ไหปีศาจ - บทที่ 162 สมาชิกในตระกูล
บทที่ 162
สมาชิกในตระกูล
หนึ่งเดือนต่อมา
หลังคาของศาลาไป่หยู่ทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมจนเสร็จสิ้น ซึ่งหลังจากได้รับการซ่อมแซมศาลาไป่หยู่ก็ได้มีความวิจิตรงดงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม
แต่ว่าผู้คนในเมืองแห่งความพินาศจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนที่แล้ว
สัตว์วิญญาณระดับเพชรมังกรกระดูกผี
มันเป็นสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากมาก มีคนจำนวนมากที่ไม่เคยได้มองเห็นสัตว์วิญญาณระดับนี้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา
หลายคนที่อ้างว่าพวกเขาเห็นมังกรตัวนั้นบินออกมาจากศาลาไป่หยู่ แต่ลั่วอู๋ก็เลือกปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับมัน
อย่างไรก็ตามภายในเดือนที่ผ่านมา ศาลาไป่หยู่ นั้นได้เปิดตัวยาชนิดใหม่
ยา เทียนหยวนหนิงลินซึ่งเป็นยาระดับ 7
สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความสนใจราวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในทันใด
ในเขตหวงชานั้นแค่ยาระดับ 5 ก็นับว่าเป็นยาระดับที่หาได้ยากมากแล้ว นับประสาอะไรกับยาระดับ 7
แม้ว่าเม็ดยาเทียนหยวนหนิงลินจะเป็นยาระดับ 7 แต่เป็นยาระดับสูงที่มีผลแย่ที่สุด เพราะผลของมันไม่ได้ดีไปกว่ายาระดับ 6 ที่มีคุณภาพสูงเท่าไหร่
แต่มันดีกว่ายาวู่ปินของหอคอยหวงชามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ศาลาไป่หยู่ขายนั้นมีราคาค่อนข้างถูกโดยมีราคาเพียง 1 พันหินวิญญาณ สำหรับน้ำอมฤตและเทียนหยวนหนิงลินหนึ่งเม็ดคู่กันไป
มันเป็นข้อเสนอที่ดี
แน่นอนว่ายอดขายคงไม่ได้ถล่มทลายมาก
เนื่องจากคงมีแค่ไม่กี่คนที่สามารถจ่ายในราคานี้ได้
แต่ลั่วอู๋ก็ไม่ได้สนใจ เพราะศาลาไป่หยู่ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนที่หากำไรจากผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว
อีกทั้งน้ำยาอมฤตและเทียนหยวนหนิงลิน ในราคานี้ก็ไม่ได้ถือว่าแพงเท่าไหร่
ลั่วอู๋นั้นใจกว้างมากพอที่จะใช้พวกมันเป็น “โบนัส” เสริมให้กับทีมคุ้มกันคมมีด ทำให้เหล่าพี่น้องของทีมคมมีดยิ่งพยายามกันอย่างหนัก เมื่อพวกเขาเห็นคนที่น่าสงสัย พวกเขาก็จะเข้าไปหาตรวจสอบคนเหล่านั้นในทันที อัตราการก่ออาชญากรรมในเมืองแห่งความพินาศทั้งเมืองจึงลดลงมาก
หลายคนได้ยินเกี่ยวกับค่าตอบแทนสำหรับทีมคุ้มกันคมมีด ทำให้พวกเขาโลภและต้องการเข้าร่วมทีม ซึ่งก็มีหลิวหูที่เข้มงวดมากในการคัดคนให้อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่ทีมคุ้มกันคมมีดได้สมาชิกใหม่เพิ่มมาสามคน
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ยินมาว่ามีพี่ชายสองคนในทีมคมมีดได้เลื่อนขั้นมิติวิญญาณกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะผ่านการเลื่อนขั้นมาได้ นับว่าเป็นข่าวที่ดี
และแล้ววันนี้แขกที่ไม่คาดคิดก็ได้มาที่ศาลาไป่หยู่
คนจากทางตระกูลลั่วนั่นเอง
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนพ่อบ้าน มีเคราทรงสามเหลี่ยมและมีผ้าโพกหัวสี่เหลี่ยมบนศีรษะ เขาถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือเสมอ ปิดปากและจมูก ดูเหมือนว่าเขาจะยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศของเขตหวงชาไม่ได้
เขาก้าวออกจากรถม้าและมองไปที่เหล่าผู้คนที่สัญจรไปมาด้วยความรังเกียจ จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นและพึมพำเสียงเบา “ช่างเป็นสถานที่ที่น่ากลัวยิ่งนัก สภาพแวดล้อมเลวร้าย แถมผู้คนที่นี่ยังคงแต่งตัวแปลก ๆ และหยาบกร้าน น่ารังเกียจจริงๆ”
ชายคนนั้นชื่อเสี่ยวเซียง เขาเป็นพ่อบ้านของตระกูลลั่ว
ตระกูลลั่วนั้นมีฐานะดี พวกเขาจึงมีคนรับใช้เป็นจำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็นหลายระดับ
ซึ่งระดับแรกจะถือเป็นพ่อบ้านที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลลั่ว ซึ่งมีสถานะในตระกูลสูงกว่านายน้อยรุ่นใหม่หลายคนเสียอีก
เสี่ยวเซียง ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นพ่อบ้านที่คอยดูแลธุรกิจของตระกูลลั่ว
เสี่ยวเซียงมองไปที่ศาลาไป่หยู่สาขาเมืองแห่งความพินาศ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “นี่มันใช่สาขาย่อยของศาลาไป่หยู่ในเขตหวงชาแน่เหรอ ทำไมมันถึงมีขนาดใหญ่ได้เท่านี้กัน?”
แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่เหมือนกับสำนักงานหลักที่เขตเมืองหลวง แต่มันก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าสาขาอื่น ๆ ในแต่ละมณฑล
“ข้าจำได้ว่าทางตระกูลไม่ได้จ่ายเงินสนับสนุนมาที่นี่เลยนี่นา” เสี่ยวเซียงได้แต่งงงวย
เสี่ยวเซียงเดินเข้าไปในร้านโดยไม่ได้สนใจมองไปรอบ ๆเลย เขาเดินตรงไปที่โต๊ะหลักและตบบัตรประจำตัวของตน “เรียกเจ้าของร้านของพวกเจ้าออกมา”
คนงานมองไปที่เขาและมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจในทันใด
คนของตระกูลลั่วมาถึงที่นี่แล้ว
“โปรดรอสักครู่” เสี่ยวชารีบไปหาเจ้าของร้านคนเก่าและลั่วอู๋
เจ้าของร้านคนเก่ามองแขกที่เข้ามาด้วยสายตาที่เต็มความอ่อนน้อมถ่อมตน“ พ่อบ้านเสี่ยว ข้าดีใจที่ได้พบท่าน”
“ดีมาก” เสี่ยวเซียง พยักหน้า
ในฐานะคนของตระกูลลั่ว เขายืดอกรับด้วยความภาคภูมิใจ
กลับกันลั่วอู๋ไม่ได้กล่าวทักทายเขาสักคำและนั่งลงเพื่อดื่มชาอย่างสบาย ๆ
เสี่ยวเซียงมองไปที่ลั่วอู๋และขมวดคิ้ว “ข้ารู้จักเจ้า เจ้าเป็นบุตรชายของตระกูลลั่วที่ถูกส่งมาที่นี่ เพื่อดูแลธุรกิจเจ้ามีชื่อว่าลั่วอู๋ใช่ไหม?”
“ใช่” ลั่วอู๋พูดอย่างเกียจคร้าน
เสี่ยวเซียงโกรธ เขาทำได้เพียงแค่ตะคอกอย่างเย็นชา
ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตามลั่วอู๋ยังคงถือเป็นสมาชิกของตระกูลลั่วเช่นกัน เขามีสายเลือดอันสูงส่ง แม้ว่าเขาจะเป็นขยะ แต่เขาก็ไม่ควรถูกทำให้อับอายขายหน้า
ในที่สุดเสี่ยวเซียงก็เริ่มอธิบายความตั้งใจของเขา “เมื่อไม่นานมานี้เราได้รับการชำระเงินส่วนแบ่งจากสาขาเขตหวงชา เป็นหินวิญญาณ 1 แสน อย่างไรก็ตามเราได้รับข่าวว่าธุรกิจของสาขาเขตหวงชานั้นดีขึ้นอย่างมาก และไม่น่าจะทำกำไรได้เพียงเล็กน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ตระกูลลั่วนั้นมีเครือข่ายข่าวกรองของตัวเอง
ซึ่งตามที่หน่วยข่าวกรองได้รายงานมา
ธุรกิจของศาลาไป่หยู่ในเขตหวงชานั้นดีขึ้นมาก
ทางตระกูลลั่วนั้นประหลาดใจ แต่ก็โกรธมากเช่นกันเมื่อได้รับรู้ว่าธุรกิจดีขึ้นมาก แต่กลับส่งส่วนแบ่งมาเป็นเพียง 1 แสนหินวิญญาณ ความหมายของการกระทำนี้คืออะไร?
แม้ว่าเสี่ยวเซียงจะมีการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าขนาดของศาลาไป่หยู่ในสาขาเขตหวงชาจะขยายใหญ่ได้ถึงขนาดนี้
ธุรกิจที่ดีมากขนาดนี้จะมีเงินหมุนเวียนเพียงแค่ระดับ 1 แสนหินวิญญาณได้ยังไงกัน? ธุรกิจในระดับนี้เป็นไปได้ที่จะมีเงินหมุนเวียนเป็นระดับล้านหินวิญญาณด้วยซ้ำ
เสี่ยวเซียงมีสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภ
เงินที่จ่ายให้ศาลาไป่หยู่ทั่วประเทศจะถูกโอนเป็นเงินส่วนแบ่งตาม “กฎที่ซ่อนอยู่”
ตัวเขาเป็นผู้รับผิดชอบในพื้นที่ของเขตหวงชา แม้ที่ผ่านมาจะมีกำไรไม่มาก แต่ก็นั่งนิ่งอะไรไม่ได้เพราะปีนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีรายได้มาก
เจ้าของร้านคนเก่ามองไปที่ลั่วอู๋ด้วยสีหน้าลำบากใจและรู้สึกผิด
ลั่วอู๋กล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ทุกๆปีอย่างมากที่นี่มีกำไรก็แค่ 1ถึง 2 หมื่น และบางครั้งก็ยังขาดทุน ปีนี้พวกเราหาเงินมามอบให้ได้ตั้ง 1แสนหินวิญญาณ ตระกูลลั่วยังจะมีปัญหาอะไรอีกจะยุบกิจการรึไง ”
“เจ้ามีท่าทีโอหังแบบนี้ได้อย่างไร ?” เสี่ยวเซียงกล่าวอย่างโกรธ ๆ “ขอสมุดบัญชีมาให้ข้าดูหน่อยสิ ข้าต้องการตรวจสอบบัญชี ข้าไม่เชื่อว่าศาลาไป่หยู่ของพวกเจ้าจะมีกำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ “เสียใจด้วย ข้าทำสมุดบัญชีหาย”
“เจ้า … ” เสี่ยวเซียงชี้ไปที่ลั่วอู๋ ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าต้องการจะกบฏรึไง อย่าลืมไปว่าถ้าหากไม่มีตระกูลลั่วก็ไม่มีเจ้าในวันนี้นะ”
เขาไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้เลยก็ได้ ลั่วอู๋จึงโกรธมากเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้
ลั่วอู๋จับจ้องไปที่เสี่ยวเซียง “ไม่มีตระกูลลั่ว พวกเราก็อยู่ไม่ได้ ? โอ้ ข้าถูกเยาะเย้ยและได้รับความอัปยศอดสูมากมายในตระกูลลั่ว ข้าชีวิตอยู่ในฐานะที่แย่ยิ่งกว่าคนรับใช้ธรรมดาเสียอีก เมื่อข้าเริ่มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็ถูกขับออกจากตระกูลลั่วและถูกส่งไปยังสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ เพื่อให้ไปกินและตายไกล ๆ ตระกูลลั่วเคยทำอะไรให้ข้าบ้างงั้นเหรอ?”
“และเขา” ลั่วอู๋ชี้ไปที่เจ้าของร้านคนเก่า “เจ้าของร้านคนเก่าผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจและจงรักภักดีต่อตระกูลลั่ว ครั้งหนึ่งเขาเคยได้เป็นผู้ดูแลธุรกิจใหญ่ของมณฑล”
“ แต่เขาได้รับอะไรบ้าง?”
“เพราะความผิดพลาดเล็กน้อยที่ไปทำให้คุณชายใหญ่ในตระกูลลั่วขุ่นเคือง เขาจึงถูกส่งมายังที่แห่งนี้เพื่อพัฒนาธุรกิจที่ไม่มีความหวัง”
“ ตระกูลลั่วให้หินวิญญาณเขาเพียงแค่ 1 แสนก้อนในการเริ่มธุรกิจ ดังนั้นเจ้าของร้านคนเก่าจึงต้องเปิดศาลาไป่หยู่ที่นี่โดยไม่มีความช่วยเหลือใด ๆ”
“เจ้ารู้ไหมว่ามันยากแค่ไหน”
“ เจ้ารู้ไหม”
“เจ้าของร้านคนเก่าพยายามอย่างเต็มที่ เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองเขาพัฒนาตัวเองจนเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณและจัดการเปิดร้านขึ้น โดยไม่มีสิทธิพิเศษอะไร ไม่มีวัตถุดิบเริ่มต้นเจ้าของร้านคนเก่าต้องพึ่งพาเงินของตัวเองเพื่อออกทุนให้ศาลาไป่หยู่และคอยรักษาปกป้องศาลาไป่หยู่จากการล้มละลาย เขาทำงานหนักมาตลอดเกือบสิบปี เพื่อหากำไรให้กับศาลาไป่หยู่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้หาเงินเพื่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้าคิดว่าเขาทำไปทำไมล่ะ นั่นก็เพราะเจ้าของร้านคนเก่าต้องการพิสูจน์ตัวเอง เขาเพียงแต่อยากได้รับการยอมรับจากตระกูลลั่วและหวังว่าตระกูลลั่วจะส่งเขากลับไป”
“ แต่เกิดอะไรขึ้น”
“ ไม่มีใครจำเขาได้เลย”
“ ตระกูลลั่วลืมพวกเราไปนานแล้ว”
“ตระกูลลั่วเคยทำอะไรให้พวกเราบ้าง ไม่มีอะไรเลยตอนนี้พวกเราหาเงินเองได้แล้ว พวกเจ้าก็เข้ามาฉวยโอกาสเหมือนหมา พวกเจ้าคิดว่าตัวเองสมควรได้รับมันไหมล่ะ ?”
เมื่อเจ้าของร้านคนเก่าได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาในช่วงแรกของการทำธุรกิจ
ดังนั้นในเวลาที่เขาได้ยินมาว่าตระกูลลั่วจะส่งบุตรชายที่ถูกทอดทิ้งและไร้ประโยชน์มาดูแลกิจการที่นี่ เขาจึงโกรธจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
เขาเป็นคนที่ไม่เคยกลัวความยากลำบาก
เขากลัวมากกว่าว่าจะไม่ได้รับความเข้าใจ
แต่ตอนนี้เมื่อข้าได้ยินคำพูดของนายน้อย เจ้าของร้านคนเก่าก็คิดว่าเขาพร้อมที่จะตายเพื่อนายน้อยคนนี้ได้ทุกเมื่อ