ไหปีศาจ - บทที่ 363 เสาผนึก
บทที่ 363 เสาผนึก
บทที่ 363
เสาผนึก
ลั่วอู๋และพรรคพวก ยังคงเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีร่องรอยของบางอย่างที่มีขนาดเล็ก ติดตามมาด้านหลังของพวกเขาเสมอ
“มันยังตามเราอยู่เลย” ฉูจงฉวน กระซิบ
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก “ให้มันตามมาก็ได้ ยังไงเราก็จับมันไม่ได้อยู่ดี”
ระหว่างทาง ฉูจงฉวน ได้พยายามลองจับตัวของฝันร้ายเช่นกัน แม้ว่าเขาจะมีพลังของอาชูร่ามาเสริมด้วยแล้ว แต่ฝันร้ายก็ยังเล็ดลอดหนีจากเขาไปได้
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับฝันร้าย เว้นแต่ว่ามันจะมาชนเขากับพวกเขาเอง
เหวินเสี่ยวเองก็ได้ลองเช่นกัน เขาดึงดูดฝันร้ายด้วยคุณสมบัติอันผิดปกติของเขา น่าเสียดายที่ฝันร้ายไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่สามารถจับหรือไล่ฝันร้ายออกไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้มันติดตามพวกเขาตามใจมัน
ตลอดการเดินทาง ลั่วอู๋และพรรคพวก ได้พบกับสัตว์วิญญาณมนตราหลายชนิด
ตั้งแต่สัตว์วิญญาณที่มีร่างกายเหมือนมนุษย์แต่มีหัวเป็นแพะถือตรีศูล สัตว์ประหลาดโครงกระดูกที่ไม่มีเลือดเนื้อ และ ค้างคาวตัวใหญ่ยักษ์ที่มีท่าทางกระหายเลือด
นอกจากนี้ยังมีเต่าจระเข้ที่พรางตัวด้วยเปลือกหินหยาบ ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยแมงมุมปีศาจที่มีจุดด่างดำและดุร้าย ถ้ามันสูญเสียร่างกายไปครึ่งหนึ่งมันจะหลอมรวมกับร่างทางชีววิทยาอื่น ๆ เป็นสัตว์วิญญาณที่มีศพเป็นร่างกายส่วนครึ่งล่างของมัน
ที่นี่มีเต็มไปด้วยสัตว์วิญญาณมากมายที่ลั่วอู๋ไม่เคยได้เห็นมาก่อนจริง ๆ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ลั่วอู๋ ได้ปลดผนึกหนังสือสัตว์วิญญาณไปเกือบ 40 หน้า ซึ่งถือว่าค่อนข้างประสบผลสำเร็จ คาดว่าเขาจะสามารถปลดผนึกความสามารถใหม่ของไหปีศาจได้อีกครั้งในไม่ช้า
ทว่าระหว่างทางพวกเขาก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไหร่
ในตอนที่ทั้งสามคน เดินผ่านเนินเขา พวกเขาก็ได้พบพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงได้เขาไปสำรวจว่าตรงนั้นมีเหมืองแร่วิญญาณหายากรึเปล่า
แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะไปเผลอปลุกสัตว์วิญญาณระดับเพชร – สัตว์ร้ายกลืนกิน
ร่างกายของมันใหญ่โตเหมือนภูเขาที่ไม่มีอวัยวะใด ๆ ทั้งตัวเป็นเหมือนหนองน้ำ มันจะกัดกินสิ่งมีชีวิตรอบตัวทั้งหมดโดยอัตโนมัติ
ทั้งสามแทบจะถูกกลืนกินในทันที แต่โชคดีที่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ลั่วอู๋ สามารถตอบโต้ได้ทันแล้วใช้ทักษะทะลวงมิติของเขาเพื่อหลบหนีจากระยะการโจมตีของสัตว์ร้ายกลืนกิน
พวกเขาพบกับปัญหาและอันตรายมากมาย โดยมีเจ้าฝันร้ายตัวเล็ก ๆ คอยติดตามไม่ได้จากไปไหน
ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
พรรคพวกลั่วอู๋ทั้งสามเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของนรกมนตรามากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาสามารถแยกพลังวิญญาณบริสุทธิ์ออกจากอากาศอันขุ่นมัวได้สำเร็จ ทำให้ประสิทธิภาพสูงในการต่อสู้สูงขึ้นเรื่อย ๆ และความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
ฉูจงฉวน ได้รับสัตว์วิญญาณตัวที่สาม ที่เขาต้องการแล้ว อีกทั้งยังได้เก็บเกี่ยวเพชรกระดูกหินระหว่างทาง ซึ่งถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขาจะกลับไปยังสำนักเฉียนหลงเลยก็ได้ด้วยความสำเร็จเหล่านี้
แต่เขาก็ไม่ได้จากไปไหน เขาไม่ได้ถามลั่วอู๋ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องไปทางตะวันออกเฉียงใต้ แต่กลับเดินติดตามไปอย่างเงียบ ๆ
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงภูเขาขนาดใหญ่
ทิวเขาสูงจนแทงขึ้นไปในท้องฟ้าอันมืดมิด
ที่นี่เต็มไปด้วยการระเบิดของลมปราณอันชั่วร้าย ลมปราณแห่งความชั่วร้ายเหล่านี้ต่างก็คมกริบราวกับใบมีดอันแหลมคมที่ปาดลงบนผิวหนังทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดที่ได้สัมผัส
หินนำทางหยุดลงที่นี่ ทำให้ลั่วอู๋รู้ว่าเขามาถึงปลายทางแล้ว
“ข้ามีบางอย่างจะสารภาพกับเจ้า” ลั่วอู๋กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ฉูจงฉวน พยักหน้า “พูดมาสิ”
“ อันที่จริงครั้งนี้ที่ข้ามายังนรกมนตราแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะแค่หาประสบการณ์ สำหรับข้าแล้ว ข้ามีจุดมุ่งหมายอีกอย่าง ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะเดินมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้” ลั่วอู๋พูดอย่างเชื่องช้า
“การเปลี่ยนสถานที่ในการฝึกอบรมมิติจากอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะเป็นนรกมนตราเองก็เป็นเพราะจุดมุ่งหมายของข้าเช่นกัน”
“อึ!” ฉูจงฉวน อดไม่ได้ที่จะตะโกน
ลั่วอู๋ บอก ฉูจงฉวน และ เหวินเสี่ยว เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาซ่อนเพียงแค่เรื่องราวของเขาเกี่ยวกับการตามหาภูตไห เขาบอกไปเพียงแค่ว่าเขาต้องการพบกับเจ้าสำนัก
ฉูจงฉวน รู้สึกหดหู่ใจ
อย่างไรก็ตามความฝันของเขา ก็คือการไปยังอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ
แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะบ่น เพราะเขาได้พบสัตว์วิญญาณตัวที่สามที่เขาต้องการแล้ว
ส่วนเหวินเสี่ยวไม่ได้ตอบสนองต่อสิ่งนี้
“ตามที่รองปเจ้าสำนักบอก เราจะสามารถพบท่านเจ้าสำนักได้ที่นี่” ลั่วอู๋กล่าว แต่เรื่องที่ว่าบนภูเขานี้มีอันตรายมากแค่ไหน ข้าก็ไม่อาจจะสามารถรับประกันได้ พวกเจ้ายังต้องการที่จะเดินทางไปต่อกับข้าไหม? ”
“แน่นอนสิ” แม้จิตวิญญาณของฉูจงฉวนจะสั่นคลอน แต่เขาเลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม
“นั่นคือเจ้าสำนักเลยนะ ท่านเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของราชวงศ์มังกรเร้นกาย ผู้มีอำนาจเช่นนี้ ใคร ๆ ก็คงอยากจะพบเมื่อมีโอกาสกันทั้งนั้น”
เหวินเสี่ยวหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความดีใจของเขาเอาไว้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็จะขอร่วมสนุกด้วย อันที่จริงข้าเองก็มีอะไรที่อยากจะถามท่านเจ้าสำนักเช่นกัน”
ลั่วอู๋มองไปที่เหวินเสี่ยวด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็พอเดาได้อยู่ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร
ก่อนหน้านี้เหวินเสี่ยวเองก็เคยพูดถึงภูตไหออกมา
“งั้นก็ไปด้วยกันนี่แหละ” ลั่วอู๋พยักหน้า
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในภูเขาปีศาจอันสูงตระหง่าน ที่เต็มไปด้วยไอวิญญาณแห่งความชั่วร้าย
ไม่มีสัญญาณของสิ่งชีวิตในภูเขานี้เลย มันแปลกเสียจนรบกวนจิตใจของพวกเขา ที่นี่มันไม่มีอะไรเลยนอกจากหินสีดำขนาดใหญ่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
ทั้งสามเดินขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งพวกเขาขึ้นไปมากเท่าไหร่ ลมปราณอันชั่วร้ายสีดำก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จนพวกเขาต้องใช้พลังวิญญาณมากขึ้นเพื่อต่อต้านมัน
“ท่านเจ้าสำนักอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ? นายไม่ได้ถูกหลอกใช่ไหมลั่วอู๋?” เสียงของลมปราณที่พัดลงมานั้นดังเกินไป จน ฉูจงฉวนทำได้เพียงแค่ตะโกน
ลั่วอู๋ส่ายหัว “รองเจ้าสำนักไม่มีเหตุผลที่จะโกหกข้า นี่คือรางวัลสำหรับอันดับหนึ่งของรายชื่อเฉียนหลง”
สถานที่นี้มันดูแปลก ๆ เกินไป
ทำไมเจ้าสำนักถึงมาอยู่ที่นี่กัน?
เพื่อต่อต้านพลังวิญญาณอันชั่วร้าย ทั้งสามได้ใช้พลังวิญญาณไปมากกว่าครึ่ง มันยากมากที่จะดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์ในสถานที่เช่นนี้ ถ้าพวกเขาไม่พบเจ้าสำนักพวกเขาก็ควรกลับออกไป
มิฉะนั้นพลังวิญญาณที่พวกเขามีจะต้องหมดลง และไม่สามารถป้องกันต่อไปได้ ทำให้พวกเขาอาจจะต้องตายลงในภูเขาปีศาจประหลาด ๆ นี้
ทั้งสามคนพยายามปีนขึ้นไป จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่ที่คล้ายกับไหล่เขา ซึ่งมีทางผ่านเป็นที่ราบเล็กน้อย
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีเสาหินสีดำขนาดใหญ่ ดูเหมือนจะถูกฝังอยู่ในภูเขาโดยเหลือให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของเสา
“พักผ่อนก่อนแล้วค่อยขึ้นไปกันต่อดีกว่า ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านเจ้าสำนักถึงอยากมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้กัน” ลั่วอู๋บ่น
เมื่อทั้งสามฟื้นพลังวิญญาณของพวกเขาจนพร้อมออกเดินทาง เสาหินขนาดใหญ่ก็สั่นสะเทือน ส่งผลให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะท้านไปด้วย
ลั่วอู๋ตกใจมาก
ภูเขานี้กำลังจะถล่มงั้นเหรอ? หรือว่ามีบางสิ่งที่ทรงพลังในภูเขา กำลังจะปรากฏตัวขึ้นกัน?
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ มันยากเกินไปที่จะวิ่งหนีออกไปจากสถานที่อันตรายเช่นนี้
แต่ในเวลาต่อมาเสียงที่ทึมๆหนา ๆ ดังขึ้น “พวกเจ้าเป็นนักเรียนของสำนักเฉียนหลงใช่รึเปล่า?”
พรรคพวกลั่วอู๋ทั้งสามต่างตกใจ
เสียงนี้มาจากที่ไหนกัน?
เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ พวกเขาก็ไม่ได้เห็นอะไร แต่แล้วการสั่นของภูเขาก็ค่อยๆลดลง จนตกอยู่ในความเงียบงัน
“ข้าอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว” เสียงดังมาอีกครั้ง
มันชวนให้หนาวจริงๆ
ทั้งสามคนได้รับรู้ร่วมกันอย่างรอบคอบว่าไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ที่นี่ แต่กลับมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหน้าพวกเขา? มันคือหินบนพื้นดินหรือเสากันแน่ ?
แต่ดูเหมือนว่าเสียงจะมาจากทิศทางของเสาเสียมากกว่า
ลั่วอู๋จ้องมองไปที่เสา เขาจำมันได้ รองเจ้าสำนักบอกเขาว่า เขาสามารถหาท่านเจ้าสำนักได้โดยไปที่เสาผนึก
เสานี้ควรเป็นเสาที่เรียกว่าเสาผนึก
“ท่านกำลังพูดอยู่?” ลั่วอู๋พยายามทำให้จิตใจของเขามั่นคง โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่ มันไม่ยากเกินไปหากเขาจะยอมรับว่าคำพูดนั้นมาจากเสา
“ใช่”
“ท่านรู้ไหมว่า เจ้าสำนักของพวกเราอยู่ที่ไหน?” ลั่วอู๋ถามอย่างสุภาพ
“ ฮ่าฮ่าฮ่า” เสาหัวเราะ “เจ้ากำลังมองหาเจ้าสำนักของสำนักเฉียนหลงสินะ นั่นคือข้าเองยังไงล่ะ”
ทันใดนั้นจิตใจของทั้งสามคนก็ตกอยู่ในความสับสนเหมือนดั่งพายุ