ไหปีศาจ - บทที่ 186 ศิษย์น้องร่วมสำนัก
บทที่ 186
ศิษย์น้องร่วมสำนัก
ใครจะไปคิดว่าจี๋กุยผู้ที่ก้าวร้าวคนนั้นจะกลายมาเป็นแบบนี้
ตอนนี้จี๋กุยดูเหมือนเด็กที่กำลังจะได้รับของขวัญชิ้นโปรด แสดงถึงความคาดหวังที่ไม่มีใครเทียบได้
อดีตผู้บัญชาการ!
คำไม่กี่คำที่เรียบง่าย แต่ก็ทำให้ผู้คนตกใจ
รองผู้บัญชาการของหน่วยสยบมังกรตะโกนคำนี้ออกมาอย่างตื่นเต้น
นี่มันหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขาพอเดาได้ในทันที
ไร้หน้าเองก็ยังตกใจ
ก่อนที่หลงเซี่ยจะจากไป เขาก็ได้รับการสอนกระบวนท่าการเคลื่อนไหวลึกลับและทักษะขั้นสูงรวมถึงได้รับเหรียญสัญลักษณ์ตราเลือดนี่มาด้วย
พร้อมกับบอกว่าหากเขามีปัญหากับเหล่าทหารในอนาคตเหรียญนี้อาจจะมีประโยชน์
แต่เขาไม่เคยคิดว่าความหมายของเหรียญนี้จะเป็นสิ่งนี้
อดีตผู้บัญชาการของหน่วยสยบมังกร
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เขาเป็นอดีตผู้บัญชาการของกองกำลังที่ดีที่สุดของโลกอย่างนั้นเหรอ
หน่วยสยบมังกรที่อยู่ยงคงกระพัน เคยออกรบไปทั่วทุกแห่งหนและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งโลกนั้นเคยอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา
“ข้านี่มันโง่จริงๆ ด้วยความแข็งแกร่งของอดีตผู้บัญชาการ ใครกันจะไปสามารถคุกคามเขาได้ เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ที่ได้รู้ว่าเขามีลูกศิษย์” จี๋กุยตบปากตัวเองจากนั้นเขาก็ถามอย่างคาดหวัง “เจ้าช่วยพาข้าไปเจอกับท่านอดีตผู้บัญชาการได้ไหม คนที่ให้เหรียญนี้กับเจ้าน่ะ”
ไร้หน้าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เขาสอนข้าเพียงสองสามวันจากนั้นเขาก็ออกเดินทางไป ตอนนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน”
จี๋กุยดูผิดหวังมาก
“ข้าไม่ได้ยินเรื่องจากท่านอดีตผู้บัญชาการมานับสิบปีแล้ว ตอนนั้นข้ายังเป็นเพียงแค่ทหารธรรมดา ๆ”จี๋กุย รู้สึกผิดหวังและดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความคิดถึง
หากปราศจากคำแนะนำของอดีตผู้บัญชาการ เขาคงจะไม่ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้
จี๋กุยมองไปที่ไร้หน้าและแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรบนใบหน้าเฉยเมยของเขา “ดูเหมือนว่าข้าคงจะถือว่าเป็นศิษย์พี่ของเจ้าล่ะมั้ง ข้าขอเรียกเจ้าว่าศิษย์น้องจะได้รึเปล่า ?”
ไร้หน้ากำลังสับสน
ศิษย์พี่ ศิษย์พี่อย่างนั้นเหรอ?
เขารู้สึกประหม่า
หลงเซี่ยไม่เคยบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ศิษย์น้อง เจ้าเองก็เป็นสมาชิกของสำนักโล่พิทักษ์ด้วยงั้นหรือ?” จี๋กุยถาม
“ลั่วอู๋เป็นเจ้านายของข้า” ไร้หน้ากล่าว
“เจ้านายอย่างงั้นเหรอ ? เจ้าต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ ลูกศิษย์ของอดีตผู้บัญชาการอย่างเจ้ายอมเป็นข้ารับใช้เนี่ยนะ” จี๋กุยโกรธมาก “เจ้าเลิกรับใช้ลั่วอู๋เดี๋ยวนี้เลยนะ ”
ทันใดนั้นไร้หน้าก็จ้องไปที่เขาด้วยจิตสังหารและคำรามออกมา “ถ้าเจ้ากล้าว่าร้ายนายท่าน ข้าจะฆ่าเจ้า”
จี๋กุยตะลึง
เขาไม่คาดคิดว่าไร้หน้าจะมีการตอบสนองที่รุนแรงมากขนาดนี้
เขาไม่ได้กลัวไร้หน้า ด้วยความแข็งแกร่งของเขาต่อให้มีไร้หน้า 100 คนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เพียงแต่เขาไม่ต้องการจะเป็นศัตรูกับลูกศิษย์ของอดีตผู้บัญชาการก็เท่านั้น
“ศิษย์น้อง เจ้ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปรับใช้ลั่วอู๋ ” จี๋กุยกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่กล้าพูด ข้าก็จะตัดสินใจให้แทนเจ้าเอง”
คิ้วของไร้หน้าขมวดแน่น เขารู้ว่ามีช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างเขากับอีกฝ่าย ถ้าเขาหลุดปล่อยตัวออกไปตามอารมณ์ล่ะก็มันไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดแน่
“การที่ข้าได้เรียนรู้วิชาจากอาจารย์หลงเซี่ยได้นั้นเป็นเพราะบารมีของนายท่าน” ไร้หน้ากล่าวออกมาจากนั้นก็เงียบไปสักครู่
จี๋กุยตะลึงเล็กน้อย
นี่มันเป็นไปไม่ได้
เด็กที่ชื่อลั่วอู๋มีบารมียิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กที่ชื่อลั่วอู๋จะมีความสามารถสูงมากสินะ ด้วยที่เขามีสัมพันธ์ไมตรีกับอดีตท่านผู้บัญชาการ ข้าจะทำเป็นไม่สนใจเรื่องของมังกรกระดูกผีให้ก็ได้”
คำพูดนี้ทำให้คนในสำนักโล่พิทักษ์โล่งใจขึ้นมา
ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าไร้หน้าไปเรียนกับอาจารย์ที่ว่าตอนไหน เห็นได้ชัดว่าไร้หน้ามักจะติดตามเจ้านายของเขาตลอดเหมือนเงา เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปร่ำเรียนวิชากับปรมาจารย์
แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
มันเป็นเรื่องที่ดีมาก
วิกฤตของสำนักโล่พิทักษ์ตอนนี้เหมือนจะเหลือเพียงแค่มู่เฉิง
สีหน้าของมู่เฉิงดูแย่ลงมาก ใครจะไปรู้ว่าในช่วงแรกที่รองผู้บัญชาฝึกในค่ายทหารจะได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อเขามากมาจากอาจารย์ของคนรับใช้ลั่วอู๋
อีกทั้งจี๋กุยยังถือเป็นศิษย์พี่ของคนรับใช้ลั่วอู๋อีกต่างหาก
มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้แล้ว
เขาเรียกจี๋กุยว่าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยจะตอบกลับ
ทว่าตอนนี้จี๋กุยกลับเรียกคนรับใช้ของลั่วอู๋ว่าศิษย์น้องซะอย่างนั้น?
“ มู่เฉิง เจ้าสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ เจ้าป่วยรึเปล่า?” ฉูจงฉวน กล่าวอย่างล้อเล่นและเย้ยหยัน
มู่เฉิงกระแอมอย่างเย็นชาแล้วหันเดินหนีออกไปทางซ้าย
หากเขายังอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะมีเพียงแค่ความอัปยศ
“ มาเล่นกันอีกนะ” ฉูจงฉวนตะโกนไล่หลังมู่เฉิงที่เดินออกไป
มู่เฉิงเดินโซเซไปสักพัก ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความเกลียดชัง เขาได้แต่ปล่อยให้แขนเสื้อแกว่งไปมา
จากนั้นคนของสำนักโล่พิทักษ์ ทุกคนก็เปลี่ยนไปจับตาดูที่หยางกู่หลง เจ้าของร้านศาลาไป่หยู่ พวกเขารู้สึกไม่พอใจมาก
หยางกู่หลงโล่งใจ
โชคดีที่สำนักโล่พิทักษ์ยังไม่เป็นอะไร มิฉะนั้นเขาจะต้องเดือดร้อนอย่างหนักแน่
แต่ตอนนี้ก็ยังดูแย่ไปหน่อย
เพราะคนในสำนักโล่พิทักษ์ กำลังเพ่งเล็งบัญชีแค้นทั้งหมดมาที่เขา
“อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดไปสิ” หยางกู่หลงกลืนน้ำลายของเขา “มู่เฉิง, คฤหาสน์ชวนเทียน,ทูตของสำนักมณฑล, พวกเขามาที่นี่ทำไม ข้าไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ”
ฉูจงฉวนกล่าวอย่างมุ่งร้าย “พูดก็พูดเถอะ ในตอนที่เจ้าของร้านหยางเข้ามาทำให้พวกเราเดือดร้อน พวกเขาก็เข้ามาหาเรื่องพวกเราในทันทีทันใดเลย แถมพวกเขาทุกคนก็ยังยืมชื่อศาลาไป่หยู่ของเจ้าอีก เจ้ากำลังจะบอกว่านี่เกิดขึ้นโดยบังเอิญงั้นเหรอ?”
“ข้าพูดจริง ๆ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อก่อปัญหานะ” หยางกู่หลงรู้สึกกังวล
ฉูจงฉวนโกรธ
เจ้าคิดว่าข้าโง่รึยังไง
“เอาเจ้านี่ออกไปนอกร้านให้ข้าหน่อยสิ แล้วติดป้ายเขียนไว้ด้วยว่าห้ามคนที่มาจากศาลาไป่หยู่เข้ามาที่นี่โดยเด็ดขาด” ฉูจงฉวนพูดด้วยโทสะ
ทีมคุ้มกันคมมีดรีบรุดมาข้างหน้าในทันที “รับทราบขอรับ”
หยางกู่หลงถูกลากตัวออกไป
หยางกู่หลงแทบจะร้องไห้
แต่เขาก็ไม่สามารถร้องออกมาได้ ถึงจะอยากพูดตรง ๆ ออกมาว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญท่านลั่วอู๋ให้กลับไปในนามของตระกูลลั่ว เพื่อตอบแทนและชดใช้ในสิ่งที่ตระกูลลั่วได้ก่อเอาไว้กับเขา”
แต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้
เนื่องจากหัวหน้าตระกูลมีคำสั่งลงมาอย่างชัดเจนว่าห้ามให้ภารกิจนี้แพร่พรายสู่สาธารณะ เขาจึงพูดออกมาไม่ได้
การเชิญลั่วอู๋กลับไปนั้นเป็นความลับสุดยอด
ตอนนี้เขาเสียใจมาก
เขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเกินไป
คนอื่น ๆ ที่มาหาเรื่องสำนักโล่พิทักษ์ ต่างก็อ้างชื่อศาลาไป่หยู่ของเขา โดยที่เขายังไม่ทันได้อธิบายอะไรออกมาเป็นคำพูดได้ มันเป็นอะไรที่ทรมานมาก
และฝูงชนก็มีท่าทางเหมือนกับได้ชมการละเล่นอันยอดเยี่ยม พวกเขาต่างตะโกนกันอย่างสนุกสนาน
มันมีการหักมุมสลับไปสลับมาเต็มไปหมด
ใครจะไปคิดว่าสำนักโล่พิทักษ์ จะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดจากเหล่าผู้มีอำนาจมากมายได้
ในขณะเดียวกันผู้คนก็ยังได้เห็นถึงเบื้องหลังของสำนักโล่พิทักษ์
นายน้อยตระกูลฉูผู้เป็นวีรบุรุษแห่งแดนใต้
บุตรชายของผู้ว่าการ 5 มณฑลทางตะวันตกเฉียงใต้
ศิษย์ของอดีตผู้บัญชาการแห่งหน่วยสยบมังกร
โอ้พระเจ้า สำนักโล่พิทักษ์ช่างน่ากลัว.
คงจะไม่มีใครกล้าตั้งเป้าไปที่สำนักโล่พิทักษ์ในเรื่องธุรกิจอีก เว้นเสียแต่คฤหาสน์ชวนเทียน
อย่างไรก็ตาม ลั่วอู๋ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงของสำนักโล่พิทักษ์ ก็เป็นถึงแขกคนสำคัญของคฤหาสน์ชวนเทียนเสียด้วย ตอนนี้สำนักโล่พิทักษ์นั้นไร้เทียมทานจริง ๆ
เมื่อข้างในสำนักโล่พิทักษ์ ไม่มีเรื่องปัญหาอะไรแล้วธุรกิจก็กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
ด้วยการสนับสนุนจากผู้คนจำนวนมากที่เข้ามา ผลิตภัณฑ์สินค้าของสำนักโล่พิทักษ์ นั้นดูเหมือนว่าจะปลอดภัยแม้จะมีราคาต่ำ
จะซื้อก็ซื้อไปเถอะ
ตอนนี้จี๋กุยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับไร้หน้าในสำนักโล่พิทักษ์
อย่างไรก็ตามคนหนึ่งทั้งตัวใหญ่และหยาบคาย ส่วนอีกคนก็ไม่ชอบที่จะพูดคุย หลังจากที่พูดไปได้ไม่นานเท่าไหร่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ
“ข้าต้องขอตัวไปก่อนแล้วล่ะวันนี้ ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรละก็ มาพึ่งพาข้าได้เลยนะ”
จากนั้นจี๋กุยก็ทิ้งเหรียญสัญลักษณ์ของเขาไว้ให้กับไร้หน้าเช่นเดียวกับหลงเซี่ย
ฉูจงฉวนยิ้ม
สำนักโล่พิทักษ์ในตอนนี้นั้นปลอดภัยแล้ว มันจึงทำให้เขามีความสุขเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก ก็คือการที่สามารถทำให้มู่เฉิงเสียหน้า
“รองผู้บัญชาการจี๋กุย ท่านอย่าเพิ่งรีบกลับไปสิ กลับมานี่ก่อน ถ้าท่านชอบสินค้าอะไรที่นี่ท่านก็เอาไปเป็นของขวัญได้เลย” ฉูจงฉวนเป็นคนใจกว้างมาก
เพราะมันไม่ใช่สินค้าของตัวเขาเอง
เขาแค่ช่วยลั่วอู๋ดูแลร้าน เพราะงั้นอีกฝ่ายจะหยิบอะไรกลับไปเขาก็ไม่มีปัญหา
จี๋กุยส่ายหัว “ไม่เป็นไร พวกเราหน่วยสยบมังกรได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์มาจากทางราชวงศ์ แน่นอนว่ารวมถึงทรัพยากรในการฝึกก็ด้วย อาวุธและชุดเกราะของพวกเราอยู่ในระดับคุณภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
นี่เป็นการบอกอ้อม ๆ ว่าของในสำนักโล่พิทักษ์ของพวกเขาไม่ได้เข้าตาจี๋กุยเลยแม้แต่น้อย