ไหปีศาจ - บทที่ 370 เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์
บทที่ 370 เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์
บทที่ 370
เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์
หลี่หยินโอบกอดเสี่ยวหลวนและลูบไล้ขนของมันด้วยความห่วงใย
แม้ว่าสัตว์วิญญาณธาตุมืดอย่างมันจะเย็นชามาก แต่มันก็ยังคงทำตัวอ่อนน้อมเมื่ออยู่กับนายของมันโดยไม่รู้สึกขัดขืนใด ๆ และในบางครั้งมันก็ส่งเสียงออกมาเบา ๆ สองครั้งเป็นการเอาใจนาง
แม้มันจะได้รับการวิวัฒนาการมา แต่ขนาดของร่างกายก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก มันจึงสามารถนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลี่หยินได้สบาย ๆ
หลี่หยินนั้นไม่ได้โง่ นางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเสี่ยวหลวน
แก่นวิญญาณของมันกลายเป็นขั้นสูง และรูปร่างบางส่วนของมันก็เปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สามารถอธิบายได้เพียงว่าเสี่ยวหลวนนั้นได้วิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น
หลี่หยินเงยหน้าขึ้นมองลั่วอู๋และกล่าวอย่างขอบคุณ “ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ นายน้อย”
“ ยัยบื้อ เพื่อเจ้าข้าทำให้ได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง?” ลั่วอู๋หัวเราะ
การที่เสี่ยวหลวนวิวัฒนาการเช่นนี้ ย่อมทำให้ความแข็งแกร่งของหลี่หยินดีขึ้นเป็นอย่างมาก ลั่วอู๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วจึงหยิบดอกไม้แห่งพันธนาการสีดำออกมาสามกลีบ
“เอาดอกไม้นี้ไปสิ”
เสี่ยวหลวนดมเล็กน้อย จากนั้นมันก็หันหัวกลับไปอย่างไม่สนใจเท่าไหร่ หลี่หยินมองไปที่ลั่วอู๋อย่างไม่เข้าใจ “นี่มันอะไรเหรอเจ้าคะ?”
“ข้าได้พบกับสัตว์วิญญาณที่อาจจะเหมาะกับเจ้าในนรกมนตรา แต่ข้าจับมันมาไม่ได้ ถ้าเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปในนรก มนตรา จงพกดอกไม้แห่งพันธนาการสีดำนี้ไปด้วย บางทีเจ้าอาจได้รับอะไรบางอย่างกลับมา” ลั่วอู๋ กล่าว
หลี่หยินพยักหน้า
นางอยู่ห่างจากการเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองเพียงก้าวเดียว นางจึงสมควรที่จะพิจารณาหาสัตว์วิญญาณตัวที่สามได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยสนใจถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เพราะท้ายที่สุดทั้งสัตว์วิญญาณตัวแรกและตัวที่สองของนางนั้น นางไม่ได้เป็นคนคิดริเริ่มที่จะทำ พันธสัญญากับมัน
“เจ้าพอจะเรียกเสี่ยวไป่ออกมาได้ไหม เรียกมันออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ” ลั่วอู๋ไม่ได้ลืมเกี่ยวกับ เสี่ยวไป่กระต่ายแห่งแดนสาบสูญระดับราชา มันได้กินหญ้าพระจันทร์สีเงินไปมากเขาอยากรู้ว่ามันเป็นยังไงแล้ว
หลี่หยินเรียก เสี่ยวไป่ ออกมา
เสี่ยวไป่ กระต่ายตัวอ้วนกลมใหญ่โผล่ขึ้นมา มันมีขนสีขาวนวลทั้งตัว และมีแสงประกายสีเงินสว่างไสว ราวกับมีสารเรืองแสงอยู่ทั่วทั้งตัว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยพลังวิญญาณห้วงมิติอันแข็งแกร่ง ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในห้วงมิติโดยรอบสั่นไหวไปมา
สิ่งนี้ทำให้ลั่วอู๋ประหลาดใจ
ทำให้ ลั่วอู๋ ต้องตรวจดูข้อมูลของมัน
เผ่าพันธุ์: กระต่ายแห่งแดนสาบสูญ (ระดับราชา)
ระดับ : ทอง
มิติ : ระดับทอง มิติ 2
ทักษะ: ทะลวงมิติ (ระดับSS), กระโดด (ระดับ f), การบิน (ระดับ a), ราชันผู้สง่างาม (ระดับ a), ตัดห้วงมิติ (ระดับ S), บีบอัดห้วงมิติ (ระดับ S), ทลายช่องว่าง (ระดับ S)
พื้นเพ: ราชาที่แท้จริงของเหล่ากระต่ายแห่งแดนสาบสูญ มันอ่อนโยนไม่ชอบความขัดแย้ง มีความสามารถในการควบคุมห้วงมิติ
ลั่วอู๋ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า เสี่ยวไป่ จะเชี่ยวชาญทักษะห้วงมิติได้ถึงสามทักษะ อีกทั้งพวกมันทั้งหมดยังเป็นทักษะระดับ S อีกด้วย
เดิมทีมันเป็นเพียงสัตว์วิญญาณทั่ว ๆ ไป ที่มีทักษะพอใช้งานได้บางส่วน โดยทักษะที่มีค่าที่สุดของมันคือทะลวงมิติ แต่ตอนนี้มันได้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว
ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสัตว์วิญญาณในระดับมิติวิญญาณเดียวกันเลยแม้แต่น้อย
“ข้าคงไม่จำเป็นต้องปรับแต่งมันแล้วล่ะ มันแข็งแกร่งมากพอแล้ว” ลั่วอู๋ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องฝึกฝนให้หนักเลยล่ะ สัตว์วิญญาณทั้งสองตัวนี้ต่างก็ไปถึงมิติวิญญาณระดับทองกันแล้ว”
หลี่หยินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าค่ะ!”
นางได้สังเกตเห็นโอกาสที่จะก้าวข้ามมิติวิญญาณของนางแล้ว นางจึงน่าจะสามารถก้าวผ่านมันไปได้ในเวลาอันสั้น
ทันใดนั้นประตูห้องของหลี่หยินก็เปิดออก องค์หญิง เจียโรวเดินออกมาพร้อมกับขยี้ตาของนาง แม้ว่านางจะแต่งตัวสวยงาม แจ่มใส แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้อารมณ์ดีเท่าไหร่
“ฮาา ฮาว”องค์หญิงเจียโรวหาว “อรุณสวัสดิ์”
“ นั้นมันเลยมานานแล้ว ตอนนี้มันเที่ยงต่างหาก” ลั่วอู๋พูด
“ฮึ่ม”องค์หญิงเจียโรวตะคอก “ไม่รู้ว่าใครมันส่งเสียงดังในสวนหลังบ้านตอนกลางคืน ข้าก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ”
ลั่วอู๋ลำบากใจเล็กน้อย เขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนที่เปิดช่องประตูมิติ ได้เกิดการเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้น
องค์หญิงเจียโรว มองไปที่ หลี่หยิน แล้วจึงพูดว่า “ข้าขอตัวกลับไปก่อนล่ะ แล้วเดี๋ยวข้าจะวนกลับมาหาเจ้าอีกในภายหลัง”
“เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” หลี่หยินกล่าว
“เจ้ากำลังจะไปไหนรึ?” ลั่วอู๋ถามอย่างสงสัย
” ข้ากำลังจะไปชิงอันดับรายชื่อเฉียนหลง ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งจริงๆ ข้าคิดว่ามันยากมากที่จะไปถึงสิบอันดับแรก ไม่คิดเลยว่าเจ้าได้ที่หนึ่งซะด้วย ” องค์หญิงเจียโรว กล่าว
ลั่วอู๋ ยิ้ม “หาได้ยากนะเนี่ย ที่ข้าจะได้ยินคำสรรเสริญถึงตัวข้าจากปากเจ้า”
“พอ…”
“ทำไมเจ้าถึงต้องการชิงอันดับรายชื่อสำนักเฉียนหลงล่ะ เจ้าไม่น่าสนใจรางวัลเช่นนั้นเลยนี่นา” ลั่วอู๋ถาม
องค์หญิงเจียโรว พูดเสียงแข็ง“ ข้าต้องการจะพิสูจน์ตัวเอง มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะให้รางวัลข้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยมั่นใจเกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง แต่ในตอนนี้ที่ข้าได้เข้าร่วมสำนักเฉียนหลง ข้าก็ได้รู้ว่ามีผู้มีพรสวรรค์มากมายในโลก แน่นอนว่าข้าเองก็ต้องตามพวกเขาให้ทัน”
ลั่วอู๋มององค์หญิงเจียโรวด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่คาดคิดว่าองค์หญิงเจียโรวจะสนใจการแข่งขันได้ถึงขนาดนี้
“มันก็มีเหตุผลอื่นด้วยแหละ”องค์หญิงเจียโรวหัวเราะ“ ข้าอยากมีส่วนร่วมในการฝึกอบรมมิติ”
แม้ว่าการต่อสู้เพื่อชิงรายชื่อจะจบลงไปแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการฝึกอบรมมิติเพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามมีเพียงนักเรียนที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของอันดับรายชื่อสำนักเฉียนหลงเท่านั้น ที่จะสามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเองได้ว่าพวกเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการฝึกอบรมอวกาศ
“เจ้าอยากไปที่ไหน?” ลั่วอู๋สงสัย
ใบหน้าขององค์หญิงเจียโรวแสดงรอยยิ้มออกมา “ข้าอยากไปดินแดนเซียนโบราณหมื่นอมตะที่มีภูตมากมาย เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบพวกมันมาก”
ฉูจงฉวน เองก็ต้องการไปยังดินแดนเซียนโบราณหมื่นอมตะ เพื่อตามหา เชียนจี แต่องค์หญิงเจียโรวนั้นมีความฝันที่บริสุทธิ์กว่า นางชอบภูตทุกประเภท
ลั่วอู๋ถาม “เจ้ามีสัตว์วิญญาณตัวที่สามรึยังล่ะ? การขาดสัตว์วิญญาณมีผลอย่างมากต่อความแข็งแกร่ง มันคงจะไม่เอื้อต่อการชิงอันดับเท่าไหร่หากเจ้ายังไม่มีมัน”
มิติวิญญาณขององค์หญิงเจียโรวได้ไปถึงระดับทองแล้ว นางจึงสามารถที่จะทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณตัวที่สามได้
“ ยัง ข้ายังไม่ได้เจอสัตว์วิญญาณคู่พันธะที่ต้องการเลย ข้าจะลองหามันในภายหลัง”องค์หญิงเจียโรวดูไม่รีบร้อน
ดูเหมือนว่านางจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมาก
องค์หญิงเจียโรว ออกจากบ้านพักของ ลั่วอู๋ เตรียมพร้อมที่จะไปยังเวทีประลองศิลปะการต่อสู้ ซึ่งจังหวะนั้นเอง ฉูจงฉวนก็เดินเข้ามา
“เจ้ามัน..” ฉูจงฉวน ตกใจ ” องค์หญิงเจียโรว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่กัน? ”
องค์หญิงเจียโรว จ้องมองเขา “ข้าต้องบอกเจ้าด้วยรึไง?”
“ไม่ ไม่”
“ฮึ่ม”องค์หญิงเจียโรวตะคอกแล้วหันกลับไป
ฉูจงฉวน เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยุ่งเหยิงและมองไปที่ ลั่วอู๋ ด้วยสายตาแปลก ๆ “องค์หญิงเจียโรว มาที่นี่ได้อย่างไรกัน? เจ้าเพิ่งกลับมาก็มีส่วนร่วมกับองค์หญิงแล้วเหรอ?”
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ นางเพิ่งมาค้างที่นี่เมื่อวานเอง”
“ โกหกน่า!” ฉูจงฉวน ดูตกใจ
ลั่วอู๋ เหลือบมองเขา “องค์หญิงเจียโรวมาหาหลี่หยินพวกนางคุยกันทั้งคืน นางจึงเลือกที่จะค้างคืนที่นี่เจ้ามีปัญหาอะไร?”
“ให้ข้าได้ตกใจเถอะน่า” ฉูจงฉวน พยายามสงบสติลงแล้วจึงบ่น “เจ้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถสงบสติได้ในหนึ่งลมหายใจใช่ไหมเนี่ย”
ลั่วอู๋กลอกตา
ฉูจงฉวน กล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้ารู้สึกมาตลอดเลยว่าเจ้ากับองค์หญิงเจียโรว ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ พวกเจ้ามีมิตรภาพลับ ๆ กันใช่ไหม?”
“ อย่าพูดเรื่องไร้สาระน่า” ลั่วอู๋กล่าว
ฉูจงฉวน ตอบ “ไร้สาระอะไร ข้าก็แค่คิดว่าทัศนคติขององค์หญิงที่มีต่อเจ้า กับของคนอื่น ๆ มันไม่เหมือนกัน”
ลั่วอู๋ตกใจมาก แต่ด้วยเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วฝั่งเจ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เจ้ากลับมาถึงเมื่อคืน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉูจงฉวน ก็อารมณ์ดีขึ้น
“ ฮ่า ๆ ๆ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง” ฉูจงฉวนกล่าวอย่างร่าเริง “หลินยูหลันถามว่าสัตว์วิญญาณตัวใหม่ที่ข้าได้รับมาคืออะไรจากนั้น ข้าก็เรียกอาชูร่าออกมา”
“เจ้ารู้ไหมว่าปฏิกิริยาของนางเป็นอย่างไร”
“นางไม่ได้โกรธอะไรข้าเลย นางกลับอ่อนโยนมาก นางบอกว่านางดีใจมากที่ ข้ากังวลว่านางจะโกรธและเลือกสัตว์วิญญาณที่สวยงามมา”
“ฮ่าฮ่า เจ้าเชื่อไหมว่า หลินยูหลันคิดว่าอาชูร่า น่าเกลียด ทีนี้ข้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านความงามของนางแล้ว”
ลั่วอู๋ มองไปทาง ฉูจงฉวนที่มีใบหน้าอันภาคภูมิใจ เช่นเดียวกับการมองคนงี่เง่า
“เจ้าคิดว่าอาชูร่าหน้าตาดีจริงๆเหรอ?” ลั่วอู๋ ถาม
รอยยิ้มของ ฉูจงฉวน แข็งขึ้นมาในทันที
“เจ้าไม่คิดว่านางดูดีงั้นเหรอ ?” ฉูจงฉวน ถามอย่างสงสัย
ลั่วอู๋พยักหน้า “ พูดกันตามตรงนะ นางน่ากลัว”
“ข้าไม่คิดเลยว่าสุนทรียภาพของเจ้าจะมีปัญหา”
“เหวินเสี่ยวเองก็คิดแบบนั้น”
“ ……”
ฉูจงฉวน อดไม่ได้ที่จะสงสัยตัวเอง คนที่มีปัญหาเรื่องรสนิยมของความงามคือข้าเหรอ?