ไหปีศาจ - บทที่ 423 สิบสามนายพลแห่งเทพเจ้า
บทที่ 423 สิบสามนายพลแห่งเทพเจ้า
บทที่ 423
สิบสามนายพลแห่งเทพเจ้า
“ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะมาจากตระกูลหนิงใช่ไหม ? เพียงแต่ว่าเจ้าเป็นแค่สายเลือดรองใช่ไหม?” ลั่วอู๋มองชายคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
แม้ตระกูลหนิงจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ก็มีลูกหลานไม่กี่คนที่เป็นสายเลือดแท้ โดยพวกเขาเหล่านั้นมักจะมีอำนาจมากในกองทัพ
การที่อีกฝ่ายอยู่ในวัยนี้ และความแข็งแกร่งก็ไม่ได้แย่ ถ้าเขาเป็นบุตรชายที่เป็นสายเลือดแท้ล่ะก็ เขาก็ควรมีชื่อเสียงมาก แต่นี่ลั่วอู๋กลับไม่รู้จักเขา
ชายคนนั้นดูเหมือนจะถูกแทงใจดำจนเจ็บปวด เขาส่งเสียงคำรามต่ำอย่างโกรธเกรี้ยว“ ไม่ใช่สายเลือดแท้แล้วมันยังไงเล่า เจ้าจะบอกว่าข้า หนิงหยินจิว ผู้นี้อ่อนแอกว่าสายเลือดแท้พวกนั้นรึไง?”
“ ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าแข็งแกร่งรึเปล่า ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีภารกิจให้มาตั้งค่ายนี้จริงๆงั้นเหรอ เจ้ามีสิทธิ์ในการบังคับบัญชากองทัพของตระกูลหนิง โดยที่องค์จักรพรรดิอนุญาตแล้วหรือไม่?” ลั่วอู๋ถาม
ทหารทั่วทั้งค่ายต่างตกตะลึง
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้บุกรุกตรงหน้าถึงกล้าพูดอะไรแบบนี้
หนิงหยินจิวเริ่มรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
อีกฝ่ายถามคำถามนี้กับเขาได้อย่างไร เขารู้อะไรมากันแน่?
“แน่นอนสิข้ามีสิทธิ์อยู่แล้ว เจ้าต่างหากที่ได้ก่ออาชญากรรมต่อจักรวรรดิโดยการบุกรุกค่ายฝึกทหารและขัดขวางภารกิจลับ พวกเจ้าจับตัวเขาไปขังซะ” หนิงหยินจิวคำราม
เขาไม่อยากให้ลั่วอู๋พูดอะไรมากไปกว่านี้
ทันใดนั้นทหารทั้งหมดก็กลายเป็นเหมือนหมาป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ
ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ “ชัดเจนเลยว่าเจ้าทำงานให้คฤหาสน์ขององค์ชาย แต่ข้าจำไม่ได้เลยนะว่าคฤหาสน์ขององค์ชายมีคุณสมบัติในการบัญชาการค่ายทหารด้วย”
อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะได้ยินที่ลั่วอู๋พูด แต่ทหาร รอบ ๆ ก็ไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด เพราะคำสั่งนั้นได้กระจายออกไปแล้ว และจำนวนทหารที่มีมากก็ทำให้ไม่สามารถหยุดขัดขืนกันได้ง่าย ๆ
ใบหน้าของหนิงหยินเต็มไปด้วยความกังวล เนื่องจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
ชายคนนี้ซ่อนตัวอยู่ข้างๆเขา จึงน่าจะได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปทั้งหมด
ว่ากันว่า ลั่วอู๋ และองค์หญิงเจียโรวสนิทกันมาก หากเหตุการณ์ในวันนี้ไปถึงหูขององค์จักรพรรดิแล้วล่ะก็ ความพยายามที่ผ่านมาตลอดสามปีนี้จะต้องสูญเปล่า
เขาเกิดในตระกูลหนิงที่มีหลักประกัน ประกอบกับคุณสมบัติอันโดดเด่นของเขา เขาจึงได้เข้าร่วมหน่วยรบค่ายกลสังหาร แต่เนื่องจากตัวตนฐานะในตระกูลหนิงของเขาที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ เขาจึงเป็นเหมือนเป็ดในน้ำในกองทัพ
แต่หลังจากที่เขาได้ทำภารกิจล้มเหลวครั้งใหญ่ เขาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งทางทหาร
เขาไม่ได้โกรธอะไร แต่กลับคิดว่าถ้าเขาเป็นเชื้อสายเลือดแท้ของตระกูลหนิง เขาก็คงจะไม่ถูกปฏิบัติเช่นนี้ ความผิดของเขาคือเขาเป็นเพียงแค่สายเลือดไม่แท้และไม่ได้มีคนหนุนหลังอะไร
ในตอนนั้นเองที่องค์ชายเล็กเข้ามาพบเขา
ดังนั้นเขาจึงหันไปพึ่งพาองค์ชายเล็ก และนำทหารจำนวนหนึ่งของหน่วยรบค่ายกลสังหารออกไปตามคำสั่งของเขา โดยอ้างว่าเป็นภารกิจลับ ทำให้เขาสามารถนำหน่วยรบค่ายกลสังหารมายังแหล่งมรดกทางการทหารโบราณนี้ได้
แน่นอนว่าองค์ชายเล็กได้เตรียมหลักฐานสำหรับการออกมาของพวกเขาเอาไว้แล้ว เพื่อไม่ให้มีพิรุธ โดยทำให้ หนิงหยินจิว และทหารในหน่วยรบค่ายกลสังหารที่ติดตามเข้ามาอยู่ในสถานะ “เสียชีวิตในหน้าที่”
ภารกิจนี้จะล้มเหลวไม่ได้โดยเด็ดขาด
ถ้าเขาล้มเหลวเขาก็จะไม่มีทางนี้ทีไล่หรือชีวิตที่สุขสบายอีกต่อไป
ไม่ว่าจะด้วยกฎหมายของจักรวรรดิ กฎหมายทหาร หรือกฎหมายของตระกูล ผลลัพธ์ที่เขาจะได้รับหากเรื่องนี้หลุดรอดออกไปก็คือความตาย
“ตายซะ!” หนิงหยินจิวเข้าโจมตีโดยหมายที่จะจับตัวลั่วอู๋ก่อนเป็นอย่างแรก
ลมปราณของมิติวิญญาณระดับทอง 9 ถูกเปิดเผยออกมา
ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ต่ำอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าคนที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับทองขั้นสูงนั้นเป็นตัวตนที่ค่อนข้างหายากในอาณาจักร
ผู้แข็งแกร่งระดับนั้น มักจะไปรวมตัวกันในกองรบ “มังกร” ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วไม่มีทางอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา
อย่างดีที่สุด ทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ ก็มีเพียงระดับเสือนั่น หรือก็คือระดับสาม หวังเฉิงฮ่วย ซึ่งถูกกู่ ฉวนฆ่าตายจึงได้รับการนับว่ามีบทบาทสำคัญในกองรบนี้
ลั่วอู๋ไม่ได้กลัว “ข้าควรกวาดล้างสถานที่ให้เรียบร้อยไปเลยดีกว่า จากนั้นข้าก็จะจับเจ้ามาทรมานซะ”
พูดจบ ลั่วอู๋ ก็เปิดใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
ลมปราณของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุดในชั่วพริบตา แต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้พลังของต้าหวงหรือตวนซี แต่ใช้พลังของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ
“ออกไปจากที่นี่ซะ”
ทักษะ ระดับ S [ลมปราณแห่งเพลิงและวายุ] ถูกใช้งาน
เปลวไฟอันร้อนแรงพุ่งออกมาล้อมรอบตัวของลั่วอู๋ ความร้อนอันน่ากลัวแผดเผาอากาศจนทำให้เกิดเสียงแตก
เช่นเดียวกับหินหนืดใต้พิภพ คลื่นไฟนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนทหารทั้งหมดถูกระเบิดกระเด็นออกไปในทันที
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋นั้นไม่ได้ใช้ความแรงที่แท้จริงของมัน เขาเพียงแค่ต้องการผลัดอีกฝ่ายให้ถอยกลับไป เพราะหากเขาใช้ทักษะนี้อย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ ทหารหลายร้อยนายตรงนี้คงจะถูกแผดเผาจนสิ้น
ทางด้านหนิงหยินจิวเขาเองก็เตรียมรับมือกับลั่วอู๋
ด้านหลังของเขาปรากฏเงาของสัตว์วิญญาณตัวสูงที่ดูศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังพร้อมกับไฟโลกันตร์ที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาของมัน
สัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูง – ม้าผี
ทักษะระดับ s [แรงกระแทกแห่งโลกันตร์]
หนิงหยินจิ่วกระโดดขึ้นไปด้วยพลังของมิติโลกันตร์ ตวัดขาของเขาลงมาปล่อยพลังวิญญาณอันน่ากลัวราวกับว่าจะถล่มพื้นที่ทั้งหมดให้หายไปจากแผนที่
ดวงตาของลั่วอู๋ขยับ
ถ้าเขาไม่รับมือท่านี้อย่างระมัดระวังล่ะก็ แม้แต่ตัวเขาเองก็คงต้านทานมันไม่ได้
“ ก็ มาสิ” ลั่วอู๋ควบคุมเปลวไฟนกอมตะด้วยมือซ้ายของเขา จากนั้นไฟสีดำมืดก็ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆที่มือข้างขวาของเขา ปิดท้ายด้วยไฟในแห่งความว่างเปล่าสีขาว ก็เริ่มควบแน่นอย่างช้าๆในแววตาของเขา
เปลวไฟทั้งสามชนิดพุ่งตรงไปที่หนิงหยินจิ่ว
ตูม!
เปลวไฟสามสีลุกไหม้
หนิงหยินจิวถูกระเบิดกระเด็นออกไป และมีร่องรอยของความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา จากนั้นเขาพยายามทำให้ร่างกายของเขาคงที่ ปัดเปลวไฟทั้งสามชนิดออกจากร่างกายของเขา
ร่างกายของเขา รวมถึงวิญญาณทั้งหมดถูกกัดกร่อนโดยไฟเหล่านั้น ทำให้เขารู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก
“ชิ อัจฉริยะแห่งสำนักเฉียนหลง” ร่องรอยของความโกรธฉายขึ้นในแววตาหนิงหยินจิว เขาคำรามออกมา จากนั้นพลังวิญญาณอันน่ากลัวของโลกใต้พิภพก็หลั่งไหลไปทั่วทั้งร่างของเขา
พลังแห่งมิติโลกันตร์ เบ่งบานราวกับดอกไม้ไฟ จากนั้นร่างเสมือนของมนุษย์ก็ควบแน่นอยู่ข้างหลังเขา
เงาของร่างมนุษย์นั่งอยู่บนม้าผีอย่างปลอดภัย เขาถือดาบขนาดใหญ่ไว้ในมือ นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงเข้ม เต็มไปด้วยความโกรธอันไม่มีที่เปรียบ การรวมกันของคนและม้าผีนั้นมีพลังที่ทรงพลังมากพอจะกวาดล้างเมืองทั้งเมืองหรือทำลายประเทศเล็ก ๆ ได้เลยทีเดียว
ทักษะระดับ s [เชิญวิญญาณ]
ทักษะที่เป็นจุดเด่นที่สุดของม้าผี ทักษะนี้สามารถเรียกร่างเงาของผู้ที่เป็นอดีตเจ้าของม้าผีออกมาได้ พลังนี้จะแข็งแกร่งขึ้นตามความแข็งแกร่งของเจ้าของเดิมของม้าผี
เห็นได้ชัดว่าร่างเงานั้นเป็นของแม่ทัพที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน
หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว หนิงหยินจิว ก็ถือเพียงดาบธรรมดาในมือ จากนั้นเปลวไฟทั้งสามชนิดที่กัดกร่อนร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่องก็หายไปจนหมดในทันที
“ตายซะ” หนิงหยินจิ่ววิ่งเข้าไปพร้อมกับดาบ คลื่นพลังวิญญาณสีรุ้งเปล่งออกมาอย่างน่ากลัว จนไม่อาจต้านทานได้
ขณะเดียวกันเหล่าทหารของหน่วยรบค่ายกลสังหาร ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับแรงผลักดันจากหนิงหยินจิว ทำให้กล้าวิ่งไปโจมตีลั่วอู๋ ทีละคน
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ ปล่อยให้พลังวิญญาณสีม่วงปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ทักษะ ระดับ SS [มิติเวทมนตร์] ทำงาน
เขาไม่ได้ใช้ทักษะนี้ให้เป็นประโยชน์มานานแล้ว เพราะภาพลวงตานั้นยากที่จะได้ผลเมื่อต้องเผชิญกับผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอด
ดังนั้นอัตราความเชี่ยวชาญของเขาจึงไม่สูงนัก
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดใหญ่ ทักษะนี้ย่อมมีประสิทธิภาพมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ความมืดเข้าปกคลุมทหารทุกคนในทันที
ทหารทุกคนในค่ายต่างมีอาการมึนงง ตาของพวกเขาหมองคล้ำ พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ไป แม้ว่าพวกเขาจะตั้งใจจริงแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะลั่วอู๋ได้ เนื่องจากช่องว่างระหว่างมิติวิญญาณระหว่างพวกเขานั้นใหญ่เกินไป
อย่างไรก็ตามทักษะนี้มีประโยชน์ไม่มากต่อหน้า หนิงหยินจิว เขาเพียงแค่เสียสมาธิเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ปลีกตัวออกมาจากภาพลวงตาพุ่งเข้าใส่ลั่วอู๋ต่อ
แต่ท่าทีของลั่วอู๋ ก็ยังสุขุมไม่เปลี่ยนแปลง เขาร่ายทักษะระดับ SS [รวมพลเทวดา]ออกมาทันที
ภูตแห่งปัญญาปรากฏตัวขึ้น
มันถือหนังสือสีทองอันลึกลับและยังคงดูสง่างามเช่นเดิม
ทักษะ ระดับ A [ชำระล้าง]
เมื่อเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ หนิงหยินจิว ก็คำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เพราะเงาเสมือนจริงของร่างมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังเขาได้หายไปแล้ว
ทักษะ เชิญวิญญาณ ที่มีคุณสมบัติของธาตุมืดล้มเหลวในทันที
ร่างเงาเจ้านายเก่าของมาผีที่เขาเรียกมาถูกปัดเป่าหายไป
ทักษะบางอย่างมีความสามารถในการยับยั้งและชนะทางอีกทักษะ หากใช้อย่างถูกต้องทักษะระดับ A ก็สามารถทำลายทักษะระดับ S ได้เช่นกัน
ทักษะ ชำระล้าง นั้นทำได้เพียงแค่ปัดเป่าความมืด มันไม่ได้ขับไล่สิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญออกมาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามทักษะที่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ได้ปัดเป่าอำนาจมืดของ หนิงหยินจิวออกไป
ซึ่งนั้นนำไปสู่การล้มเหลวของทักษะเชิญวิญญาณ
“แก ” หนิงหยินจิวทั้งโกรธและประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าการทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาล้มเหลว
ลั่วอู๋หัวเราะ
“ เจ้ายอมหมอบลงดี ๆ ดีกว่านะ”
จู่ ๆ หนิงหยินจิวที่ดูจะเสียเปรียบก็พูดขึ้น
เขากำลังพูดถึงอะไร ? ลั่วอู๋สับสน
แต่แล้วเสียงอันมืดมนก็เริ่มดังขึ้น
“ตามที่คาดไว้องค์ชายเล็กช่างมองการณ์ไกลจริง ๆ นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ พวกเราจึงถูกส่งมายังค่ายกองทหารรักษาการณ์นี้” ชายสองคนเดินเข้ามาในค่ายจากที่ไหนสักแห่ง
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีฟ้าแต่งกายดั่งเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ผู้ทรงพลัง เขาถือพัดขนนกที่ดูสง่างาม
ส่วนอีกคนสวมชุดสีดำ เขามีใบหน้าอันเย็นชาและมีบาดแผลที่น่ากลัวบนใบหน้า เขาดูดุร้ายมาก
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ
ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าองค์ชายเล็กได้ผูกมิตรกับวีรบุรุษต่าง ๆ เกือบ 3000 คน ซึ่งในหมู่พวกเขากลุ่มคนที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ เหล่าสิบสามนายพลแห่งเทพเจ้า
สิบสามนายพลแห่งเทพเจ้าทุกคนล้วนมีความพิเศษและวิชาการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง และมีความภักดีเป็นอย่างยิ่งต่อองค์ชายเล็ก
ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาทั้ง 13 คนล้วนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงที่แข็งแกร่ง
ชายสองคนนี้คือปังชิเย่และฮังเหมิน
“ก็คิดไว้แล้วล่ะว่าต้องมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงที่แข็งแกร่งอยู่ที่นี่” ลั่วอู๋ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “แต่นี่มันจะระมัดระวังกันเกินไปแล้ว”
ตามปกติแล้วคงมีไม่กี่คนที่จะหลงเข้ามาที่นี่ การใช้กำลังรบอันล้ำค่าเช่นพวกเขาทั้งสองคนจึงดูจะไร้เหตุผลเกินไปสักหน่อย