ไหปีศาจ - บทที่ 178 เจ้าแห่งอินทรี
เจ้าแห่งอินทรี
จู่ ๆ มังกรกระดูกผีขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นในคฤหาสน์ตระกูลวู่
ความน่ากลัวของมังกรกระดูกผี นั้นเป็นความน่ากลัวอย่างแท้จริง ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปกปิดความเกรงกลัวนี้เอาไว้ในใจได้
ทันใดนั้นร่างกายอันใหญ่โตดุร้ายและแปลกประหลาด ก็ตกลงมาและพังทลายคฤหาสน์ตระกูลวู่ลงไปครึ่งนึงในทันที เสียงร้องไห้และขอความช่วยเหลือดังไปทั่วคฤหาสน์
คฤหาสน์ทั้งหมดพังลงไปเกือบครึ่งและพื้นเองก็พังยับเยิน
“กรร!”
เสียงคำรามอันดุร้ายของมังกรกระดูกผีดังก้องไปทั่ว
ดูเหมือนสูตรสังเคราะห์นี้จะถูกต้องจริง ๆ
จากการตรวจสอบของลั่วอู๋ เขาได้พบว่าการสังเคราะห์กิ้งก่าทรายดูดและหญ้ากระดูกงูเป็นสูตรสังเคราะห์ที่ตายตัวจริง ๆ มันสามารถทำให้เขาเรียกมังกรกระดูกผี สัตว์วิญญาณระดับเพชรตัวนี้ออกมาได้
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋นั้นยังไม่สามารถควบคุมมังกรกระดูกผีได้แม้แต่น้อย เพราะช่องว่างของความแข็งแกร่งระหว่างทั้งคู่นั้นห่างกันเกินไป
อย่างมากเขาก็แค่สามารถส่งมันออกจากไหปีศาจก่อนที่มันจะอาละวาดได้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่มีการสังเคราะห์มังกรกระดูกผี เขาจะต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมหาศาล ตอนนี้ลั่วอู๋จึงไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อสู้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยการที่เขาสามารถพึ่งพายารวบรวมวิญญาณจำนวนมากที่มีอยู่ได้มันก็ทำให้เขารอดออกมา
พลังวิญญาณแทบจะเหือดแห้ง
เขาเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
การสังเคราะห์มังกรกระดูกผีนั้นเปรียบได้กับดาบสองคม
เขาจะต้องมีเสี่ยวไป่ที่มีทักษะ “ทะลวงมิติ” มิฉะนั้นลั่วอู๋ก็คงจะเป็นเหยื่อสังเวยให้กับมังกรกระดูกผีที่เกิดขึ้นมา
“สัตว์วิญญาณระดับเพชร มันคือสัตว์วิญญาณระดับเพชร” ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงของตระกูลวู่ส่งเสียงโวยวายด้วยความกลัว
“สัตว์วิญญาณระดับเพชรงั้นเหรอ เขาจะมีสัตว์วิญญาณระดับเพชรได้อย่างไร?”
“เขาเป็นแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงินไม่ใช่เหรอ ?”
“เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน ที่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงินจะสามารถเรียกสัตว์วิญญาณระดับเพชรออกมาได้ยังไง ?”
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงเหล่านั้นตกใจกลัว
มันเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้น
สามัญสำนึกที่มีทั้งหมดของพวกเขาได้พังทลายลง
พวกเขาไม่มีเวลาคิดว่าลั่วอู๋จะสามารถควบคุมมังกรกระดูกผีได้หรือไม่ เพราะมันไม่มีเวลาให้พวกเขาได้คิดด้วยซ้ำ
ดวงตาสีแดงเข้มอันดุร้ายของมังกรกระดูกผีหันไปที่พวกเขา ปีกที่ไม่สมบูรณ์ของมังกรกระดูกผีกระพือขึ้นเป็นจังหวะสร้างพายุเฮอริเคนอันทรงพลังพัดถล่มคฤหาสน์ตระกูลวู่ทั้งหลัง
“หนีเร็ววว” ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงเหล่านั้นหนีกระจายกันไปทุกทิศทุกทาง ความกล้าทั้งหมดของพวกเขาหายไปพร้อมกับสายลมกรรโชกนั้นในพริบตา
แต่ในขณะที่เหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงกำลังจะหลบหนี ดวงตาสีแดงเข้มของมังกรกระดูกผีก็จับจ้องมาที่พวกเขาอีกครั้ง
สิ้นหวังแล้ว!
ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา
แม้ว่าจะเป็นสัตว์วิญญาณที่ประกอบขึ้นจากศพมังกร แต่ตัวมันเองก็ยังถือว่าเป็นเผ่ามังกร
ในแง่ของนิสัยมันนั้นหยิ่งผยองตามสัญชาตญาณของมังกร มันมองว่า”สิ่งมีชีวิตระดับต่ำ” เหล่านี้บังอาจมากที่กล้าปล่อยพลังวิญญาณออกมาต่อหน้ามันผู้สูงส่ง
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการโจมตีหรือเพื่อหลบหนี นั่นก็ถือเป็นสัญลักษณ์ของการยั่วยุ
ศักดิ์ศรีของเผ่ามังกรนั้นไม่สามารถถูกเหยียดหยามได้
“กรร!”
ทักษะ ระดับ SS [ไฟโลกันตร์] ได้ถูกสั่งใช้งาน
มังกรกระดูกผีพ่นเปลวไฟสีดำอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
สีหน้าของลั่วอู๋เปลี่ยนไป ใครจะไปคิดว่ามังกรกระดูกผีใช้ทักษะนี้ในทันทีที่มันปรากฏตัว เขาเคยเห็นไฟแบบนี้มาแล้ว
แม้แต่มิติไหก็สามารถถูกแผดเผาเป็นจุณได้ด้วยไฟนี้ พลังนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“เสี่ยวไป่ พวกเราไปกันเถอะ”
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการโจมตีของมังกรกระดูกผี ลั่วอู๋เรียกเสี่ยวไป่ออกมาอย่างรีบร้อน
ราชากระต่ายแห่งแดนสาบสูญขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้น ทั้งตัวของมันเต็มไปด้วยแสงสีขาวสว่างจ้า จากนั้นลั่วอู๋ก็หนีออกไปพร้อมกับร่างของเจ้าของร้านคนเก่า เข้าไปในแสงสีขาวนั้น
ทักษะ[ทะลวงมิติ] ถูกใช้งาน
ร่างของลั่วอู๋ได้หายไปแล้ว
แต่เหล่าคนของตระกูลวู่กลับไม่ได้โชคดีอย่างนั้น ไฟโลกันตร์เป็นทักษะการโจมตีที่ส่งผลทะลุทะลวงไปถึงแก่นวิญญาณ วิธีการป้องกันแบบธรรมดานั้นไร้ประโยชน์ต่อหน้าไฟนรกนี้
“ฟู่มม … ”
ลมหายใจไฟโลกันตร์ถูกพ่นออกมา พื้นที่โดยรอบที่สั่นสะท้านระเบิดไปในทันใด
ร่างของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงทั้งเจ็ดคนหายตัวไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
คฤหาสน์ตระกูลวู่เหลือเพียงแค่หลุมดำขนาดใหญ่ที่ถูกแผดเผา เป็นเครื่องหมายของพื้นที่ที่ถูกเผาไหม้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปธรรมชาติก็จะค่อยๆทำให้พื้นที่นั้นกลับมาเรียบเอง
มังกรกระดูกผีไม่สนใจที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป มันกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นก็บินลับหายไป
สัตว์วิญญาณชนิดนี้ไม่ชอบสถานที่ที่มีพลังอันแข็งแกร่งและชีวิตชีวา มันออกไปตามหาพบสถานที่ที่สะดวกสบายและเปี่ยมไปด้วยไอของความตาย ซึ่งทำให้มันนอนหลับ
“ฮึก … ” ลั่วอู๋ที่อยู่ห่าง ๆ สูดลมหายใจ
ผู้คนครึ่งหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลวู่หายไป คร่าชีวิตและมีผู้บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงทั้งเจ็ดที่มีพลังต่อสู้สูงสุดในตระกูลถูกกำจัดลง
ตระกูลวู่นั้นไม่ได้ต่างไปจากตระกูลที่ล่มสลายและเหลือเพียงแต่ในนามเท่านั้น
“ไปกันเถอะ”
ลั่วอู๋ต้องการหาที่พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ
อย่างไรก็ตามจู่ ๆ ก็มีใบมีดอันแหลมคมพุ่งลงมาจากบนท้องฟ้า ซึ่งมีความกว้างเท่ากับมีดบิน
ทว่ามันไม่ใช่มีดแต่อย่างใด
มันคือนกอินทรีผ่านภา สัตว์วิญญาณระดับทอง
อย่างไรก็ตามนกอินทรีผ่านภานี้มีความแตกต่างจากนกอินทรีผ่านภาทั่วไป ลมปราณของมันมีพลังมากกว่านกอินทรีผ่านภาทั่วไปมาและขนาดของร่างกายก็ใหญ่กว่ามากด้วย
ตามการประเมินของลั่วอู๋ อย่างน้อย ๆ นกอินทรีผ่านภาตัวนี้ก็น่าจะมีระดับมิติวิญญาณชั้นยอด และน่าจะมีโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่สัตว์วิญญาณระดับเพชร
“อะไรกันวะเนี่ย ไอ้สัตว์วิญญาณตัวเมื่อกี้” มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บนร่างของนกอินทรีผ่านภา
ชายคนนี้มีคิ้วสีขาวและเสื้อผ้าชุดสีดำที่ดูมิดชิด นิสัยของเขาดูจะเป็นคนเย็นชามาก เขาเหมือนนักฆ่าเลือดเย็นที่ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้บนใบหน้าของเขาก็ยังคงมีร่องรอยของความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
มันน่ากลัวมาก
สัตว์วิญญาณตัวนั้น
เหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงของตระกูลวู่ถูกทำลายลงในพริบตา
แม้เขาจะเพิ่งมาถึง แต่เขาหวาดกลัวสัตว์วิญญาณตัวนั้นมากจนไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก เขาทำได้แค่มองสังเกตการณ์จากระยะไกลเพียงเท่านั้น
“แย่ล่ะสิ!” หัวใจของลั่วอู๋เต้นระรัว
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายคือใคร แต่เขาก็พอเดาได้อยู่บ้าง
ผู้คนในทีมลอบสังหารเหยี่ยวของตระกูลลั่ว ต่างก็มีนกอินทรีผ่านภาไว้ในครอบครอง สัตว์วิญญาณประเภทนี้มีความเร็วที่น่ากลัว และมีความสามารถในการแกะรอยและมีการรับรู้ที่เฉียบแหลม
มันเป็นผู้สังเกตการณ์ชั้นยอดที่สมบูรณ์แบบ
ซึ่งนกอินทรีผ่านภาตัวนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นระดับจ่าฝูง ที่เป็นตัวตนของสัตว์วิญญาณของหัวหน้าทีมเหยี่ยว
เจ้าแห่งอินทรี – ฉินเฟิง
ในที่สุดความสนใจของฉินเฟิง ก็เปลี่ยนไปที่ลั่วอู๋ “เจ้าก็คือลั่วอู๋ใช่รึเปล่า คราวนี้ข้ามาถูกที่แล้วสินะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความลับซ่อนอยู่มากมาย”
ทันทีที่สัตว์วิญญาณแปลก ๆ ตัวนัั้นปรากฏขึ้น ลั่วอู๋ก็ปรากฏตัวห่างออกไปหลายไมล์จากคฤหาสน์ตระกูลวู่
มันไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันระหว่างทั้งสอง เขาไม่มีทางเชื่อเรื่องโกหกน้ำตื้น ๆ แบบนั้นแน่
“ ข้ารู้สึกยินดีมากที่เจ้าแห่งอินทรีมาจับข้าไปเป็นศิษย์เพื่อฝึกสอนทักษะพลังวิญญาณ” ลั่วอู๋กล่าวแกล้งโง่ด้วยความยากลำบาก
ฉินเฟิงตะคอกอย่างเย็นชา “ใช่ที่ไหนกันเล่า ? ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารอดไปได้หรอกนะ เจ้าทำให้นายหญิงต้องขุ่นเคือง วันนี้เจ้าจะต้องตายลงที่นี่ แต่ข้าจะสังหารเจ้าอย่างช้า ๆ เพื่อทรมานเอาความลับของเจ้าออกมาก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้า”
แววตาของลั่วอู๋เต็มไปด้วยความสับสน
นายหญิงอะไร ?
เมื่อไหร่กันที่ข้าทำให้นางขุ่นเคือง?
“มาเริ่มกันเลยเถอะ”
นกอินทรีผ่านภาดำดิ่งลงไปความเร็วราวกับสายฟ้าโดยที่การรับรู้ของลั่วอู๋ไม่สามารถตามการเคลื่อนไหวของมันได้ทัน
มันเร็วเกินไป
ไม่ทันที่ลั่วอู๋จะได้ตอบสนอง ฉินเฟิงก็มาถึงตัวเขา
“ฮ่าฮ่า ก่อนอื่นต้องทำลายบ่อพลังวิญญาณของเจ้าก่อน ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะหนีไปได้”
ฉินเฟิงยิงพลังวิญญาณออกมาด้วยมือข้างเดียว
แววตาของลั่วอู๋หดตัวลงอย่างรวดเร็ว
“โล่สองชั้น!”
ลั่วอู๋เรียกโล่คริสตัลขนาดใหญ่ออกมาป้องกันตัวเขา
เครื่องหมายตราธาตุสีเหลืองสีเหลืองบนโล่สองชั้นได้ก็ระเบิดออกมาเป็นแสงสาดส่อง ดูเหมือนว่าทั้งโล่จะแข็งขึ้นด้วยพลังตราธาตุที่สร้างโคลนขึ้นมาป้องกันการโจมตีอีกชั้น
ผัวะ
ลั่วอู๋ถูกตบกระเด็นออกไป
เขาสามารถป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ทัน แต่พลังของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเกินไป
แม้ว่าจะมีโล่สองชั้นช่วยอยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะสลายพลังการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด
ลั่วอู๋รู้สึกได้ถึงแรงมหาศาลที่ทุบลงบนหน้าอกของเขาทะลุผ่านมาทางโล่ เขารู้สึกอึดอัดมาก
บนโล่สองชั้นเครื่องหมายสีเหลืองเริ่มค่อย ๆ จางลง
เพื่อต่อต้านพลังวิญญาณที่โจมตีมาเมื่อครู่ มันถึงกับต้องสละแก่นวิญญาณในตราไป จากนั้นเครื่องหมายตราธาตุสีเขียวบนโล่สองชั้นก็ผลิบานออกมาและลงพลังวิญญาณอ่อน ๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของลั่วอู๋ เพื่อบรรเทาอาจากรเจ็บของเขา มันแก้ความรู้สึกจุกที่หน้าอกได้ดีมาก
“ช่างเป็นโล่ที่แข็งแกร่งเสียจริงนะ” ฉินเฟิงสรรเสริญโล่จากนั้นเขาก็ยิ้ม “แต่ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว”
ฉินเฟิงพุ่งเข้ามาอีกครั้งเหมือนสายฟ้า
หัวใจของลั่วอู๋ดิ่งลง
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
ชายชราในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นช้า ๆ พร้อมโบกมือเหมือนกำลังขับไล่แมลงวันให้ออกไปพ้น ๆ หน้า
ปัง
ที่นี่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่ง
ฉินเฟิงและนกอินทรีผ่านภาถูกผลักกระเด็นให้บินออกไป
แต่ดวงตาของลั่วอู๋กลับหม่นลง
“ไม่จริงน่า” เจ้าแห่งอินทรีนั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณทอง แต่ตอนนี้เขากลับถูกขู่ให้ต้องออกไป
“แกเป็นใคร!” กล้าดียังไงมาขัดขวางการทำงานของข้า ” ฉินเฟิงคำรามขณะที่นกอินทรีผ่านภาได้ลอยจากกันไป จากนั้นทุกคนก็เข้าสู่สถานะการต่อสู้ในทันที
ดูเหมือนทันทีที่จะเริ่มการต่อสู้ออร่าอันทรงพลังและเย็นเฉียบก็ถูกปล่อยออกมาจากตัวเขา
ชายชราในชุดขาวเหลือบมองไปที่เขา “ทำไมเจ้าถึงคิดอยากจะสู้กับข้า เจ้าไม่กลัวที่จะต้องลงมือต่อสู้กับคนในครอบครัวของตัวเองงั้นหรือ”
หลังจากได้เห็นใบหน้าของชายชราชัด ๆ แล้ว ใบหน้าของฉินเฟิงก็เปลี่ยนไปในทันที จากนั้นเขาเหงื่อออกไหลลงมาจนชุ่ม และเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ท่านบรรพบุรุษ”
“ทำไมท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้กันล่ะ?”