ไหปีศาจ - บทที่ 219 แผนการสังหารมู่เฉิง
บทที่ 219
แผนการสังหารมู่เฉิง
“ไอ้ลูกหมา นั้นมันร่วงลงมาแล้ว”
“มันมีแผ่นหยกอยู่กับตัวเต็มไปหมด”
“รีบตามมันไปเร็ว!”
กลุ่มต่อต้านพันธมิตรล่าสังหาร ซึ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเริ่มตามมาแล้ว พวกเขาตื่นเต้นมากที่ได้เห็นมู่เฉิงตกลงจากฟ้า
มู่เฉิงนั้นมีแผ่นหยกอยู่มากมาย ตราบใดที่สามารถเอามันมาได้สักส่วนหนึ่ง ก็จะสามารถการันตีผ่านการทดสอบในรอบที่สองได้เลยทีเดียว
มีรูแผลเลือดไหลหลายแห่งบนร่างกายของมู่เฉิง ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติในเส้นวงจรพลังวิญญาณ ซึ่งส่งผลต่อพลังวิญญาณของเขา ทำให้พลังวิญญาณของเขาพุ่งสูงขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้
“ออกไปจากตัวข้า!”
มู่เฉิงส่งเสียงคำรามและกระตุ้นให้พลังวิญญาณพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา พลังวิญญาณอันทรงพลังของเขาระงับกระแสพลังวิญญาณอันผิดปกติลงได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าแมลงกินวิญญาณจะยังไม่ได้ถูกขับออกจากร่าง แต่พลังแมลงกินวิญญาณนั้นก็ถูกระงับให้เหลือน้อยลงไปมาก เขาก็สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อีก
แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว
กลุ่มต่อต้านพันธมิตรล่าสังหารได้ตามเขามาทันในที่สุด ขณะเดียวกันพันธมิตรล่าสังหารเองก็ได้มาล้อมไว้อีกด้าน มู่เฉิงถูกในตอนนี้ถูกปิดล้อมและไม่มีหนทางให้หลบหนี
พันธมิตรล่าสังหารและกลุ่มต่อต้านพันธมิตรล่าสังหาร ทั้งสองฝ่ายได้มาพบกันในที่สุด
“อย่ามาขวางพวกข้าน่า แผ่นหยกเหล่านี้ถูกขโมยไปจากเราโดยมู่เฉิง” ชายสวมหน้ากากในพันธมิตรล่าสังหารคำราม
คนของกลุ่มต่อต้านพันธมิตรล่าสังหารเข้ามาขัด “พูดจาไร้สาระน่า เห็นได้ชัดว่ามู่เฉิงมันขโมยมาจากพวกเรา”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีหลักฐาน แต่พวกเขาก็คิดว่าแผ่นหยกเหล่านี้น่าจะเป็นของพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขามีความเห็นตรงกันว่าแผ่นหยกเหล่านี้ไม่ใช่ของมู่เฉิง
ทั่วทั้งบริเวณนั้นเริ่มเดือดปะทุขึ้นมา
สงครามครั้งใหญ่นั้นกำลังจะเริ่มต้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี เนื่องจากความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนักและจำนวนคนก็มีเพียงฝั่งล่ะประมาณ 30
หากการต่อสู้เริ่มขึ้นตรงนี้ มันจะเป็นศึกระยะประชิดอันน่ากลัว
มู่เฉิงซึ่งกำลังถูกทั้งสองฝ่ายหมายหัวอยู่ได้แต่คิดในใจ แผ่นหยกเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายเลย ข้าเจอมันด้วยตัวเอง
“พวกเจ้าต้องการแผ่นหยกพวกนี้มากใช่ไหม ?” มู่เฉิงกัดฟันคว้าแผ่นหยกทั้งหมดโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่เต็มใจ
เขาไม่กล้าเก็บพวกมันไว้กับตัวอยู่แล้ว
หากเขายังคงเก็บแผ่นหยกไว้ละก็ มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากเฝ้ารอความตาย
แผ่นหยกกระจัดกระจายไปบนท้องฟ้า ทุกคนจากทั้งสองฝ่ายไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาวิ่งกรูเข้าไปเก็บแผ่นหยกอย่างรวดเร็ว
“วางมันลงเดี๋ยวนี้” เสียงระเบิดดังขึ้น
สงครามที่จู่โจมกันด้วยพลังวิญญาณก็เกิดขึ้นในทันใด ทักษะทุกประเภทถูกยิงใส่กัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยไอพลังวิญญาณส่องแสงน่ากลัว
ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงแผ่นหยก
หากใครพลาดไปละก็อาจจะไม่ได้อะไรติดมือกลับไป
มู่เฉิงค่อย ๆ รักษาบาดแผลบนร่างกายของเขา และรีบหาทางออกไปจากที่ตรงนั้นพร้อมกับนกอินทรีปีกเหล็กของเขา
“บ้าที่สุด!”
หลังจากหนีมาได้ระยะหนึ่งมู่เฉิงก็ได้พบกับที่หลบซ่อนอันปลอดภัย
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ทั้ง ๆ ที่เขาได้รับแผ่นหยกมาตั้งมากมายแล้ว และการทดสอบนั้นอีกเพียงแค่สองวันก็จะจบลงแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
ตอนนี้เขาคิดได้เพียงแค่ว่านี่เป็นกับดัก
มู่เฉิงรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายของเขากำลังจะคลุ้มคลั่งอีกรอบ เขาจึงต้องกระตุ้นพลังวิญญาณออกมาเพื่อระงับมัน มิฉะนั้นพลังวิญญาณของเขาจะทำลายเส้นพลังวิญญาณในร่าง
มู่เฉิงนึกขึ้นได้เล็กน้อยนึกถึงแมลงกินวิญญาณสีทองที่ออกมาจากร่างของเขาในตอนนั้น
“แมลงกินวิญญาณนี่มัน! มันเป็นแมลงกินวิญญาณหยีเทียนเฉินไม่ใช่เหรอ ? เจ้านั่นกล้าดียังไงมาทรยศข้า” เขาทุบพื้นจนเป็นหลุมหลายหลุม
ตอนนี้มู่เฉิงทำได้เพียงแค่ระงับพลังของแมลงกินวิญญาณได้เท่านั้น แต่เขายังไม่สามารถขับไล่มันออกจากร่างกายได้
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอะไรเช่นนี้ มู่เฉิง”
เสียงที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันดังขึ้น
เสียงนี้นั้นค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับมู่เฉิง
วีรบุรุษอีกคนของดินแดนทางใต้ ฉูจงฉวน
ทันใดนั้นมู่เฉิงก็เงยหน้าขึ้นและเห็นพรรคพวกทั้งสามคนของฉูจงฉวน
“เป็นฝีมือของเจ้าเองสินะ!” มู่เฉิงไม่ได้ดูแปลกใจ แต่ใบหน้าของเขายังคงโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ “เจ้ามันช่างชั่วร้ายจริง ๆ”
ฉูจงฉวนเหลือบมองเขา “เจ้าเองก็ไม่ได้ต่างไปจากข้านักหรอก แต่เดิมแล้วข้าตั้งใจจะเอาชนะเจ้าอย่างยุติธรรม น่าเสียดายที่เจ้าดันยกระดับความเลวของตัวเอง จากคู่แข่งของข้าเป็นศัตรูเสียแล้ว”
มู่เฉิงไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรแล้วพูดออกมาว่า “เรียก หยีเทียนเฉินออกมาให้ข้าที”
“หยีเทียนเฉินตายแล้ว” ลั่วอู๋กล่าวอย่างเรียบ ๆ
“โกหก สัตว์วิญญาณที่เล่นงานข้ามันแมลงกินวิญญาณชัด ๆ ” “ เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะไม่รู้จักมัน! มีเพียงแค่หยีเทียนเฉินเท่านั้นที่สามารถควบคุมแมลงกินวิญญาณได้ หยีเทียนเฉินออกมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้ากล้าทรยศข้า ทำไมถึงไม่กล้ายอมรับ เจ้าต้องการจะฆ่าข้า แต่กลับไม่กล้าที่แสดงตัวออกมาเนี่ยนะ? ”
เขาคิดว่าหยีเทียนเฉินเป็นคนช่วยฉูจงฉวนในการจัดการกับเขา
ลั่วอู๋มองไปที่มู่เฉิงอย่างสงเพช “ หยีเทียนเฉินถูกข้าฆ่าไปแล้ว และแมลงกินวิญญาณเหล่านั้นก็ตกมาอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”
“ฮ่า ๆ ๆ ลั่วอู๋ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน หา ?” มู่เฉิงเริ่มคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้าแมลงกินวิญญาณมันถูกจับได้ง่ายขนาดนี้ ข้าคงฆ่าหยีเทียนเฉินด้วยตัวเองไปนานแล้ว”
ทักษะที่แปลกและคาดเดาไม่ได้ของแมลงกินวิญญาณนั้นเป็นวิชาที่น่ากลัวจริง ๆ
แม้ว่าเขาจะกลัวหยีเทียนเฉินมาก แต่เขาก็สามารถขอให้บรรพบุรุษของตระกูลมู่กำจัดเขาให้ได้หากเขาทรยศ
ลั่วอู๋ส่ายหัวจากนั้นพลิกข้อมือของเขาให้อีกฝ่ายดู แมลงกินวิญญาณสีทองขนาดเท่าเล็บมือปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา มันมีเครื่องหมายรูปดาวสิบสองดวงที่หลัง
มู่เฉิงแทบคลั่ง ทั้งสีของและท่าทางของมันเหมือนกับแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาของหยีเทียนเฉินอย่างเหลือเชื่อ“ แมลงกินวิญญาณระดับนางพญา ป.. เป็นไปได้ยังไงกัน! เจ้าฆ่าเขาแล้วชิงเอาสัตว์วิญญาณของเขามางั้นเหรอ ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร”
แน่นอนว่ามันไม่สามารถทำได้
สัตว์วิญญาณนั้นจะมีเจ้านายได้เพียงคนเดียวชั่วชีวิตของมัน
นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อมีการจับสัตว์วิญญาณได้ มักจะไม่มีใครกล้าแสดงสัตว์วิญญาณอันล้ำค่าของเขาออกมาจนกว่าจะทำพันธสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว โลกนี้มีทั้งกลุ่มฆาตกรและหัวขโมยเต็มไปหมด
“ใครบอกว่าเจ้าว่ามีแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาเพียงแค่ตัวเดียวบนโลกกันล่ะ ?” ลั่วอู๋กล่าวเบา ๆ
มีความผิดปกติบางอย่างในการหายใจของมู่เฉิง
แมลงกินวิญญาณเป็นสัตว์วิญญาณที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วมีเพียงแค่ที่หุบเขามรณะเท่านั้น ที่สามารถเพาะพันธุ์พวกมันกลับมาได้
ลั่วอู๋เองก็มาจากหุบเขามรณะด้วยงั้นหรือ?
“อย่าพูดถึงมันมากได้ไหม” ใบหน้าของฉูจงฉวนแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ เขาไม่ชอบแมลงเท่าไหร่ “จะสู้กันก็รีบจัดการมันเร็ว ๆ”
ลั่วอู๋พยักหน้า
พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุย
พวกเขามาที่นี่เพื่อฆ่า
หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ พลังวิญญาณของมู่เฉิงก็ถูกกระตุ้น ลมปราณอันทรงพลังเบ่งบานอย่างรุนแรงและการแสดงออกของเขาก็เย็นชาลง
เขาเป็นหนึ่งในสามพี่น้องตระกูลมู่ และเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าของเขตหนานจุน
เขาหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็กจนถึงตอนนี้ อีกทั้งเขายังได้ผ่านการเข้าร่วมค่ายทหารและมีประสบการณ์ในสนามรบหลายครั้ง ทักษะในการต่อสู้ของเขาไม่มีใครสามารถเทียบได้
แม้ว่าเขาจะเจ็บ แต่เขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ
“มาเถอะฉูจงฉวน ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้าละก็ แสดงทักษะของเจ้าออกมาซะสิ” ด้วยเสียงคำรามของมู่เฉิงราชาหมาป่ากระหายเลือด และนกอินทรีปีกเหล็กก็กลายเป็นเงาขึ้นมาข้างหลังเขา
มันคือการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
ทางด้านฉูจงฉวนเองก็มีเงาของภูตไฟและภูตทะเลทรายโผล่ออกมาข้างหลัง
เขาเองก็ได้ใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
นี่เป็นการต่อสู้ขั้นแตกหักครั้งสำคัญ เพราะในไม่ช้าพวกเขาก็จะได้ตัดสินกันซะทีว่าใครคือ วีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหมิงหนานและแดนใต้ น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครโชคดีได้เห็นการต่อสู้นี้
การต่อสู้นั้นดำเนินไปเกือบครึ่งชั่วโมง
แต่ท้ายที่สุดมันก็จบลง