ไหปีศาจ - บทที่ 292 มีผู้เสียชีวิตอีกครั้ง
บทที่ 292 มีผู้เสียชีวิตอีกครั้ง
บทที่ 292 มีผู้เสียชีวิตอีกครั้ง
ในที่สุดแม้แต่ไห่เซอก็ยังพ่ายแพ้
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รู้สึกถึงความไร้พลัง จากการถูกดูดพลังวิญญาณออกไป
ถ้าเขาสามารถรักษาจิตใจของเขาให้มั่นคงและใช้ทักษะแบบเดียวกันต่อต้านไป ลั่วอู๋คงไม่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ น่าเสียดายที่เขาสูญเสียความสุขุมไป ทำให้ต้องพ่ายแพ้
ที่ผ่านมานั้นจริง ๆ แล้ว เขาไม่สามารถคาดเดาการโจมตีของลั่วอู๋ได้เลย
เมื่อรู้ว่าไห่เซอพ่ายแพ้ ทุกคนต่างก็ยิ่งรอคอยการต่อสู้ครั้งต่อไปของลั่วอู๋กันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลั่วอู๋ได้ระงับความหยิ่งผยองของผู้คนจากสำนักหม่าเฉินลงไปอย่างรุนแรง ทำให้ช่วงนี้ผู้คนจากสำนักหม่าเฉินพยายามเก็บตัวและระมัดระวังกันมากขึ้น
“ว่าแล้วว่าเขาต้องทำสำเร็จ”เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักเฉียนหลงต่างอดไม่ได้ที่จะมีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็มีอันดับที่สูงมากในรายชื่อเฉียนหลงและความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นการท้าทายผู้ที่อ่อนแอกว่าจากสำนักหม่าเฉิน จึงเป็นเรื่องน่าอับอาย
แต่ลั่วอู๋นั้นแตกต่างออกไป
คะแนนส่วนใหญ่ของเขามาจากการปรับแต่งพลังวิญญาณ ในสายตาของคนจากสำนักหม่าเฉิน เขาเป็นคนที่มีคะแนนอันดับสูง แต่มีพละกำลังเพียงน้อยนิด
แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังดูถูกความแข็งแกร่งของลั่วอู๋ แต่ด้วยความที่ผู้อ่อนแออย่างเขาสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งได้ เขาจึงสามารถระงับความหยิ่งผยองของเหล่าผู้คนจากสำนักหม่าเฉินได้
สองวันต่อมา ลั่วอู๋ได้ไปท้าทาย อันดับ 5 และ 4 ของสำนักหม่าเฉิน
การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบาก ลั่วอู๋ไม่ได้ออมมือเลยแม้แต่นิดเดียว เขาพยายามอย่างเต็มที่และยอมเสี่ยงที่จะเปลี่ยนรูปแบบในระหว่างการต่อสู้ สถานการณ์ไม่สู้ดีนักจนเขาต้องเปลี่ยนรูปแบบไปหลายต่อหลายครั้งในระหว่างการต่อสู้
เพราะศัตรูนั้นไม่ใช่เป้าหมายที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตามระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านี้ที่อยู่ในอันดับบน ๆ นั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
สถิติในปัจจุบันของลั่วอู๋นั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งจินฉันที่อยู่ในอันดับหนึ่งและหวู่เก๋าที่อยู่ในอันดับที่สองหวาดกลัว
สำหรับอันดับที่สามอากูดะเขาตายไปแล้ว ลั่วอู๋จึงไม่จำเป็นต้องไปท้าทายเขา เป้าหมายที่เหลือจึงมีเพียงแค่สองอันดับแรก
วันต่อมา
ลั่วอู๋ได้เข้าไปที่บริเวณการทดสอบอีกครั้ง
มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่หวู่เก๋า ซึ่งเป็นอันดับสองกำลังยืนรอเขาอยู่ แม้ว่าผู้คนในสำนักหม่าเฉิน จะหยิ่งยโส แต่พวกเขาก็ไม่เคยกลัวความท้าทาย
เนื่องจากหวู่เก๋ารู้ว่าวันนี้เขานั้นเป็นเป้าหมายของลั่วอู๋ อีกฝ่ายจึงไม่มีทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเขาได้
“ข้าได้ไปสอบถามเกี่ยวกับเจ้ามาแล้ว มันน่าสนใจมากสำหรับข้าที่จะฝึกฝนตัวเองและพัฒนาทักษะของข้าให้ถึงขีดสุดไปกับเจ้า” ดวงตาของหวู่เก๋าแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น “เจ้าจะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีมากแน่ ๆ ให้ข้าได้รู้สึกถึงพลังของภูตสงครามเร็ว ๆ หน่อยสิ ”
หวู่เก๋าเป็นคนบ้าการต่อสู้
“ได้เลย ข้าจะสนองให้ตามที่ขอ” ทันทีที่เริ่มต้นการต่อสู้ร่างของลั่วอู๋ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ เขาใช้พลังของภูตสงครามตั้งแต่เริ่ม
หวู่เก๋าไม่เคยท้าทายหรือดูถูกผู้คนจากสำนักเฉียนหลง
เพราะเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น มีการต่อสู้ที่ดีเท่านั้นที่เขาโหยหา น่าเสียดายที่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ซึ่งแน่นอนว่าคนไม่กี่คนเหล่านั้น ไม่มีทางสามารถต่อสู้กับเขาได้ทุกวัน
ดังนั้นหวู่เก๋าจึงเฝ้ารอคนอย่างลั่วอู๋
ฝั่งลั่วอู๋เองก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง เขาเข้าไปโจมตีโดยไม่คำนึงถึงยุทธวิธีใด ๆ อีกต่อไป เป็นการต่อสู้กับอีกฝ่ายตรง ๆ เท่านั้น
แสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายไปทั่วทุกหนทุกแห่งและเปลวไฟอันน่ากลัวก็ตกลงมาจากฟากฟ้า ขณะเดียวกันก็มีดาบแสงนับไม่ถ้วนกะพริบไปมาปะทะกับหมัดสีดำอันน่ากลัว ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการทำลายล้างราวกับว่าจะระเบิดท้องฟ้าออกเป็นเสี่ยง ๆ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ทั้งสองคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บพอ ๆ กัน อย่างไรก็ตามพลังวิญญาณของลั่วอู๋นั้นได้หมดลงแล้ว ในขณะที่พลังวิญญาณของหวู่เก๋า คงมีอยู่มาก
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ลั่วอู๋จึงต้องยอมแพ้ไปก่อน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” หวู่เก๋าหัวเราะ
ลั่วอู๋ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “คราวหน้า ข้าจะมาท้าสู้กับเจ้าอีกแน่”
เขาต้องสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้จนจบ
แม้ว่าผู้คนของสำนักหม่าเฉินจะเริ่มเก็บตัวและไม่ได้มีท่าทีแบบเดิมกันแล้ว แต่การท้าทายที่เขาได้ลั่นวาจาไว้ ก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น การท้าทายครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก เพราะเขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การได้ต่อสู้กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้
“ก็มาสิ ข้ายินดีต้อนรับเจ้าเลย” หวู่เก๋าหัวเราะด้วยเสียงที่ดูมีความสุขมาก
ลั่วอู๋เดินออกจากภูเขาแห้งแล้งอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างกายที่บาดเจ็บของเขา
ภายนอกบริเวณการทดสอบนั้น ฉูจงฉวนวิ่งเข้ามาถามผลการต่อสู้ของเขาอย่างเร่งรีบ “เป็นยังไงบ้างลั่วอู๋?”
“ข้าแพ้” ลั่วอู๋ยิ้ม
“เจ้าก็ยังหัวเราะได้อีกนะ”
“ข้าบอกว่า ข้าจะชนะแล้วชิง 100 คะแนนจากพวกเขาแต่ละคน แต่ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะชนะพวกเขาโดยไม่แพ้เลย เมื่อข้าแพ้ ข้าก็ยังสามารถไปท้าทายแก้มือได้อีกครั้งเสมอ”
ฉูจงฉวนขมวดคิ้ว “ที่เจ้าพูดมาก็ดูสมเหตุสมผลอยู่นะ”
“ก็แหงสิ”
ผู้คนรอบข้างต่างได้ยินการสนทนาของพวกเขา
ผู้คนจากสำนักหม่าเฉินรู้สึกโล่งใจ เพราะหากลั่วอู๋ไม่แพ้เลยสักครั้งพวกเขาคงจะต้องเสียหน้าแบบไม่มีอะไรเหลือกันทั้งหมด
โชคดีจริง ๆ โชคดี
วันนี้มีผู้คนจากสำนักเฉียนหลงมากันไม่มาก เนื่องจากสิบอันดับแรกของรายชื่อเฉียนหลงยังคงไม่เปลี่ยนไป และการรุกรานจากสำนักหม่าเฉินเองก็ได้ถูกชะลอตัวลง ดังนั้นการแข่งขันภายในจึงเริ่มต้นขึ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนล้วนเป็นคู่แข่งกัน พวกเขาไม่มีเวลาให้มาเสีย
“หวู่เก๋า หวู่เก๋าเจ้าเป็นอะไรไป” ทันใดนั้นก็มีเสียงของความตื่นตระหนกดังขึ้นมา
ทุกคนต่างมองไปในทางเดียวกัน
เมื่อทุกคนเข้าไปตรวจสอบ ก็ได้เห็นว่ามีเพียงแค่ครึ่งบนของหวู่เก๋าเท่านั้นที่ออกมาจากบริเวณการทดสอบ ครึ่งล่างของเขาก็ถูกตัดขาดออกไป! ลำไส้และเนื้อของเขากลิ้งไปตามพื้น แต่เขาก็คลานออกมาด้วยมือทั้งสองข้าง หนีตายออกมาจากภูเขาแห้งแล้ง
ในขณะนี้ลมปราณของเขาได้ลดลงถึงขีดสุด ครึ่งหนึ่งของเขายังคงมีเปลวไฟอมตะ รุกรานและเผาไหม้ร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา
เดิมทีเขามีร่างกายอันแข็งแกร่งและงดงาม แต่ตอนนี้กลับมีให้เห็นเพียงความอ่อนแออันไม่มีที่สิ้นสุด ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงสีดำที่ดูแปลกประหลาด
แสงสีดำชั้นนี้ ดูเหมือนจะตัดเสียงทั้งหมดของหวู่เก๋าออกไป เขาจึงไม่สามารถเรียกอาจารย์พิเศษในพื้นที่ภูเขาแห้งแล้งให้มาช่วยได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหนีออกมาจากภูเขาแห้งแล้ง
“อาจารย์ ช่วยด้วยมีคนบาดเจ็บสาหัส” ใครบางคนตะโกน
ทันทีที่อาจารย์พิเศษผู้ดูแลในด้านการรักษามาถึง และกำลังเตรียมที่จะรักษาหวู่เก๋า เขาก็พยายามรีดเร้นพูดประโยคหนึ่งออกมา “บอกให้จินฉันระวังตัวด้วย”
หลังจากนั้นใบหน้าของหวู่เก๋าก็บิดเบี้ยวแล้วเขาก็เสียชีวิตลง
มีความหนาวเย็นปรากฏขึ้นในหัวใจของทุกคน
หวู่เก๋าผู้ที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองของสำนักหม่าเฉิน ได้มาเสียชีวิตในสภาพเช่นนี้
นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
โดยเฉพาะสิ่งที่เขาพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนตาย.
จินฉันนั้นเป็นอันดับหนึ่งของสำนักหม่าเฉิน ทำไมจินฉันถึงต้องระวังตัวด้วย?
จังหวะนั้นบางคนก็เริ่มมองไปที่ลั่วอู๋ จากนั้นก็มีคนมองมาที่เขามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวันนี้เป็นวันที่ลั่วอู๋ต้องไปท้าทาย หวู่เก๋าตามลำดับ
แต่ลั่วอู๋เองก็กำลังตกใจเช่นกัน
หวู่เก๋าเสียชีวิต ?
“มองมาที่ข้าทำไม? ข้าได้ต่อสู้กับหวู่เก๋าไปแล้ว แต่ข้าแพ้” ลั่วอู๋ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าข้าชนะ ข้าจะเก็บไว้คนเดียวทำไม”
“แต่เป้าหมายต่อไปของเจ้าคือจินฉัน” ไห่เซอเดินออกมามองลั่วอู๋ด้วยสายตาไม่สู้ดีเท่าไหร่
ดวงตาของลั่วอู๋จมดิ่งลง “ใช่ ถ้าข้าชนะหวู่เก๋าได้ เป้าหมายต่อไปของข้าก็ต้องเป็นจินฉันสิ”
สายตาของผู้คนจากสำนักหม่าเฉินเริ่มผิดปกติ
เพราะคำพูดสุดท้ายของหวู่เก๋าคือให้จินฉันระวังตัว
“เรียกอาจารย์มาตรวจสอบสิ” ลั่วอู๋บอกให้เรียกอาจารย์พิเศษมาพิสูจน์ และแล้วเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไปในทันที
อาจารย์พิเศษผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบเดินออกมา
ปรากฏว่ามันไม่ใช่ฝีมือของลั่วอู๋
ผู้ก่อเหตุเป็นชายที่ปกปิดรูปร่างและหน้าตาของตัวเอง เข้าไปแอบแฝงเข้าโจมตีหวู่เก๋า พลังวิญญาณของหวู่เก๋านั้นถูกใช้ไปมากในการต่อสู้ ร่างกายของเขาจึงถูกตัดขาด
“แสงสีดำนี้สามารถปิดกั้นเสียงทั้งหมดได้” อาจารย์พิเศษชี้ไปที่แสงสีดำซึ่งค่อย ๆ จางหายไปจากหวู่เก๋าด้วยสีหน้าที่สง่างาม “นี่เป็นการฆาตกรรม ข้าจะไปรายงานให้ท่านรองประธานทราบ”
หลังจากนั้น อาจารย์พิเศษก็จากไปอย่างไม่รีบร้อน
ในการทดสอบการต่อสู้จริงนั้นสามารถฆ่าคนได้ แต่การปิดกั้นเสียงโดยเจตนาแบบนี้ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยอมรับความพ่ายแพ้นั้นสกปรกมาก
ลั่วอู๋รู้สึกหงุดหงิดมาก
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเกือบถูกไล่ออก
หากเขาไม่ได้ผลพิสูจน์จากอาจารย์ละก็ เขาจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วถูกไล่ออกเป็นแน่
“ไอ้บัดซบเอ๊ย อย่าให้ข้าจับตัวเจ้าได้นะ!” ดวงตาของลั่วอู๋เป็นประกายด้วยความโกรธ