โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 488 - มุ่งหน้าสู่เป่ยหัว
ตอนพิเศษ แถมตามคำขอ
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.488 – มุ่งหน้าสู่เป่ยหัว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคิดเช่นนั้น แต่เมื่อได้เห็นรางวัลที่ฉินเฟิงมอบให้กับผู้ที่สามารถผ่านการคัดเลือกทั้งสิบ ทั้งหมดก็หุบปากเงียบ
แต่หากอยากให้พูดอย่างถูกต้อง ฉินเฟิงให้แค่เก้าคน เพราะตัวเขาเองไม่ต้องการ
รางวัลที่เขามอบให้ มันมากจนทุกคนต้องปิดปากเงียบ เป็นเม็ดเงินกว่า 500 ล้านเหรียญต่อคน ทั้งยังอนุญาตให้เข้าถึงระบบแลกเปลี่ยนภายในเมืองเฟิงหลี สามารถใช้เงินแลกเปลี่ยนกับแก่นอบิลิตี้สัตว์ร้ายได้โดยตรง
และเงิน 500 ล้านเหรียญ มันคือจำนวนพอดิบพอดีที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนแก่นอบิลิตี้ราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล E
รางวัลนี้ กระทั่งในตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ ก็ยังถือว่าค่อนข้างสูง
และสำหรับอัจฉริยะจากสี่เมืองทะเลเหนือ มันไม่ต่างจากเนื้อหวานฉ่ำร่วงจากฟ้า โชคหล่นทับอย่างแท้จริง
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าสิ่งดีๆแบบนี้ จะมาตกอยู่กับตนเอง
บางคนใช้เงินแลกเปลี่ยนกับแก่นราชันย์สัตว์ร้าย , บางคนแลกเปลี่ยนกระบวนท่าวรยุทธจากสุสานเทพสงคราม เช่น ระดับสามของเทคนิคเหิงหลง ฯลฯ
แม้การที่ฉินเฟิงตัดสินใจเข้าร่วมการประลองมันจะดูไม่ดี แต่ต้องขอบอกว่า รางวัลที่เขามอบให้ มันกลบทุกคำครหาไปสิ้น
“มีผู้การรัฐใจป้ำแบบนี้ ช่างเป็นโชคดีของพวกเราซะจริง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสิ ฉันยังจำได้อยู่เลย ว่าเมื่อปีที่แล้ว รางวัลของผู้ผ่านการคัดเลือกเลเวล E แต่ละคน คือสมุนไพรวิญญาณหายากเลเวล E , เหรียญพลังงานนิดๆหน่อยๆ และวิชาฝึกฝนที่สามารถไปได้ถึงเลเวล D เท่านั้นเอง”
“รางวัลปีก่อน เทียบกับปีนี้ไม่ได้เลย”
อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะในปีก่อนๆ เป็นตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณที่มักได้รับส่วนแบ่งรางวัลไป ดังนั้นเกาหยูคังเลยไม่สนใจที่จะมอบรางวัล ทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนใจกว้าง และเลือกโยนภาระนี้ ให้แก่ทางผู้นำสี่เมืองทะเลเหนือเป็นคนจัดการ
ทว่าในครั้งนี้ ฉินเฟิงเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง รางวัลที่ตัวเขาในฐานะเลเวล C กับรางวัลของผู้นำสี่เมืองทะเลเหนือในเลเวล D ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา
และหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เกรงว่ากระทั่งอัจฉริยะจากสี่เมืองก่อนหน้า อาจมาขอเข้าร่วมกับเมืองเฟิงหลี สามารถกล่าวได้ว่า กลยุทธ์ใช้ของรางวัลล่อใจ ทำให้ฉินเฟิงสามารถดึงดูดผู้มีพรสวรรค์ได้มากมาย
…
ภายในสุสานเทพสงคราม ฉินเฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าโจวฮ่าวกับจิ่นเฟย ช่วยให้คำแนะนำทั้งสอง
“ความแข็งแกร่งในเลเวล E ยังไม่เพียงพอ พวกนายต้องยกระดับให้เร็วที่สุด” ฉินเฟิงกล่าว
เลเวล E เป็นแค่จุดสตาร์ทเท่านั้น แต่ในงานประลองภูมิภาคทางตอนเหนือครั้งต่อไป มีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสูง และฉินเฟิงไม่ต้องการให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
“ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนงานประลองภาคเหนือจะเริ่มต้น ถ้าฉันพยายามฝึกฝนด้วยพลังทั้งหมดที่มี อาจยกระดับไปถึงเลเวล E3 ได้” โจวฮ่าวกล่าว
ส่วนจิ่นเฟยไม่ได้พูดอะไรมากมาย บอกตามตรง “ส่วนของฉันน่าจะไปถึงเลเวล E5 ได้”
อันที่จริงแล้ว การที่ทั้งสองสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ มันไม่ใช่เพราะเลเวล แต่เป็นเพราะกำลังเทียบตนเองกับสัตว์ประหลาดอย่างฉินเฟิง เลยทำให้แม้ตนเองจะวิวัฒได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่พอใจ เป็นผลให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาถดถอยลง
การที่ต้นกล้าพยายามจะงอกขึ้นมาเร็วเกินไป ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการต่อสู้ของจิ่นเฟยกับโจวฮ่าว ก็ยังเป็นของจริง ความแข็งแกร่งทางกายภาพก็เช่นกัน
แต่เลเวลของทั้งสอง สำหรับฉินเฟิงในตอนนี้ ยังไงก็รู้สึกว่าไม่เพียงพอ
“ไม่ได้ อย่างน้อยต้องไปถึงเลเวล D ” ฉินเฟิงกล่าว
โจวฮ่าวกับจิ่นเฟยขมวดคิ้วพร้อมกัน
“ต่อให้ฉันปล่อยให้เสี่ยวหวงกลืนแก่นอบิลิตี้เลเวล D เข้าไป แล้วใช้เทคนิคถ่ายโอนพลัง มันก็ไม่สามารถช่วยให้ฉันไปถึงเลเวล D ได้อยู่ดี มันยากเกินไป”
ในเวลาแค่เดือนเดียว จากเลเวล E2 แต่ต้องขึ้นมาเหยียบเลเวล D ให้ได้ มันเกินไปจริงๆ
เพราะความจุของตันเถียนมันมีขีดจำกัด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสั่งสม ไม่ต้องกล่าวถึง เลเวล D ที่เป็นขอบเขตใหญ่ มันคือระดับที่กำลังภายในของผู้ใช้วรยุทธโบราณเกิดการเปลี่ยนแปลง จากกำลังภายในรูปแบบแก๊ส เปลี่ยนเป็นรูปแบบของเหลว
ช่องว่างมันกว้างเกินไป!
มันคือขอบเขตที่ผู้ใช้วรยุทธโบราณบางคน ไม่อาจสามารถตัดผ่านได้ชั่วชีวิต หากพลาดพลั้งยังทำให้ความเร็วในการฝึกฝนถดถอย
มันเป็นสิ่งที่ยากจะก้าวข้ามอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของจิ่นเฟยกลับเปล่งประกายสดใส และกล่าว “ท่านประธาน การที่คุณบอกพวกเราแบบนี้ แสดงว่าเตรียมอะไรไว้ให้พวกเราใช่ไหม”
“นายเตรียมอะไรไว้ให้ฉัน?” โจวฮ่าวไม่รู้เรื่อง
ฉินเฟิงพยักหน้า “เดาได้ถูกต้อง ฉันได้เตรียมชีพจรธรณีเอาไว้ให้แล้ว มันจะช่วยให้ตันเถียนของพวกนายกว้างขึ้น และนั่นหมายถึงการยกระดับที่รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น”
เขาตั้งใจจะแบ่งผลึกชีพจรธรณีให้แก่โจวฮ่าวกับจิ่นเฟย จึงแยกบางส่วนนำไปเก็บไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะเจ้าสิ่งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบมันให้แก่ทุกคน ดังนั้นหลังจากการเก็บเกี่ยวในภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่นาน เมื่อกลับมา ฉินเฟิงก็ไม่คิดคุยเรื่องนี้กับกองทหารรับจ้าง
ในขณะที่โกวก๋วน , โกวซ่ง และจิ่นเฟยต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี แต่เลือกปิดปากเงียบ
จิ่นเฟยเฝ้ารอมานาน และเขาตระหนักดีว่าตนจำเป็นต้องสร้างผลงาน เพื่อให้ได้รับมันมา
และงานประลองในครั้งนี้ คือผลงานของเขา ฉินเฟิงเลยมอบรางวัลให้!
“ขอบพระคุณท่านประธาน!” จิ่นเฟยตื่นเต้นมาก
“ผลึกชีพจรธรณีงั้นหรอ? เจ้าสิ่งนี้ ใช่อันเดียวกับที่กระทั่งผู้ใช้พลังเลเวล B ก็ยังก้าวเข้าไปแย่งชิง? นี่ … มันแพงเกินไป” โจวฮ่าวเกิดความลังเล
ฉินเฟิงตบไหล่เขาและกล่าว “งานประลองจากนี้ไป อาจต้องสู้เสี่ยงชีวิต เจ้าพวกนี้ฉันแค่หยิบสุ่มๆมันขึ้นมาจากในกองที่มี มันไม่ได้แพงอย่างที่นายคิดหรอก”
จิ่นเฟยกล่าวเสริมว่า “หากเป็นสมบัติชิ้นอื่น ท่านประธานอาจไม่มีจริงๆ แต่ในกรณีของผลึกชีพจรธรณี ท่านประธานมีเยอะชนิดที่ว่าถ้าคุณเห็นต้องตกใจ”
สนทนากันอีกเล็กน้อย ทั้งสองก็เข้าไปยังห้องสมบัติในสุสานเทพสงคราม ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นโกดังของฉินเฟิงไปแล้ว ทว่านั่นเก็บของไว้แค่ 1/10 ส่วนที่เหลือ ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่มิติของไป๋หลี
ฉินเฟิงมอบผลึกชีพจรธรณีขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลให้แก่จิ่นเฟยกับโจวฮ่าว เกรงว่าหลังจากทั้งสองดูดซับพลังงานจากเจ้าสิ่งนี้ ความแข็งแกร่งย่อมทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แน่นอน สถานที่ๆพวกเขาฝึกฝนได้ มีแค่บนเรือเหาะเท่านั้น
หลังจากพักผ่อนหนึ่งวัน ฉินเฟิงก็ออกเดินทางไปพร้อมกับคนอื่นๆ
แม้เรือเหาะจะไม่ใหญ่โตเท่ากับเมืองลอยฟ้า แต่มันก็ยังสามารถข่มขวัญผู้คน และยิ่งเทียบกับฮอลศึกแล้ว ตัวเรือเหาะมีการสั่นสะเทือนน้อยกว่ามาก หรืออาจเรียกว่าแทบไม่กระเทือนเลยก็ได้
เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากเขตสี่เมืองทะเลเหนือ ทั้งหมดไปรวมตัวกันอยู่ที่หน้าต่าง ก้มลงมองไปยังทิวทัศน์ภายนอก เห็นกระทั่งเรือเหาะลำเล็กๆ หลายลำกำลังบินตามพวกเขา
เรือเหาะเหล่านี้คือคำสั่งซื้อที่ซูซิงฝูได้รับ เมื่อผลิตเสร็จสิ้น ก็ขับออกมาขาย
“โอ้สวรรค์ เรือเหาะพวกนี้ มันราคาเท่าไหร่กันเนี่ย? กลุ่มเฟิงหลี จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“ไม่แข็งแกร่งสิแปลก เพราะนี่คือกลุ่มของผู้การรัฐ ทรงอิทธิพลยิ่งกว่ากลุ่มต้าเฉิง , กลุ่มเล่ยถังเสียอีก”
“นั่นสิ มันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าฉันสามารถเข้าร่วมกับกลุ่มเฟิงหลีในอนาคต ถ้าได้ครอบครองเรือใหญ่แบบนี้ ฉันคงไปเที่ยวเตร่ อาละวาดในทุ่งล่าดั่งใจนึก”
หลายคนสนทนาด้วยความกระตือรือร้น
“เหอะ เจ้าพวกบ้านนอก!” รุ่นเยาว์จากตระกูลโหวส่งเสียงเย็นชาในลำคอ
“นายว่าใครบ้านนอก? นายเองก็เพิ่งเคยนั่งเรือเหาะเป็นครั้งแรกเหมือนกันนั่นแหละ!”
“ใช่ ใช่ อย่าพูดดีกว่า หรือถ้านายแน่จริง ก็ขับฮอลศึก แล้วไปเมืองเป่ยหัวด้วยตัวเองเลยสิ!”
“ใช่ ใช่ ลงจากเรือเหาะไปเลย!”
รุ่นเยาว์ตระกูลโหวหน้าตาแดงก่ำ แต่มิอาจหาคำใดมาหักล้างได้
ไอ้บ้าที่ไหนมันจะอยากไปนั่งฮอลศึกตอนนี้? เขาทำได้เพียงถลึงมองทั้งสี่กลับไปด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
สถานะของตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณในสี่เมืองทะเลเหนือตอนนี้ตกต่ำลงแล้ว ทุกคนล้วนเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะ ฉะนั้นจะไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่ารุ่นเยาว์ตระกูลโหวไม่ได้เอ่ยคำใด ตัวแทนจากทั้งสี่เมืองทะเลเหนือก็หันมาสนทนาเรื่องเมืองเป่ยหัวแทน
“เมืองเป่ยหัว ว่ากันว่ามีพื้นที่เทียบเท่ากับเมืองจริงๆก่อนยุคโลกาวินาศ ถ้านายขับรถศึกล่องเวหารุ่นธรรมดา จะต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงถึงจะสามารถวิ่งผ่านเมือง!”
“เมืองใหญ่แบบนี้ จะต้องคึกคัก และมีชีวิตชีวามากแน่ๆ”
“ใช่ และยังได้ยินมาว่าเจ้าเมืองเป็นจ้าวพรมแดนที่แข็งแกร่งมาก”
เมืองเป่ยหัว คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคเหนือ
และที่นี่ คือเมืองที่จ้าวพรมแดนซางฮันประจำการอยู่ มันคือศูนย์กลางของดินแดนทางตอนเหนือทั้งหมด
รอบชิงของงานประลองลูกรักของพระเจ้า จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน และก่อนหน้านั้น ฉินเฟิงในฐานะตัวแทนจากสี่เมืองทะเลเหนือ ต้องต่อสู้กับอัจฉริยะจากอีก 16 รัฐทางตอนเหนือ พวกเขาคืออัจฉริยะที่เป็นตัวแทนจากทั้ง 60 เมือง!
นี่เอง คือเหตุผลที่ต้องมุ่งหน้ามายังเมืองเป่ยหัว