หรอ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดให้เหมือนกับกำลังจะไปปีนเขาหรอก!”
“แต่ถ้าแต่งแบบนี้ไป คนอื่นจะดูถูกนายนะ!”
“ก็ลองให้พวกเขากล้าดูถูกฉันดูซี่” ฉินเฟิงบดข้อมือดังแกร๊กๆ
หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ถูกนำตัวไปทดลองก่อนที่จะเกิดใหม่ ตัวฉินเฟิงเองก็ไม่ง่ายเลยนา ที่จะให้ใครมายั่วยุ
เขาคือคนที่ต้องเผชิญกับความจริงที่แสนโหดร้ายตั้งแต่ยังเล็ก ต้องทำตัวให้มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากเหตุผลที่เขาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ในสถาบันระดับกลางเอง เขาก็มีผลการเรียนที่ดี ฝีมือคลาสต่อสู้ก็เป็นอันดับต้นๆ ในแต่ละปี ล้วนเก่งกาจกว่านักเรียนธรรมดา
สถาพการณ์เช่นนี้ เลยส่งผลให้ไม่ว่าใครก็กริ่งเกรงเขา
เพราะแม้ว่าตัวเขาจะยากจน หากแต่อนาคตไร้ซึ่งขีดจำกัด
“อีกอย่าง ถึงฉันจะแต่งชุดแบบนี้ แต่ก็เป็นชุดที่เคยใช้ขับรถศึกมาแล้วนะ! มาเหอะ นายอยากจะลองขับมันไม่ใช่หรอ”
โจวฮ่าวพอได้ฟังก็แทบจะอดใจไม่ไหว วิ่งแซงฉินเฟิงไป และจับจองที่นั่งคนขับของรถในฝัน
ฉินเฟิงไม่ได้โกรธอะไร เขาเดินไปยังเบาะอีกฝั่ง นั่งลง ถอดเป้สะพายหลัง และวางมันลงบนตัก
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋ใช้เท้าถีบในกระเป๋าสองสามครั้ง ขยับตัวไปมา สุดท้ายพบท่วงท่าที่สบาย สำหรับนอนบนตักของฉินเฟิง
ฉินเฟิงตบกระเป๋าเป้ เพื่อปรามไม่ให้เสี่ยวไป๋เปิดเผยตัวตนออกมา
รถศึกเริ่มเปิดโหมดล่องเวหาโดยตรง จากนั้น มันก็เคลื่อนที่ออกจากย่านแออัดไปอย่างรวดเร็ว โจวฮ่าวเสพติดการขับมันอย่างรุนแรง
แต่หลังจากขับโหมดล่องเวหาไปเพียงสองช่วงถนน โจวฮ่าวก็ลดระดับรถลงบนพื้นดังเดิม
“พอดีกว่า ไม่ลอยฟ้าแล้ว ฉันละอดคิดไม่ได้จริงๆว่าคนอื่นจะมีสีหน้าทั้งอิจฉาและเกลียดชังขนาดไหนกัน พอได้เห็นว่านายขับมัน!” โจวฮ่าวส่ายหัวและกล่าว
ในความเป็นจริง โจวฮ่าวยังคงมีความกังวลบางอย่างอยู่ในจิตใจของเขา ที่ตนปิดโหมดล่องเวหาไป นั่นก็เพราะได้ยินมาว่าโหมดนี้ ใช้งานเพียงครั้งเดียวก็กินพลังงานมหาศาล เสียพลังงานเยอะก็เท่ากับเสียเงินเยอะ รถคันนี้ใช้งานง่ายก็จริง หากแต่สิ้นเปลืองมากเกินไป สำหรับโจวฮ่าว ขอเพียงมีช่วงเวลาที่ดี สนุกไปกับมันเท่านี้ก็พอแล้ว
แน่นอน ว่าแม้รถคันนี้จะขับอย่างสงบบนท้องถนน แต่มันก็ยังเป็นเป้าสายตาสำหรับผู้คนอยู่ดี
พออิ่มเอมไปกับช่วงเวลาดั่งห้วงฝัน โจวฮ่าวก็ขับรถมาถึงโรงแรมเจิ้งหยวนในที่สุด
ในความเป็นจริง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่มันเหมาะมากสำหรับงานปาร์ตี้คืนสู่เหย้าของนักเรียน ค่าใช้จ่ายของแต่ละคน ออกแค่ 100 เหรียญก็พอแล้ว
แน่นอนว่า 100 เหรียญสำหรับเด็กกำพร้าอย่างฉินเฟิงในอดีต มันคือการทำงานอย่างหนักเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมก่อนหน้านี้เฉินหมิงจึงพูดเหน็บแนมเขาเรื่องเงิน
ทันที่ที่โจวฮ่าวกับฉินเฟิงลงจากรถ ทั้งสองก็ถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียก
“ถ้าฉันจำไม่ผิด นายชื่อโจวฮ่าวใช่ไหม? นี่รถศึกของนายหรอ?”
คนที่เดินเข้ามา เป็นสาวสวยหน้าตาดี แต่ฉินเฟิงไม่สามารถจดจำชื่อของเธอได้เลยในความทรงจำ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาหนีห่างจากสถานที่ชุมชนไปนานหลายปี นอกเหนือไปจากเพื่อนร่วมชั้นที่มีปฏิสัมพันธ์จริงๆ เขาก็จดจำใครไม่ได้อีกแล้ว
“ไม่ใช่อยู่แล้ว แต่มันเป็นของ … ” โจวฮ่าวกำลังจะบอกว่ามันเป็นของฉินเฟิง แต่เมื่อเขาเห็นว่าฉินเฟิงกระพริบตาให้ เจ้าตัวก็เปลี่ยนประโยคท้ายอย่างรวดเร็ว “มันเป็นของเพื่อนฉันเอง ยอดไปเลยใช่ไหม!”
ความประหลาดใจน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวสวย แต่เจ้าตัวก็ยังเอ่ยชมว่า “เพื่อนของนายคงจะเป็นคนดีมากทีเดียว การที่เขาให้นายยืมรถแบบนี้ได้ พวกนายต้องสนิทกันมากแน่ๆ”
การรู้จักเพื่อนแบบนี้ กล่าวได้เลยว่าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวมันคงได้รับการช่วยเหลือ และแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอรู้ว่าเพื่อนที่โจวฮ่าวบอกคือฉินเฟิง สาวสวยคนนี้คงใบ้รับประทาน!
ไหนๆก็ทักทายกันแล้ว ทั้งสามเลยเดินเข้าไปในโรงแรมด้วยกัน ในช่วงเวลานี้ นักเรียนส่วนใหญ่เองก็มาถึงกันแล้ว