ไหปีศาจ - บทที่ 122 รสนิยมที่ตรงกัน
บทที่ 121 เนื้อย่าง
คำพูดของฉูจงฉวนจุดประกายอารมณ์ของเจิ้งซี
“เจ้าเองก็กำลังตามหาภูตทะเลทรายเหมือนกันงั้นเหรอ ? เจ้าเจอมันเจอรึยัง อย่าบอกนะว่าจับได้แล้ว งั้นข้าจะขอซื้อมันจากเจ้า จะเอาหินวิญญาณกี่ก้อน เสนอมาได้เลยห้าล้านก็ยังไหว”
ฉูจงฉวนพูดประโยคที่ทำให้เจิ้งซีมึนงง
เจิ้งซีรู้สึกตกใจมาก
เขากล้าเสนอหินวิญญาณ 5 ล้านก้อน เด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้มาจากไหนกัน?
เจิ้งซีส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ ไม่ ไม่ใช่ข้า เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเราได้พบกับคนเถื่อนที่มาจากภูเขาแห้งแล้งเขาบอกว่า เขาเองก็ต้องการตามหาภูตทะเลทราย”
ภูเขาแห้งแล้ง
มันเป็นประเทศอันเก่าแก่ทางตอนใต้ของทวีป
ความแข็งแกร่งทางการทหารของที่นั่นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชวงศ์มังกรเร้นกาย
ภูเขาแห้งแล้งเป็นประเทศที่สร้างขึ้นระหว่างภูเขาและป่าทึบ พวกเขาบูชาอำนาจแห่งอักขระและสักอักขระบนร่างกายโดยหวังให้เทพเจ้าคุ้มครอง
ภูเขาแห้งแล้งถูกแบ่งออกเป็นเผ่าต่าง ๆ นับไม่ถ้วนและจากหัวหน้าเผ่าทั้งหมด คนที่มีอำนาจและความฉลาดสูงสุดจะได้รับเลือกให้เป็นราชาผู้สั่งการทุกเผ่า
เมื่อพวกเขากล่าวถึงภูเขาแห้งแล้งวิถีชีวิตของพวกเขาเป็นแบบดั้งเดิมติดดิน หลายคนในราชวงศ์มังกรเร้นกายจึงคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่กลุ่มคนป่าเถื่อนที่ไร้อารยธรรม
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
เหมือนที่ระดับการพัฒนาอารยธรรมในพื้นที่หวงชาไม่ได้ด้อยไปกว่าราชวงศ์มังกรเร้นกาย ส่วนที่หรูหราและชีวิตที่ฟุ่มเฟือยของชนเผ่าที่มีอำนาจสูงสุดก็ดีพอ ๆ กับชนชั้นสูงในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ภูเขาแห้งแล้งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแผ่นดินใหญ่ในขณะที่ราชวงศ์มังกรเร้นกายตั้งอยู่ทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ ไม่มีจุดตัดระหว่างสองประเทศมากนักมีเพียงทะเลทรายอันกว้างใหญ่กั้นขวางระหว่างทั้งสองประเทศ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจากภูเขาแห้งแล้งจะปรากฏตัวในส่วนลึกของป่าหวงชา
“ก็นะ” ฉูจงฉวน รู้สึกผิดหวัง
ข่าวนี้ไม่มีค่าอะไรเลยนอกจากจะทำให้เขาได้รู้ว่ายังมีคู่แข่งรอชิงภูตทะเลทรายกับเขาเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
เจิ้งเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนเถื่อนคนนั้นบอกว่าเขาพบร่องรอยของภูตทะเลทรายและกำลังไล่ตามมันอยู่”
“ต้องรีบตามไปแล้ว!” ฉูจงฉวนตะโกน ดวงตาทั้งสองคู่นั้นสว่างขึ้นเล็กน้อย “น้องสาวผู้น่ารัก เจ้าพอจะรู้ไหมว่าคนเถื่อนคนนั้นกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหน?”
เจิ้งเว่ยหยิบแผนที่ของนางออกมาอย่างระมัดระวัง นางรู้สึกอายเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “นี่คือแผนที่ของข้า สถานที่ที่ทำเครื่องหมายไว้คือสถานที่ทั้งหมดที่ข้าเคยไปมา”
แผนที่ค่อนข้างหยาบ และการเขียนก็ยังดูเด็กมากเหมือนภาพศิลปะที่น่าเบื่อของเด็ก ๆ แต่เครื่องหมายบนนั้นดูชัดเจนมาก
มันมีสภาพแวดล้อมถูกบันทึกไว้มากกว่าสิบพื้นที่ รวมถึงสัตว์วิญญาณที่มีชีวิตอยู่แถบนั้น รวมถึงระยะทางโดยประมาณ
เจิ้งเว่ยหยิบปากกาออกมาขีดเส้นสีแดงบนแผนที่ “ทิศทางที่คนเถื่อนกำลังใช้อยู่น่าจะเป็นเช่นนี้”
เส้นสีแดงวิ่งผ่านพื้นที่สี่แห่งและมุ่งไปสู่พื้นที่ที่พวกเจิ้งซี ยังไม่เคยได้สำรวจ
แม้ว่าจะไม่ละเอียดมาก แต่อย่างน้อยฉูจงฉวนก็ได้รู้ว่าส่วนไหนที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านหรือเสี่ยงอันตราย
“ขอบคุณเจ้ามาก” ฉูจงฉวนหยิบแผนที่ไป
เจิ้งเว่ยเล่นผมสั้นของนางและดูมีความสุขมาก “ไม่เป็นไรหรอก ข้าชอบวาดรูปและแผนที่นี้มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากอยู่แล้ว”
ฉูจงฉวนคิดถึงเรื่องนี้และหยิบแหวนทองคำจากเอวของเขามอบให้กับเจิ้งเว่ย “น้องสาวข้ายกนี่ให้กับเจ้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ มันน่าจะแพงเกินไป” เจิ้งเว่ยส่ายหัวอย่างสั่น ๆ
ฉูจงฉวนยิ้มอย่างอ่อนโยนจับจมูกเล็ก ๆ ของเจิ้งเว่ย “เมื่อเสร็จธุระที่นี่แล้ว ข้าจะไปหาเจ้าทีหลังตกลงไหม?”
ใบหน้าของเจิ้งเว่ยแดงเล็กน้อย
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้!”
เสียงของชายสองคนดังขึ้นสองเสียง
คนหนึ่งคือเจิ้งซีและอีกคนคือลั่วอู๋
เจิ้งซีต้องการที่จะปกป้องน้องสาวของเขาและมองไปที่ฉูจงฉวนเหมือนกับมองไปที่ขโมย “ไม่เป็นไร แม้ว่าแหวนทองคำของเจ้าจะมีค่ามาก แต่พวกเราในสำนักงานผู้ว่าการมณฑลก็ไม่ได้ขัดสนอะไร ลาก่อน”
ลั่วอู๋ไม่ได้โกรธอะไรแต่ก็พูดถามว่า “เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอ นั่นมันเด็กผู้หญิงอายุเท่าไหร่เอง”
“แค่ก” ฉูจงฉวน หัวเราะอย่างเชื่องช้าเก็บแหวนทองกลับมาแล้วตบมือตัวเอง “ข้าขอโทษ ๆ ข้าชินไปหน่อยน่ะ ข้าชินไปหน่อย”
ชินไปหน่อย
พอเจอสาวสวยก็เลยมักจะอดใจไม่ไหว
ลั่วอู๋พูดไม่ออก
“ครั้งนี้ข้าติดหนี้เจ้า” เจิ้งซีพูดกับลั่วอู๋อย่างจริงจัง “แม้ว่าข้าจะเกลียดเจ้า แต่ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรในอนาคต ข้าก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่เจ้า”
หลังจากนั้นเจิ้งซีและพรรคพวกก็ออกเดินทางแยกกลับไป
คนทั้งสองแยกจากกัน เจิ้งซีและเจิ้งเว่ยตัดสินใจที่กลับไปก่อนและไม่ได้ผจญภัยเข้าไปในส่วนลึกของป่าหวงชาต่อ ในขณะที่ลั่วอู๋และกลุ่มของเขาเดินไปยังทิศทางของป่าหวงชา เพื่อเดินตามรอยของคนเถื่อนตามที่เขียนไว้ในแผนที่
เนื่องจากข้อมูลบนแผนที่ลั่วอู๋และพรรคพวกจึงได้รู้ล่วงหน้าว่าสภาพแวดล้อมที่พวกเขาจะเจอมีสภาพเป็นอย่างไรและจะต้องเจอกับสัตว์วิญญาณแบบไหนอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเดินผ่านหลายพื้นที่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีปัญหาอะไร
สามวันต่อมา
คณะเดินทางลั่วอู๋ก็ได้มาถึงขอบสุดของแผนที่
มันไม่ง่ายเลยที่จะเดินทางไปไกลกว่านี้ ยิ่งด้วยที่ว่าไม่มีแผนที่ใด ๆ เกี่ยวกับพื้นที่ข้างหน้าพวกเขา
เมื่อไปในระยะไกลฉูจงฉวนดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง เขาตื่นเต้นมากและรีบวิ่งออกไป
ลั่วอู๋และคนอื่น ๆ รีบตามไปให้ทัน พวกเขาพบฉูจงฉวนนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้นหยิบใบกระบองเพชรแห้งขึ้นมา 2 ใบด้วยความตื่นเต้น “ใช่เลย พวกเราเดินมาถูกทางแล้ว”
เนื่องจากฉูจงฉวนรู้สึกว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นถูกต้องเขาจึงเดินต่อไป
ผ่านไปอีกสามวัน
พวกเขาเดินทางผ่านพื้นที่มาอีกสองจุด
รอบนี้มีควันไฟปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
“มีใครบางคนอยู่แถวนี้!” ลั่วอู๋และพรรคพวกตื่นเต้นเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปหาควันนั้น
มีหินขนาดใหญ่กดลงบนไม้ที่ตายแล้วอยู่ตรงนั้น มีเงาขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้นั้นและมีคนกำลังนอนพักผ่อนอยู่ในเงา
ชายคนนี้ไม่ได้มีรูปร่างกำยำ เขาสวมเสื้อผ้าทอที่มีลักษณะเฉพาะของภูเขาแห้งแล้ง ข้างๆเขามีขวานขนาดใหญ่ มันเป็นขวานที่ดูใหญ่เกินจริงทำจากวัสดุที่พวกเขาไม่รู้จัก มันดูไม่ธรรมดาด้วยที่มันเปล่งแสงสีเงินอ่อน ๆ ออกมา
ถัดจากเขาเป็นชิ้นเนื้อที่ใหญ่กว่าตัวมนุษย์ผู้ชายราว ๆ ครึ่งหนึ่ง ซึ่งด้วยที่ว่ามันมืดมากจึงดูไม่ออกว่ามันคืออะไร
เมื่อเทียบกับรูปร่างของเขา ชายคนนั้นถือขวานขนาดใหญ่ที่ไม่เข้ากันกับรูปร่างของเขา เขาหั่นเนื้อชิ้นใหญ่แล้ววางลงบนกองไฟตรงหน้าเพื่อย่าง ขณะที่ย่างเนื้อเขาก็รดน้ำลงไปด้วย
ลั่วอู๋และคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นตรงกัน
ชายคนนี้น่าจะเป็นคนเถื่อนที่เจิ้งซีกล่าวถึงว่าเขามาจากภูเขาแห้งแล้ง
แค่มองดูสภาพของเขาก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมเขาถูกเรียกว่าคนเถื่อน
เสียงของเขาทุ้มและหนาเล็กน้อย
“สวัสดี เราแค่ผ่านทางมา” ลั่วอู๋หัวเราะและทักทาย
“โอ้” คนเถื่อนพยักหน้าแล้วพร้อมกับกินเนื้อย่างปริศนาของเขา
คนลั่วอู๋หยุดอยู่กับที่โดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรไปสักพัก
ตรงเข้าไปถามเกี่ยวกับภูตทะเลทรายเลยดีไหม?
“ ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่ เจ้าหิวงั้นเหรอ เจ้าอยากกินบ้างไหมล่ะ?” คนเถื่อนขยับตัวออกจากที่พักของเขาเพื่อหลีกทางให้ลั่วอู๋เข้าไปยังสถานที่ร่มรื่น
ถึงแม้เขาดูเหมือนจะไม่ใช่คนหัวดีแต่เขาก็เป็นคนคุยเก่ง
ฉูจงฉวนเดินตรงไปนั่งลงอย่างไร้มารยาท
คนเถื่อนตัดเนื้อย่างออกครึ่งหนึ่งแล้วส่งให้ลั่วอู๋ “ อย่าใส่ใจเลยน่า มันอร่อยมาก”
แม้ว่ามันจะแค่ครึ่งเดียวแต่มันก็ใหญ่ราว ๆ เจ็ดหรือแปดกิโลกรัม ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับลั่วอู๋
จากนั้นคนเถื่อนก็หั่นมันออกเป็นห้าชิ้น เพื่อแบ่งให้กับคนอื่น ๆ ที่มากับลั่วอู๋ด้วย ซึ่งตัวเขาเองแม้จะกินไปบ้างแล้วก็ยังคงหิว และเลียริมฝีปากของเขาพร้อมยกขวานเพื่อตัดเนื้อชิ้นใหญ่ออกมาอีก
“เขาเป็นคนที่เจริญอาหารมาก”
ความคิดแวบเข้ามาในหัวของลั่วอู๋
“ ข้าชื่อลั่วอู๋” ลั่วอู๋รีบแนะนำตัวก่อน
คนเถื่อนเช็ดคราบน้ำมันบนปากและแสยะยิ้ม “ข้าชื่อหยู่เฮาจากเผ่าเที่ยนหวู่”
นอกจากนี้เขายังเผยให้เห็นอักระรูปขวานบนแขนของเขา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะภูมิใจในรอยสักอักขระของเขาอันเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าของพวกเขามาก
ตอนนี้พวกเขาก็ได้รู้จักกันแล้ว
ลั่วอู๋กัดเนื้อย่างและก็พบว่ามันมีสัมผัสนุ่มเล็กน้อย เรียกได้ว่าอีกฝ่ายย่างมาได้ดี แต่ไฟน่าจะเบาไปหน่อย อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีการปรุงรสใด ๆ มันก็อร่อย
“เนื้อย่างของเจ้านี่อร่อยดีจริงๆ มันเป็นเนื้อแบบไหนกันเหรอ?” ลั่วอู๋ถามอย่างสงสัย
หยู่เฮากล่าวอย่างมีความสุขว่า“ มันเป็นเนื้อของไส้เดือนตัวใหญ่ มันแปลกมากที่ไส้เดือนตัวนี้แม้จะตัดเนื้อมันมากินยังไง มันก็งอกออกมาใหม่ได้เรื่อย ๆ ทำให้ได้กินเนื้อใหม่ไปเรื่อย ๆ คุ้มทุนจริง ๆ”
ทันใดนั้นใบหน้าของทุกคนก็แข็งทื่อในทันที
ใบหน้าของลั่วอู๋ซีดและเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของร่มเงา
เนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นนั้นเริ่มดิ้นและงอกออกมาใหม่
“อ้วกกกกกกกก”
ทุกคนเริ่มอาเจียนอย่างบ้าคลั่ง