โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 402
2/5
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.402 – สุริยุปราคา
แต่ในตอนนั้นเอง สายตาของเล่ยหยิงพลันหันไปเห็นอีกคนหนึ่ง
ร่างกายสูงใหญ่ โครงหน้าคมคาย สีหน้าสงบเยือกเย็น ให้ความรู้สึกไม่สมวัย
“ฉินเฟิง!”
เล่ยหยิงรู้สึกพะอืดพะอม ราวกับเพิ่งยัดหมากลืนลงไปทั้งตัว
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ว่าก่อนหน้านี้มิได้รู้สึกไปเอง ฉินเฟิงวิ่งแซงพวกเขามาตั้งแต่เมื่อครึ่งวันก่อน!
สีหน้าของเล่ยหยิงด้านชา ไม่รู้จะสรรหาคำใดสบถออกมาดี
มุมปากของฉินเฟิงยิ้มเยาะ เอ่ยปากกล่าว “อ้าว นั่นประธานเล่ยมิใช่หรือ? ช่างบังเอิญซะจริง”
หางตาของเล่ยหยิงกระตุก
ช่างบังเอิญ? บังเอิญผายลมแกสิ!
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ แววตาของอีกคนหนึ่งที่เล่ยหยิงนำมากลับสาดประกายสดใส
“ฮ่าฮ่าฮ่า แบบนี้ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา!” เสียงของฮั่นเฉิงหมิงที่อัดแน่นไปด้วยกำลังภายใน กระจายเข้าสู่หูของทุกคน
“เขาคือฉินเฟิง? งั้นก็เหมาะเลย พวกเรารวดปล้นเกาหยูคัง แล้วฆ่าฉินเฟิงเลยสิ ยังไงเลเวล C ทางฝั่งเราก็มากกว่าอยู่แล้ว” เล่ายี่กล่าวในทำนองเดียวกัน
หวังเจี้ยนมิได้เอ่ยคำใด แต่สายตาตรึงลงบนร่างฉินเฟิง แสดงความตั้งใจว่าจะโจมตีเช่นกัน
ส่วนหลิวเป่ย เขาเอ่ยคำเดียวเท่านั้น “ฆ่า!”
เขาคือคนขององค์กรมืด มีนิสัยโหดเหี้ยม มิเกี่ยวข้องอันใดกับพันธมิตรมนุษยชาติ เปรียบดั่งวลีเท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า สามารถระเบิดความบ้าคลั่งป่าเถื่อนออกมาได้อย่างเต็มที่ มิต้องยั้งคิด
คนอื่นจะวางแผนอย่างไร หลิวเป่ยไม่เก็บมันมาใส่หัว
“เกาหยูคัง! ปล่อยมือจักรพรรดิสัตว์ร้ายซะ!” ฮั่นเฉิงหมิงตะโกน ปราณกำลังภายในปกคลุมทั้งร่าง ทะยานตรงเข้าหาทิศทางของเกาหยูคัง
แม้จะแสดงให้เห็นแบบนั้น แต่จริงๆแล้ว เป้าหมายของเขา คือฉินเฟิง
เล่ายี่ และหวังเจี้ยนก็เช่นกัน
สีหน้าของเล่ยหยิงหม่นทะมึน แม้ในหัวใจจะฟุ้งไปด้วยความระแวงระคนหวาดกลัว แต่ความปรารถนาสังหารมีมากยิ่งกว่า
เล่ยหยิงอ้าปากคำรน “รับมือ!”
ในความคิดของเล่ยหยิง ฉินเฟิงอย่างไรย่อมไม่มีทางรอดชีวิต!
ทว่าในหัวใจของเขา ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ถึงมีลางสังหรณ์บางอย่างผุดออกมาตลอดเวลา
–ว่าฉินเฟิงอาจไม่ตาย!
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำเล่ยหยิง ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล C ทั้งสี่พลันใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา ทะยานตรงเข้าหาฉินเฟิงทันที
ในจังหวะนั้นเอง ร่างอรชรร่างหนึ่ง ก้าวสะอึกเข้ามาขวางเบื้องหน้าฉินเฟิง
เป็นไป๋หลี!
เพี๊ยะ!
เสียงแส้สะบัดดังกระจ่างชัด แส้สีเงินในมือไป๋หลี ฟาดไปยังทิศทางของหลิวเป่ยและคนอื่นๆ
รังสีแสงสีเงินเปล่งประกาย ปกคลุมกินรัศมีกว่า 100 เมตร
ชั้นรอยแยกมิติผุดออกจากอากาศที่บางเบา ราวกับปากดำขนาดมหึมา ที่พร้อมกัดกินเนื้อของผู้คน
“ระวัง! นั่นคืออบิลิตี้มิติ”
เล่ยหยิงส่งเสียงร้องเตือน
คนเราหากออกรบ มิเพียงรู้จักตนเอง แต่ต้องรู้จักศัตรูด้วย อย่างที่ผู้คนมักจะกล่าวกัน ว่าคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเรามากที่สุด ก็คือศัตรูที่คอยจับผิดเรา
ความเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ครั้งก่อนยังไม่จางหาย แต่การที่เล่ยหยิงตัดสินใจออกมาในครั้งนี้ นั่นเพราะเขาศึกษาข้อมูลมาดีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของไป๋หลี
เธอเฉือนเนื้อแขนของเขา แม้ภายหลังเล่ยหยิงจะหาสมบัติฟ้าดินที่มีประสิทธิภาพมาใช้รักษาแขนตนแล้วก็ตาม แต่ราคาที่ต้องจ่ายไป มันไม่น้อยเลย!
สำหรับศัตรูร้ายกาจเช่นนี้ เล่ยหยิงจะไม่ให้ความสำคัญได้อย่างไร
แน่นอน เขาคิดว่าอบิลิตี้ที่ถูกใช้ออกมาโดยไป๋หลี ทั้งหมดเกิดขึ้นจากแส้ในมือเธอ อาวุธพิเศษเช่นนี้ ใครได้เห็นก็ย่อมเกิดความละโมบ
ทั้งสี่คนพอได้ฟัง แววตาของพวกเขาสั่นไหว จากนั้นปลดปล่อยกำลังภายในสู่ภายนอก ขับไล่รอยแยกมิติเหล่านี้ออกไป
พลังงานอันทรงประสิทธิภาพหลอมรวมกันในอากาศ แต่ทุกสิ่งย่อมมีราคา ใช้อย่างหนึ่ง อีกอย่างก็ต้องถูกดึงพลังไป ส่งผลให้ความเร็วของพวกเขาลดฮวบลง
ระหว่างที่สมาธิของทั้งหมดกำลังข่มอบิลิตี้มิติ ไป๋หลีแน่นอนไม่ยินยอมรับชมอยู่เฉย
“รอยแยกมิติ!”
ไป๋หลีสะบัดแส้ ใช้อบิลิตี้อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงวาดมือ ปลดปล่อยเส้นแสงสีดำออกไป
“ลำแสงแห่งความมืด!”
สี่เส้นแสงปะทุออกมาเป็นทางตรง พุ่งไปยังร่างทั้งสี่
ในพริบตา ปราณกำลังภายในของพวกเขา ราวกับถูกกัดกร่อน หลอมละลายลงอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันอบิลิตี้มืด!”
เล่ยหยิงร้องอุทานอีกครั้ง
ก่อนเล่ยเต๋าจะตาย เล่ยหยิงเคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอบิลิตี้มืดจากเขามาก่อนบ้าง
พอตอนนี้ เมื่อเห็นฉินเฟิงปลดปล่อยอบิลิตี้มืดออกมา เขาตะลึงไปโดยสมบูรณ์
นี่มันกี่ครั้งแล้วกันหนอ ที่ฉินเฟิงสร้างความประหลาดใจแก่เล่ยหยิง
ฉินเฟิงยังมีไพ่ในมือ เก็บงำไว้อีกกี่ใบกันแน่!
ทั้งสองฝ่ายเข้าตะลุมบอลกัน
ฉินเฟิงกับไป๋หลี เสริมด้วยการสนับสนุนจากเจิ้งเฉียน สมาชิกกองกำลังของเกาหยูคัง แม้ปะทะกันในรูปแบบ 3 : 5 แต่กลับดูไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลย
ส่วนเกาหยูคัง เขายังคงต่อสู้กับจักรพรรดิสัตว์ร้าย มันเกือบจะพ่ายแพ้แล้ว ขอแค่โดนระเบิดโจมตีจังๆอีกสักครั้งเท่านั้น!
ทว่าในตอนนั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของทุกคนจู่ๆก็ส่งเสียงแจ้งเตือน สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ตรวจพบความผันผวนของมิติ มันกำลังจะปรากฏขึ้นในเร็วๆนี้”
“ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! คำเตือน กรุณาหลีกเลี่ยง กรุณาหลีกเลี่ยง”
“ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! แจ้งเตือนความอันตรายระดับ A! โปรดรีบอพยพทันที!”
ฝูงชนต่างตกตะลึง
ต่อมา ทุกคนพลันสัมผัสได้ถึงท้องฟ้าที่มืดสลัวลง แสงอาทิตย์ถูกบดบังโดยบางสิ่งบางอย่าง จนไม่อาจส่องลงมา
ทั้งหมดต่างเงยหน้าขึ้น
เห็นแค่เพียงวงกลมสีดำ บดบังดวงอาทิตย์
“รอยแยกมิติ!!”
“ไม่ใช่ มันคือช่องว่างมิติต่างหาก!”
นี่มิใช่รอยแยกมิติเล็กจ้อยแต่อย่างใด มันใหญ่โตเป็นอย่างมาก ราวกับหลุมดำแห่งความหวาดกลัวที่เพิ่งกลืนกินดวงอาทิตย์ไป
ฉากนี้ ไม่แตกต่างไปจากสุริยุปราคา
ทุกท่านคงสามารถจิตนาการได้ว่าช่องว่างมิตินี้ใหญ่แค่ไหน
จากนั้น ภายในช่องว่างมิติที่เชื่อมต่อกับโลกอื่น ก็เริ่มผุดบางสิ่งออกมา
และรูปลักษณ์ของมัน เหมือนจะเป็นทรงกรวยคว่ำ
“นั่นมันบ้าอะไร?”
ทุกคนตะลึงอ้าปากค้าง
มีเพียงฉินเฟิงที่หัวใจกระตุกวูบ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงคือผู้ที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ดังนั้นเหตุการณ์สำคัญทั้งหมด เขาย่อมรู้!
ในปีนี้ พวก ‘กริม’ เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก เดินทางผ่านช่องว่างมิติโดยเมืองลอยฟ้ามายังโลกมนุษย์ และเผ่าพันธุ์ของพวกมันมีนับ 100,000 ตัว!
เผ่ากริมครอบครองเทคโนโลยีขั้นสูง ผสานไปกับความแข็งแกร่งของมัน สถานชุมชนหลงฉวนที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากโดยพันธมิตรมนุษยชาติจึงถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
ป้อมปราการถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง เมืองหลงฉวนลุกเป็นไฟ หลายร้อยเลเวล C ต้องจบชีวิตลง
ส่วนเลเวล B ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 คน
และในบรรดาเลเวล C ที่ตายไป มีเกาหยูคังรวมอยู่ด้วย!
เพราะครอบครองความทรงจำนี้ ฉินเฟิงจึงต้องมาตามตัวเกาหยูคัง เพื่อฉุดดึงเขาให้หลุดพ้นจากความตาย
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนกำหนด!
อันที่จริงฉินเฟิงสัมผัสได้จางๆถึงความผันผวนของมันแล้ว แต่นั่นเพราะไป๋หลีอยู่ที่นี่ และเพิ่งใช้อบิลิตี้มิติไป ดังนั้นเขาเลยคิดว่าสัมผัสนี้เกิดจากเธอ
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่คิดอธิบายเรื่องราวเหล่านี้แก่ใคร
ปัจจุบัน ความคิดเดียวในสมองของเขาก็คือ–
–หนี!
“ไป๋หลี พอแล้ว รีบหนีเร็วเข้า!”
ฉินเฟิงร้องตะโกนคำหนึ่ง ไป๋หลีที่ยังสู้กับฮั่นเฉิงหมิงและคนอื่นๆ ดีดตัวปลีกออกมาทันที ไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้
“ผู้การรัฐเกา รีบหนีกันเร็วเข้า!”
ฉินเฟิงร้องเตือน
เห็นแค่เพียงเกาหยูคังที่เร่งสู้สุดกำลัง “คุณไปก่อนเลย ฉันจะตามไปทีหลัง!”
เกาหยูคังยังคงให้ความสำคัญจักรพรรดิสัตว์ร้ายใกล้ตายตนนี้ หากหนีไป ไม่เท่ากับเขาเสียเวลาเปล่าหรอกหรือ?
เขามาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อจับจักรพรรดิสัตว์ร้ายรึไง?
จักรพรรดิสัตว์ร้ายตนหนึ่ง หากสังหารได้ วัตถุดิบของมันมีมูลค่าหลายแสนล้าน ดังนั้นเขาไม่ยินดียอมตัดใจ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ สองมือที่วูบไหวของเกาหยูคังก็ยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น
“พวกเราก็จะไม่ไปเหมือนกัน”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเกาหยูคังกล่าว “ลูกพี่เกา ให้พวกเราช่วยเอง คุณจะได้จบการต่อสู้เร็วขึ้น”
“ประเสริฐ! มาร่วมมือกัน!”
ใบหน้าของฉินเฟิงแทบจะกลายเป็นบิดเบี้ยว
“ยังจะสู้อะไรอีก อยากจะตายกันหมดรึไง!!”