โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 530
ผู้คนต่างคาดเดาไปต่างๆนาๆ แต่ผู้ถูกกล่าวถึงอย่างฉินเฟิง กลับไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ จมอยู่กับภารกิจของตนเอง
เป็นเพราะการสำรวจป่าหยวนในครั้งก่อนของฉินเฟิง พวกเขาได้สังหารราชันย์มังกรไฟ และทิ้งซากศพของมันที่ไม่อาจเก็บกู้ได้เอาไว้อีกฝั่งมิติ ส่งผลให้เป็นการดึงดูดสัตว์ร้ายเข้ามาล่วงหน้า แต่หลังจากนั้น เมื่อถึงระยะเวลารุกรานตามกำหนดเดิม ก็ยังมีกองทัพสัตว์ร้ายบุกเข้ามา
สุดท้าย การรุกรานของสัตว์ร้ายจากป่าหยวนในปีนี้ เลยกินเวลายืดยาวออกไป เป็นเวลายาวนานเกือบเดือน
ตลอดทั้งเดือนนี้ ฉินเฟิงควบคุมซากศพ เก็บยอดสังหารสัตว์ร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แต้มสงครามเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
จนภายหลัง เขาสามารถสังหารสัตว์ร้ายเลเวล B ได้มากกว่า 10,000 ตัว ส่วนสัตว์ร้ายเลเวล C กำจัดได้มากถึง 200,000 ตัว
บริเวณรอยแยกของป่าหยวน ปัจจุบันได้กลายเป็นโรงเชือดไปแล้ว ผืนดินดำเมี่ยมจากการแข็งตัวของลาวาในตอนแรก เวลานี้ ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานของเลือด
ซากศพยิ่งนานยิ่งกองพะเนิน ขณะเดียวกัน เทคนิคควบคุมศพมิอาจเชิดศพได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นเลยจำเป็นต้องมีการจัดเก็บสนามรบ
“สัตว์ร้ายตัวนี้ยังไม่มีใครมาเก็บกู้เลย เร่งมือเร็วเข้า!”
“ลากพวกมันออกไปก่อน อย่าอยู่ใกล้สนามรบให้มากนัก นายอยากตายรึไง?”
“เร่งมือเถอะ กลุ่มเรือเหาะกำลังจะมาอีกรอบแล้ว รีบจัดเตรียมสินค้า แล้วขนส่งขึ้นไป”
ไม่ไกลจากรอยแยกมิติป่าหยวน ปัจจุบันปรากฏเรือเหาะสามลำ เป็นเรือเหาะประเภทบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ภายในมีสายพานคอยลำเลียงเข้าสู่โกดังของเรือ คอยรับหน้าที่ขนส่งวัตถุดิบจากสัตว์ร้ายโดยฝีมือฉินเฟิงในครั้งนี้
จริงอยู่ว่าพื้นที่มิติของไป๋หลีกว้างขวาง ไร้ที่สิ้นสุด แต่เรื่องนั้นมิอาจถูกเปิดเผยได้ ยิ่งไม่กว่านั้น วัตถุดิบเหล่านี้ จำเป็นต้องผ่านการประเมิน ฉินเฟิงจึงติดต่อซูซิงฝูให้ส่งผู้ใช้พลังเลเวล E จากกลุ่มเฟิงหลี และคนธรรมดาที่มีความสามารถในการประเมินวัตถุดิบจากสัตว์ร้ายมา
“โฮกกกก!”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราด ของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ ดังสะท้อนออกมาจากรอยแยกมิติ
พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกเร่งเร้า กองทัพศพสัตว์ร้ายเลเวล B ตราทัพไปเบื้องหน้า กดดันสังหารสัตว์ยักษ์ที่เพิ่งโผล่มา สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ครอบครองแขนไม่ต่างจากใบมีด ออกมาได้ไม่ทันไร ไม่มีเวลาได้มองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยซ้ำ ก็ต้องจบชีวิตลงซะแล้ว
ฉากนี้ ไม่ต่างไปจากการส่งมอบเนื้อแกะ ให้แก่คนขายเนื้อ
“นี่ก็วันที่ 14 แล้ว ดูจากความถี่ที่ลดลง การรุกรานจากป่าหยวนควรจะจบลงแล้ว” โกวก๋วนพูดต่อหน้าฉินเฟิงด้วยความนอบน้อม
ฉินเฟิงพยักหน้า “ใช่ ถือว่าโชคดีจริงๆ มิฉะนั้น งานประลองลูกรักของพระเจ้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมคงไปเข้าร่วมไม่ทัน”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ฉินเฟิงกวาดตาลงบนอุปกรณ์สื่อสาร และกดรับสาย
ใบหน้าของซางฮันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
“ฉินเฟิง อีกครึ่งชั่วโมง โล่พลังงานจะถูกเปิดแล้ว ขอให้กลุ่มเรือเหาะของคุณ เร่งอพยพโดยด่วน”
“เข้าใจแล้ว ขอเวลาอีกสักพัก”
“อืม กะเวลาให้ดีด้วยล่ะ”
“รับทราบ”
ฉินเฟิงปิดอุปกรณ์สื่อสาร เฝ้ามองคนของเขาวิ่งวุ่นเก็บกู้วัตถุดิบสดใหม่ โดยไม่สนใจกองทัพหุ่นเชิดที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตาย เจ้าตัวเผยยิ้มออกมา
การรุกรานของกองทัพสัตว์ร้ายในครั้งนี้ ช่วยให้เขาได้รับเงินก้อนโต
“เตรียมยกเลิกการเก็บกู้ หลังจากแยกชิ้นส่วนสัตว์ร้ายตัวนี้เสร็จแล้ว ขอให้ทุกคนกลับขึ้นไปบนเรือเหาะทันที”
เสียงของฉินเฟิง ส่งผ่านกำลังภายใน ทำให้ผู้คนที่ทั้งอยู่ใกล้และไกล สามารถได้ยินมันทั้งหมด
“ขอรับท่านประธาน!”
เกือบทุกคนร้องขานรับเสียงดัง
แม้พวกเขาจะทราบ ว่าเสียงดังกล่าวนี้ ฉินเฟิงอาจไม่ได้ยินก็ตาม
แต่หลังจาก ถูกเรียกตัวมาทำการแยกส่วนสัตว์ร้าย และได้รับวัตถุดิบราคาแพงมากมาย พวกเขาก็บังเกิดความยำเกรง และเคารพเทิดทูนประธานหนุ่มคนนี้โดยไม่รู้ตัว
20 นาทีต่อมา สัตว์ยักษ์ตัวสุดท้ายก็ถูกแยกส่วนเสร็จสิ้น ฝูงชนต่างก้าวขึ้นสู่เรือเหาะ
ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่สัตว์ยักษ์ ก็ไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดออกมาจากรอยแยกมิติอีกเลย
ดูเหมือนการรุกรานของกองทัพสัตว์ร้ายจะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้ไปก็ถึงคราวนับเงินและผลงานในมือ
ฉินเฟิงมองไปยังกองทัพแห่งความตายที่ถูกควบคุมโดยเขาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน พลังสมาธิถูกเร่งเร้าอีกครั้ง
บังเกิดคลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็น กวาดตรงไปยังกองทัพซากศพ
กราว!
หุ่นเชิดสัตว์ร้ายเลเวล C8 เป็นตัวแรกที่สัมผัสกับคลื่นความผันผวนนี้ ร่างของมันพังทลาย สลายลงในคราวเดียว ยามตกถึงพื้น เนื้อเน่าเปื่อยยุ่ยกลายเป็นฝุ่นละออง ปลิวไปกับสายลม พลังงานที่คอยควบคุมมันหดหาย หลงเหลือเพียงเสียงกระดูกกระทบกับพื้น
กราว กราว กราว กราว!
กองทัพซากศพตนแล้วตนเล่า เริ่มพังทลาย สลายตามรายทางราวกับโดมิโน
ฉากนี้งดงามอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับกลายเป็นสุสานที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกอย่างแท้จริง
ฉินเฟิงวาดมือเข้าหาตัว เรียกแก่นพลังงานนับไม่ถ้วนที่ฝังรวมอยู่กับกองกระดูก ลอยเข้ามา
ศพสัตว์ร้ายเหล่านี้ถูกปนเปื้อนพลังงานมืด แต่พลังงานมิได้ถูกปลดปล่อยออกจากศพของพวกมัน แต่ไปรวมตัวกันในแก่นสัตว์ร้ายแทน
และเป็นแก่นสัตว์ร้ายนี่เอง ที่คอยทำหน้าที่ควบคุมซากศพ ทั้งยังเป็นวัตถุดิบชิ้นสุดท้าย ที่ยังเหลืออยู่ของพวกมัน ดังนั้นฉินเฟิงแน่นอนย่อมไม่คิดทิ้งไป
หลังจากรวบรวมได้ทั้ง 10,000 ก้อนแล้ว ฉินเฟิงก็ก้าวขึ้นสู่เรือเหาะ
“ออกเดินทางได้” ฉินเฟิงสั่งการ เวลานี้ โกวก๋วนถ่ายทอดคำสั่ง เรือเหาะยักษ์หลายลำเริ่มเดินเครื่อง
เนื่องจากเรือเหาะมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นแม้อยู่ห่างไกล ผู้คนก็สามารถมองเห็นได้
ซางฮันเฝ้ามองเรือเหาะเหล่านั้นบินตรงมา และเปล่งคำสั่งทิ้งท้าย
ขณะเดียวกัน เรือเหาะที่ลอยลำอยู่ในอากาศ สิ่งเดียวที่มองเห็นเบื้องหน้าพวกเขา คือกำแพงขนาดใหญ่ที่ทอดยาวออกไป
หลังจากการเร่งมือสร้างอย่างบ้าคลั่งตลอดทั้งเดือน กำแพงสูงร้อยเมตร รอบๆรอยแยกมิติป่าหยวน ก็ก่อสร้างจนเสร็จ และบนกำแพง เต็มไปด้วยอุปกรณ์ปลดปล่อยรังสีจำนวนมาก
ขณะนี้ เครื่องมือดังกล่าว กำลังปะทุออกมาพร้อมๆกัน ระเบิดพลังงานสีดำแพร่กระจายออกมา บดบังแสงมิให้เข้าถึง คล้ายกับกำลังสร้างพื้นที่ปิดทึบ ผนึกมันให้แยกตัวโดดเดี่ยวจากโลกภายนอก
ภายในป่าหยวน ท้องฟ้ากลายเป็นมืดสนิท พลังงานแห่งความมืดนับไม่ถ้วน กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
ซึ่งพลังงานแห่งความมืดเหล่านี้ จะทำหน้าที่ดูดซับพลังงานทั้งหมดภายในป่าหยวน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ , พืชพรรณ หรือสัตว์ร้าย พลังงานดังกล่าว จะค่อยๆเปลี่ยนพื้นที่แถบนี้ ให้กลายเป็นรกร้าง เช่นเดียวกับรอยแยกมิติในหุบเหวตอนเหนือ
เมื่อถึงเวลานั้น หากมีสัตว์ร้ายบุกเข้ามา มันจะเกิดความคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะอยู่อาศัย สุดท้ายตัดสินใจละทิ้งไป แต่กระบวนการดังกล่าว จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสิบปี , ยี่สิบปี หรือหลายร้อยปี
กว่าหุบเหวตอนเหนือจะสามารถเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ มันก็ใช้เวลานานเหมือนกัน
ฉินเฟิงยืนหยัดอยู่บนเรือเหาะ ก้มลงมองเบื้องล่าง เฝ้ามองรอยแยกมิติในป่าหยวนที่ถูกโถมทับด้วยความมืดมิด สีหน้าของเขากลายเป็นจริงจัง
นั่นเพราะรอยแยกมิติเช่นมัน ยังคงมีอยู่อีกมากมายบนโลกมนุษย์!
แล้วเมื่อไหร่กันหนอ ที่รอยแยกมิติทั้งหมดจะหายไป?
ฉินเฟิงขบคิด จิตสำนึกของเขาล่องลอยไปในความทรงจำครั้งอดีต สุดท้ายรู้แค่ว่า 10 ปีต่อจากนี้ ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตใหม่ของเขา ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมด มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหรอกหรือ?
…
เรือเหาะลอยลำพ้นกำแพงปิดล้อมป่าหยวน และนั่นหมายความว่าภารกิจที่ซางฮันมอบให้ฉินเฟิงเสร็จสมบูรณ์แล้ว ฉินเฟิงใช้แต้มสงครามที่ได้แลกเปลี่ยนกับศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิง นำมันออกจากคลังสมบัติของเมืองเป่ยหัว
ซึ่งนั่นนับเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ของเป่ยหัว!
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของซางฮัน หากสามารถแลกเปลี่ยนกับการได้เป็นมิตรกับฉินเฟิงแล้ว มันคุ้มค่ามาก
ตรงกันข้าม ตระกูลชุ่ยกลับไม่คิดในแง่ดีเช่นนั้น เพราะศิลาศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้ เป็นมรดกตกทอดของตระกูลพวกเขา มันถูกใช้ปลุกอบิลิตี้ให้แก่คนของตระกูลมาอย่างยาวนาน