ไหปีศาจ - บทที่ 184 หน่วยสยบมังกร
บทที่ 184
หน่วยสยบมังกร
ใบหน้าของฉูจงฉวนดูสง่างาม
หากเป็นแค่มู่เฉิงคนเดียวเขาก็น่าจะยังพอจะสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้อยู่ แต่เมื่อมีคฤหาสน์ชวนเทียนมาร่วมด้วยมันก็เริ่มเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา นี่ขนาดยังไม่รวมศาลาไป่หยู่
ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะตำหนิลั่วอู๋ผู้เป็นเจ้าของร้าน แต่พยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหา
เขาควรจะเรียกท่านผู้อาวุโสจากตระกูลฉูให้มาออกรับหน้าช่วยดีไหม?
ไม่ เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมีหวังความขัดแย้งนี้ได้บานปลายแน่
คนของสำนักโล่พิทักษ์ก็รู้ดีว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีเท่าไหร่แล้ว พวกเขาจึงเดินขึ้นมาขวางไว้
“พวกข้าไม่รู้ว่านายน้อยที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่ไหน ถ้าเขาอยู่ที่นี่เขาก็คงจะออกมาจัดการแล้วล่ะ” ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่นายน้อยยังปลอดภัยดี เขาจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน
ลั่วอู๋คือกระดูกสันหลังของพวกเขา
“ทูตของสำนักมณฑลอยู่ที่นี่แล้ว!”
มีเสียงโหยหวนดังมาจากด้านนอกสำนักโล่พิทักษ์
เกิดความวุ่นวายขึ้นในทันที
แม้แต่คนจากสำนักมณฑลก็ยังมาที่นี่
ทูตของสำนักมณฑลเดินเข้ามา เขาเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างท้วม สวมเสื้อเชิ้ตสีดำแขนสีแดง เขาไม่ได้มีเปียหรือมัดผมใด ๆ คลับคล้ายกับพวกขันที
“สำนักโล่พิทักษ์เป็นร้านที่เปิดโดยลั่วอู๋ ลูกชายที่ถูกตระกูลลั่วเนรเทศใช่รึเปล่า? องค์ชายขององค์รัชทายาทไม่ชอบเขาเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ว่ากันว่าสำนักโล่พิทักษ์ได้ฆ่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงของตระกูลลั่วไปถึง 15 คน พวกมันช่างกล้าบ้าบิ่นและโหดร้ายจริง ๆ บุตรชายขององค์ชายรัชทายาทกล่าวว่าเขาเต็มใจที่จะช่วยศาลาไป่หยู่เพื่อจับฆาตกรคนนี้และนำเขากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว” ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงดัง
สำนักโล่พิทักษ์นี้ต้องเป็นร้านของลั่วอู๋ไม่ผิดแน่
มันไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธมันอีกต่อไป
แน่นอนว่าบุตรชายขององค์ชายรัชทายาทก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหลี่ชวนเฉิงที่เคยถูกลั่วอู๋เล่นงานไว้ในอดีต
ตอนแรกเขาถูกลั่วอู๋ทำให้เสียหน้า จนในที่สุดเขาก็ต้องกลืนความโกรธและยอมซื้อแร้งทรายกลายพันธุ์ของลั่วอู๋เพื่อชดใช้ให้องค์หญิงเจียโรว
หลังจากนั้นแร้งทรายกลายพันธุ์บินวิ่งหนีไป
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด เขาจึงส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้
ดูเหมือนลั่วอู๋จะรู้จักกับองค์หญิงเจียโรว
มันทำให้เขาโกรธมากจริง ๆ
ซึ่งตอนนี้เขาได้พบโอกาสที่จะเอาคืนแล้ว จึงไม่สามารถปล่อยให้ผ่านไปได้
เหล่าคนในสำนักโล่พิทักษ์จ้องมองไปที่หยางกู่หลงด้วยสายตาอาฆาต
เจ้าจ่ายเงินไปเยอะมากใช่ไหม?
แม้แต่คนจากสำนักมณฑลเจ้าก็ยังเชิญมา
หัวใจของหยางกู่หลงแตกสลายอย่างมาก
เลิกเอาข้าไปเอี่ยวทีเถอะ
หากพวกเจ้าต้องการจัดการกับสำนักโล่พิทักษ์ ก็ทำมันด้วยชื่อของตัวเองได้ไหม?
อย่าใช้ชื่อศาลาไป่หยู่ของข้าที ข้าทนไม่ไหวแล้ว
เขาต้องการแค่เชิญลั่วอู๋กลับไปที่ตระกูลลั่ว เราไม่ได้มีความคิดที่จะมาหาเรื่องจริง ๆ ตระกูลลั่วเพียงแค่ต้องการให้ลั่วอู๋กลับไปอยู่ด้วยเท่านั้น
“แกร๊ง แกร๊ง… ”
ด้านนอกประตูมีเสียงของชุดเกราะเสียดสีกัน
จากนั้นชายในชุดเกราะสีเงินเดินเข้ามา เขาสูงมากราวกับภูเขาใหญ่ ใบหน้าของเขาแน่วแน่และดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
ท่าทางของเขาดูแข็งแกร่งและมีพละกำลังมาก
มีเครื่องหมายสีแดงบนชุดเกราะสีเงินชายคนนั้นและมีดาบขนาดใหญ่เหน็บอยู่ที่เอวของเขา ซึ่งมีพลังมากพอที่จะผ่าภูเขาออกจากกันได้
“เครื่องหมายเปลวไฟสีแดงบนเกราะสีเงิน หรือว่าชายคนนั้นจะเป็นคนของหน่วยสยบมังกรรึเปล่า?” มีคนกระซิบ
ทันใดนั้นเองก็ทำให้ผู้คนต่างก็ร้องอุทานขึ้นมา
หน่วยสยบมังกรเป็นหน่วยในกองทัพที่ทรงพลังที่สุดของราชวงศ์มังกรเร้นกาย หน่วยของพวกเขาเคยต่อสู้ร่วมกับองค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิและชิงอาณาเขตอันกว้างใหญ่กลับมา
มีทหารเพียงแค่ห้าพันคนในหน่วยนี้
และถ้าหากมีผู้เสียชีวิต ทหารที่มีฝีมือดีที่สุดจะถูกเลือกออกมาจากกองกำลังสำรองกว่า 30000 คนที่ถูกเตรียมเอาไว้
นอกจากนี้ชุดเกราะและอาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยสยบมังกรได้รับการขัดเกลาและประณีต ทุกการโจมตีมีพลังทำลายอันรุนแรง ทหารแต่ล่ะคนต่างก็มีฝีมือระดับนายพลผู้ทรงพลัง ซึ่งสามารถเอาชนะกองทหารศัตรูนับร้อยคนได้ด้วยตัวคนเดียว
“รองผู้บัญชาการหน่วยสยบมังกรจี๋กุย คนนี้จะขอปลิดชีพมันเอง!! ” ชายคนนั้นกำหมัดขึ้นเล็กน้อยพร้อมเปล่งเสียงของเขาออกมาเหมือนกลองศึก
ไม่มีใครกล้าที่จะขยับหรือแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ
ชายคนนี้เป็นถึงรองผู้บัญชาการหน่วยสยบมังกร เขาคือนายพลผู้ทรงพลังและไร้เทียมทานในสนามรบ
“ท่านอาจารย์” มู่เฉิงร้องอุทานด้วยความเคารพ
ฝูงชนประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ารองผู้บัญชาการหน่วยสยบมังกรจะเป็นอาจารย์ของมู่เฉิง
ถึงจะได้ยินข่าวลือกันมานานแล้วว่ามู่เฉิง ได้ไปเข้าร่วมกองทัพเพื่อขัดเกลาทักษะในการต่อสู้ของเขาในค่ายทหาร ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริงซะแล้ว
“โอ้ เจ้าก็มาที่นี่ด้วยงั้นเหรอ” จี๋กุยไม่ได้ถือว่าเขาเป็นศิษย์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายเต็มใจจะเรียกเขาว่าอาจารย์ เขาก็ไม่ได้คิดจะขัดอะไร
จู่ ๆ จี๋กุยก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า“ เมื่อสองเดือนก่อนหน่วยของเราถูกโจมตีโดยมังกรกระดูกผี ทำให้มีผู้คนกว่า 300 คนถูกสังหาร พวกเราได้สืบหาแหล่งที่มาว่าสัตว์วิญญาณตัวนั้นมาจากที่ไหน ซึ่งก็ได้รู้มาว่ามันเป็นมังกรกระดูกผีตัวเดียวกันกับที่สังหารตระกูลวู่ โดยหลังจากตรวจสอบแล้วลั่วอู๋แห่งสำนักโล่พิทักษ์คือบุคคลที่น่าสงสัยที่สุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากลั่วอู๋คนนี้เคยเป็นสมาชิกของตระกูลลั่ว พวกเราจึงยินดีสนับสนุนคนจากทางศาลาไป่หยู่ เพื่อเข้าจับกุมลั่วอู๋และทำการสอบสวน”
เสียงของฝูงชนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาต่างก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
มังกรกระดูกผี?
สัตว์วิญญาณอันน่ากลัวซึ่งถูกสังหารโดยหน่วยสยบมังกรและได้คร่าชีวิตของทหารฝีมือดีไปมากกว่า 300 คน
หน่วยสยบมังกรช่างคู่ควรกับชื่อนั้นจริง ๆ
พวกเขาไม่มีทางวางมือจากการจับกุมลั่วอู๋ซึ่งอาจเป็นต้นตอของมังกรกระดูกผีที่สังหารและทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน
แม้จะยังสรุปไม่ได้ว่าลั่วอู๋เรียกมันขึ้นมาเพราะเหตุใด แต่มังกรกระดูกผีตัวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับลั่วอู๋ไม่ผิดแน่
ในเวลานี้สำนักโล่พิทักษ์ กำลังตกที่นั่งลำบาก แม้แต่หน่วยสยบมังกรก็ยังออกมาแสดงตัวเป็นศัตรู ในจักรวรรดินี้คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าคิดจะต่อกรกับหน่วยสยบมังกร
หากหน่วยสยบมังกรต้องการจะจับกุมใคร ใครเล่าจะสามารถหยุดพวกเขาได้?
ลูกค้าหลายคนที่ยังไม่ได้ซื้อสินค้าในราคาถูกดูเหมือนจะผิดหวังมาก
เพราะพวกเขาคงจะไม่สามารถซื้อพวกมันได้อีกแล้ว
ลูกค้าในสำนักโล่พิทักษ์ต่างก็ลุกลี้ลุกลน
พวกเขาจะกล้าไปขัดหน่วยสยบมังกรได้ยังไงกัน?
ฉูจงฉวนไม่สามารถทนสงบใจลงได้อีก ลั่วอู๋เจ้าไปยั่วยุศัตรูมากี่คนกันแน่เนี่ย? ข้าชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้วนะ
อย่างไรก็ตามคนที่เครียดหนักที่สุดในบรรดาทุกคนที่นี่ ก็น่าจะยังคงเป็นหยางกู่หลงคนเดิม
ขอร้องทีเถอะพวกเจ้า
เลิกพูดราวกับว่าศาลาไป่หยู่เป็นคนเปิดเรื่องสิ
เจ้าพูดออกมาว่าจะช่วยข้าจับกุมตัวลั่วอู๋แบบนี้
แล้ววันพรุ่งนี้ข้าจะกล้าออกมาที่นี่อีกได้ยังไงกันเล่า
เมื่อต้องเผชิญกับความขุ่นเคืองจากสายตาของผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ หยางกู่หลงก็เริ่มตกลงสู่ความสิ้นหวัง เขาไม่รู้จริง ๆ ว่านี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น
พวกเจ้าจะมากันทำไมเยอะแยะ
หัวใจของหยางกู่หลงเต็มไปด้วยน้ำตา
“เรียกลั่วอู๋ออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” จี๋กุยกล่าวเบา ๆ แต่เต็มไปพลังอันยิ่งใหญ่ไม่อาจปฏิเสธได้
ร้านสำนักโล่พิทักษ์บรรยากาศดูตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ทว่าขณะนั้นก็มีคนรับใช้เข้ามาจากด้านนอก ดูเหมือนว่าเขาจะถูกส่งมาจากคฤหาสน์ชวนเทียน เขาเดินเข้ามาและรายงาน “ผู้บริหารตู้ข้ามีสารจากท่านประธานหลงส่งตรงถึงท่านขอรับ”
ผู้บริหารตู้ซึ่งมาในฐานะตัวแทนของคฤหาสน์ชวนเทียนมีสีหน้าที่ไม่พอใจ
ผู้คนจำนวนมากกำลังมารวมตัวกันที่นี่เพื่อกำจัดศัตรูเพียงหนึ่งเดียว แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรถึงมาขัดจังหวะ?
“มีสารอะไรก็รีบบอกข้ามาสิ” ผู้บริหารตู้ส่งเสียงออกมาเบา ๆ
คนรับใช้อ้าปากค้างแล้วพูดออกมาว่า “ประธานหลงบอกมาว่าลั่วอู๋ถือเป็นแขกคนสำคัญของคฤหาสน์ชวนเทียนของพวกเรา ดังนั้นอย่าไปทำให้ธุรกิจของเขายุ่งยากขอรับ”
“อา…” ผู้บริหารตู้หน้าซีด” เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม ”
คนรับใช้ส่ายหัว “ไม่ขอรับ นั่นคือสิ่งที่ท่านประธานหลงพูดเอาไว้ และประธานหลงก็ยังพูดอีกว่านี่เป็นคำสั่งของผู้บริหารอันดับ 7”
“ผู้บริหารอันดับ 7คนไหนของเจ้าน่ะ?”
“ผู้บริหารอันดับ 7แห่งสำนักงานใหญ่ ท่านหวังฉีขอรับ”
ใบหน้าของผู้บริหารตู้แน่นิ่งไป
หลงเลินชานประธานสาขา ประธานคฤหาสน์ชวนเทียนเขตหนานจุนในเมืองหมิงหนานที่สามารถไล่เขาออกจากตำแหน่งได้สบาย ๆ อีกทั้งยังมีท่านหวังฉีซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารทั้งเก้าคนของสำนักงานใหญ่อีก
นั่นหมายความว่าความสำคัญของลั่วอู๋คงไม่ต่ำไปกว่าประธานสาขา
ผู้บริหารตู้มองไปรอบ ๆ ฝูงชนด้วยความลำบากใจ “ข้าขอโทษ แต่ดูเหมือนว่าลั่วอู๋จะเป็นแขกคนสำคัญของคฤหาสน์ชวนเทียน และเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของเรา”
ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารตู้จึงได้เดินจากไป
มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก
ใครจะไปคิดว่าลั่วอู๋จะมีสัมพันธไมตรีอันดีกับท่านประธานหลงและผู้บริหารอันดับ 7