โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 66
Ch.66 – โรคมืดระบาด
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.66 – โรคมืดระบาด
“อย่าเพิ่งโวยวายไป จริงๆแล้วเด็กคนนี้คือผู้ใช้พลังประเภทเปลี่ยนร่างชั้นสูง เรื่องอะไรแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ!” ฉินเฟิงเร่งกล่าว
ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของเสี่ยวเหลียน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอไม่ยินดีจะเชื่อในคำพูดของฉินเฟิง
ฉินเฟิงกล่าวย้ำ “ไม่ต้องพูดแล้ว อันที่จริงเรื่องนี้เธอไม่ควรรู้ด้วยซ้ำ ออกไปก่อนเถอะ!”
“เข้าใจแล้ว มิสเตอร์ฉิน!”
ในหัวใจของเสี่ยวเหลียน ‘มิสเตอร์ฉินนี่ช่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยความลึกลับจริงๆ’
เท่าที่ทราบ เธอรู้ว่าฉินเฟิงเป็นเพียงวัยรุ่นจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเพิ่งได้รับการปลุกพลังแค่ 1 เดือนเท่านั้น แต่ปัจจุบันเขากลับครอบครองความแข็งแกร่งอย่างมหาศาล แล้วไหนจะมีเด็กผู้หญิงประหลาดติดตามมาด้วยอีก แบบนี้ไม่ใช่หมายความว่าในอนาคตเขาอาจจะได้กลายเป็นสุดยอดผู้มากพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมหรอกหรือ?
ชั่วเวลานั้นเอง สมองของเสี่ยวเหลียนก็เริ่มปวดตุบๆ คล้ายกับมีข้อมูลมากมายเกินไปให้กลั่นกรอง ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงที่อยู่ในห้องลองชุดก็กำลังพบเจอกับปัญหาใหญ่
“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?” ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
เสี่ยวไป๋กล่าว “ก็สัตว์สองขานั่นหัวเราะเยาะหนู บอกว่าต้องหน้าอกโตเท่านั้นถึงจะปรนนิบัตินายท่านได้ แถมยังด่าว่าต่อให้ใส่ชุดพวกนี้ไป หนูก็ดูไม่สวยอยู่ดี!”
เสี่ยวไป๋ในเวลานี้ เรียนรู้ที่จะสวมใส่เสื้อผ้าด้วยตัวเองแล้ว ปัจจุบันมันสวมชุดคอวีทับบนร่างกาย เปิดเผยให้เห็นร่องลึกใจกลางสองเต้า ฉินเฟิงรู้สึกว่าจมูกของเขาเริ่มร้อน เจ้าตัวยกมือขึ้นปิดมัน เพื่อให้มั่นใจว่าเลือดกำเดาจะไม่ไหลออกมา
‘เมื่อกี้เสี่ยวเหลียนพูดอะไรออกมากันแน่นะ!?’
“หยุดได้แล้ว ตอนนี้ใบหน้าของแก มันไม่สมส่วนกับรูปร่าง อย่าไปฟังคนอื่น แล้วคล้อยตามง่ายๆสิ!”
หน้ายังเด็กประถม แต่นมมหาลัยแบบนี้ ฉินเฟิงจะไม่กังวลได้อย่างไร!
“อย่างงั้นหรอ? แต่หนูว่าแบบนี้ก็น่ารักดีนะ!”
เสี่ยวไป๋เริ่มแสดงสีหน้าออดอ้อนราวกับเด็กใจแตก
“เอาล่ะๆ ถ้างั้นก็ช่วยปรับขนาดให้เล็กลงอีกหน่อย”
“นี่ .. ก็ได้!” เสี่ยวไป๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ย่อขนาดหน้าอกลง
“เล็กลงกว่านี้อีก” ฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“งั้นประมาณนี้ล่ะ?”
ฉินเฟิงยื่นมือออกไป สัมผัสถึงขนาดของมัน และพยักหน้า “เอาล่ะ โอเคแล้ว”
เสี่ยวไป๋หันไปมองกระจก พลางสำรวจร่างกายตัวเองอย่างรอบคอบ
“อ๋อ แสดงว่าตอนแรกมันตู้มเกินไปหน่อยนี่เอง เข้าใจแล้ว!”
ฉินเฟิง “ … ”
จากนั้น ฉินเฟิงก็ซื้อชุดชั้นใน กับเสื้อผ้ามากมายสำหรับเสี่ยวไป๋ และแล้ว … การช็อปปิ้งที่แทบจะทำเอาหัวใจวายในหลายๆความหมายก็จบลง
“เสี่ยวเหลียนบอกว่าร่างของเธอเด็กเกินกว่าจะปรนนิบัติอย่างงั้นหรอ … อันที่จริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอก –เพ้ยยย!”
ฉินเฟิงระงับเลือดลมที่กำลังระอุ ตั้งแต่ที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเกิดความปรารถนาอื่นนอกจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเสี่ยวไป๋ เจ้าตัวก็เร่งสลายความคิดดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว
“มาเถอะ ฉันจะพาแกไปผ่านพิธีการ!”
ในเมื่อเสี่ยวไป๋สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ฉินเฟิงเลยก็ตั้งใจที่จะมอบสถานะจริงๆให้แก่มัน
และสถานะที่ว่านี้ สามารถช่วยมอบสถานะแก่มันได้อย่างง่ายดาย -ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เมื่อวานนี้ คำขู่ของพวกยามยังคงรบกวนใจของฉินเฟิง ดังนั้นฉินเฟิงเลยคิดว่ามันคงจะดีเหมือนกัน ถ้ากลับไปเยี่ยมเยือนสถานเลี้ยงเด็กอีกครั้ง
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ายังคงเต็มไปด้วยพวกเด็กๆ อย่างไรก็ตาม เขากลับพบว่าเด็กๆมีท่าทีไร้ชีวิตชีวา สีหน้าก็ดูหม่นเล็กน้อย
ฉินเฟิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เขาสับสนเล็กน้อย แต่พอเด็กๆเห็นฉินเฟิง พวกเขาก็เริ่มแสดงออกถึงความสุข เพราะมีหลายคนที่จำฉินเฟิงได้
“นั่นพี่ชายที่มาส่งเนื้อนี่นา!”
“พี่ชายฉิน!”
“สวัสดีพี่ชายฉิน!”
“สวัสดีทุกคน”
ฉินเฟิงดึงเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งมา และลองเอามืออังหน้าผากของอีกฝ่าย
“พวกเธอทุกคนกินเนื้อสัตว์กันหมดรึยัง?”
“ผมกินมันหมดแล้ว!”
“แล้วพวกเธอได้กินมันไปคนละกี่ชิ้น?”
เด็กชายที่เขาถามอายุเพียง 3-4 ขวบ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ดังนั้นนับประสาอะไรที่เด็กน้อยจะไปจำได้ว่าได้กินเนื้อสัตว์ลงไปกี่ชิ้น
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเด็กที่เข้ามามุงฉินเฟิง มีคนนึงที่เป็นเด็กโต เขาตอบว่า “พวกเรากินมันคนละสิบชิ้น หลังจากกินหมด ทุกคนก็แข็งแรงขึ้น!”
ฉินเฟิงบีบไหล่ของเด็กโต และพยักหน้าเห็นด้วย เด็กโตคนนี้มีความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจริงๆ ทว่าสีหน้าของเด็กโตก็ดูมืดหม่นเช่นกัน
“นายท่าน พวกเขาติดเชื้อจากโรคระบาดมืด!” เสี่ยวไป๋กล่าว
ฉินเฟิงได้ยินก็ชะงักไป
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและกล่าว “นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”
ก่อนที่เขาจะเกิดใหม่อีกครั้ง ฉินเฟิงไม่เคยพบเจอกับประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เขารู้เพียงว่าเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าติดเชื้อไวรัส รอดมาได้เพียง 1 จากใน 10 ทว่าในชีวิตนี้ ฉินเฟิงได้ดูดกลืนศิลานรกไปล่วงหน้าแล้ว แถมยังออกไล่ล่าสัตว์ร้ายที่ติดเชื้อไปจนหมดสิ้น แล้วนี่พวกเด็กๆยังติดเชื้อได้อย่างไร?
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่านะนายท่าน ตราบใดที่นายท่านกลืนกินรูนมืดเหล่านี้ โรคระบาดมืดก็จะหายไปเอง!” เสี่ยวไป๋กล่าว เนื่องจากมันได้รับสืดทอดภูมิปัญญาสัตว์ร้ายมา ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะทราบถึงเรื่องนี้
แม้เสี่ยวไป๋จะไม่เข้าใจเกี่ยวกับสามัญสำนึกของมนุษย์ ทว่าในเรื่องรูน ที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการศึกษา มันอาจจะเทียบเคียงไม่ได้เลยกับภูมิปัญญาที่เสี่ยวไป๋ได้รับสืบทอดมา!
ฉินเฟิงพอได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ เขาก็ปฏิบัติตาม ปลดปล่อยพลังพิเศษกลืนกินออกไป
เด็กๆเหล่านี้ไม่เข้าใจสิ่งที่ฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋พูด แต่ทั้งหมดต่างก็กำลังจ้องมองเสี่ยวไป๋ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่สาวสวยจัง เหมือนนางฟ้าเลย!”
เสีย่วไป๋เผยรอยยิ้มแย้มที่ก่อให้เกิดความพินาศล่มเมือง เด็กๆพลันเลิกสนใจฉินเฟิงผู้มอบเนื้อทันที
ระหว่างนั้น ฉินเฟิงก็ไม่ได้หยุดยั้งพลังดูดกลืนของเขา เริ่มซึมซับพลังงานจากบริเวณโดยรอบ
ทว่าคราวนี้ฉินเฟิงไม่ได้หลับตา แต่นั่นก็เพราะเขาไม่จำเป็นต้องมองเข้าไปข้างใน เพราะตอนนี้เขาสามารถมองเห็นรูนมืดนับไม่ถ้วนหลุดลอกออกมาจากร่างกายของเด็กๆ ทีละเล็กทีละน้อย แล้วไหลเข้าไปในจิตสำนึกของเขา
ใบหน้ายิ้มแย้มของเหล่าเด็กๆเริ่มปรากฏรอยเลือดฝาดขึ้น สีหน้ายินดีเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าการได้มองเสี่ยวไป๋ เป็นเหมือนกับการได้รับพรประทานจากแสงศักดิ์สิทธิ์ -ความอ่อนแอและความรู้สึกไม่สบายในร่างกายของพวกเด็กๆหายไปจนหมดสิ้น!
“ฟิ้ว!”
ความมืดมนบนใบหน้าของเด็กๆได้หายไปไม่มีหลงเหลือ ฉินเฟิงถอนหายใจโล่งอก ในเวลาเดียวกัน กลับเป็นสีหน้าของเขาเองที่หม่นทะมึนลง
นี่จะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ มิฉะนั้นเด็กๆจะติดเชื้อได้อย่างไร?
ฉินเฟิงตัดสินใจทันที ว่าหลังจากเสร็จธุระ เขาจะออกจากเมือง กลับไปดูในสถานที่ๆศิลานรกร่วงตกลงมาเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกครั้ง
“มาเถอะเสี่ยวไป๋”
ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋บอกลา พวกเด็กๆไม่ยอมที่จะจากกัน แต่สุดท้ายเขาก็หลุดจากวงล้อมมาได้ และมาถึงสำนักงานของผู้อำนวยการ
“ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เองฉินเฟิง!”
“สวัสดีครับผู้อำนวยการ”
ฉินเฟิงทักทายผู้อำนวยการ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี เขาก็รู้สึกวางใจ
“เอาล่ะ เอาล่ะ ว่าแต่สาวน้อยทรงเสน่ห์คนนี้คือใครกัน? อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนของเธอ!” หลินเต๋อหรงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเสี่ยวไป๋ แต่ก็อดแซวฉินเฟิงไม่ได้
“นี่ … ” ฉินเฟิงกำลังจะตอบปฏิเสธ แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าสถานะนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
เพราะทุกท่านคงไม่คิดจะให้เขาบอกผู้อำนวยการออกไปว่า เสี่ยวไป๋มีสถานะเป็นสัตว์เลี้ยงหรอกใช่ไหม?
และนี่เอง ก็จะทำให้เสี่ยวไป๋ไม่สามารถอ้าปากบอกคนอื่นๆได้ว่าฉินเฟิงเป็นนายท่านของมัน ในเวลาที่ทักทายกับคนอื่นๆ
ก็อย่างที่ทุกคนรู้ ว่าเสี่ยวไป๋น่ะปากไว คิดอะไรก็พูดมันออกมาตรงๆ
“อ่า ความจริงแล้วมันเป็นแบบนี้ครับผู้อำนวยการ ผมบังเอิญได้ไปพบเธอในทุ่งล่า อันที่จริงแล้วเธอเป็นผลงานทดลองขององค์กรต่อต้านมนุษยชาติ ไม่เชื่อคุณก็ลองดูนี่” ฉินเฟิงเปิดหมวกของเสี่ยวไป๋ออก เผยให้เห็นถึงคิ้วและผมยาวสีขาวที่สาดแสงสีเงินจางๆ
“ยังไงก็ตาม เธอไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของมนุษย์เลย ตอนนี้เธออาศัยอยู่กับผม ดังนั้นผมเลยพาเธอมา และกะว่าจะมอบสถานะมนุษย์ให้แก่เธอ หวังว่าผู้อำนวยการจะช่วยจัดการในเรื่องนี้”
นี่คือคำโกหกที่ฉินเฟิงได้กลั่นกรองมาก่อนแล้ว
ประโยคข้างต้น สามารถอธิบายเรื่องสีผมของเสี่ยวไป๋ได้อย่างสมบูรณ์ และในเรื่องที่เธอไม่มีสามัญสำนึกของมนุษย์
ดวงตาของเสี่ยวไป๋แสดงออกถึงความไร้เดียงสา เมื่อสบตากับชายชราตรงหน้า มันก็ย้อนนึกไปว่าเคยพบเจอกับหลินเต๋อหรงมาก่อน ในตอนที่มันหลบซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าสะพายหลัง