ไหปีศาจ - บทที่ 424 จะพยายามหาข้าทำไม
บทที่ 424 จะพยายามหาข้าทำไม
บทที่ 424
จะพยายามหาข้าทำไม
ลั่วอู๋เดาได้อยู่แล้วว่าจะต้องมีผู้ใช้พลังวิญญานระดับทองขั้นสูงที่แข็งแกร่งอยู่ที่นี่
แต่เขาแค่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีถึงสองคน
นี่กลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขาซะแล้ว อย่างดีที่สุดลั่วอู๋ก็สามารถรับมือกับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงที่แข็งแกร่งได้เพียงคนเดียว และก็คงทำได้เพียงแค่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองจากความตายเท่านั้น
มันยากเกินไปที่จะชดเชยช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างมิติวิญญาณระดับใหญ่เช่นนี้ได้
ผู้ใช้พลังวิญญานระดับทองขั้นสูงที่แข็งแกร่งนั้นไม่เพียงแต่ผ่านการเปลี่ยนแปลงตัวตนในฐานะของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ต้องมีความทะเยอทะยานในการฝึกฝนอย่างถึงก้าวขึ้นสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงได้
นอกจากนี้คุณสมบัติที่สำคัญ มิติวิญญาณของทองขั้นสูงที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง ก็คือพวกเขาสามารถใช้ทักษะที่สัตว์วิญญาณครอบครองอยู่ได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
การที่สามารถใช้ทักษะของสัตว์วิญญาณได้โดยที่ไม่ต้องใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถแยกกันต่อสู้ไปพร้อมกับสัตว์วิญญาณได้ ซึ่งจะทำให้พวกเขามีหนทางการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีในการต่อสู้ได้อย่างหลากหลาย
“เจ้าหนูลั่ว ฝ่าบาทเอ่ยปากชื่นชมเจ้าอยู่เสมอ” ปังชิเย่พูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเจ้าไม่กลับไปกับข้าล่ะ ? ไปที่คฤหาสน์องค์ชายแล้วมาพูดคุยประเด็นสำคัญด้วยกันดีไหม?”
เขาไม่คาดคิดเลยว่าปฏิกิริยาแรกของอีกฝ่ายจะเป็นการชักชวน
หนิงหยินจิวกำหมัดแน่น เมื่ออยู่ต่อหน้าสิบสามนายพลแห่งเทพเจ้า เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดใจอะไร แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของปังชิเย่ ก็มีร่องรอยของความไม่พอใจและความหึงหวงปรากฏขึ้นในแววตา
เขาได้ทำสิ่งต่างๆมากมาย เพื่อองค์ชายเล็ก
แล้วอีกฝ่ายทำอะไรไว้กันแน่
อย่างไรก็ตามการแสดงออกของลั่วอู๋ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป “อันที่จริงแล้ว ข้าก็มีความรู้สึกดีๆ ให้กับองค์ชายเล็กเช่นกัน ถ้าทำได้มันคงจะเป็นการดี หากได้ผูกมิตรและเป็นเพื่อนกันกับเขา”
“เจ้าตกลงแล้วงั้นเหรอ?” ปังชิเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ ไม่ ข้าจะไม่ไปกับเจ้า”
“ทำไม?” ใบหน้าของปังชิเย่จมลง
ลั่วอู๋เหลือบมองไปยังคุกใต้ดิน เช่นเดียวกันกับปราสาทของตระกูลหยางที่อยู่ไม่ไกล “เหตุผลยังไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้พูดก็คงจะเพราะวิธีต่างๆของพวกเราไม่สมคบกัน”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้มากเกินจริงๆ ดังนั้นอย่าคิดว่าจะหนีออกไปได้เลย” ปังชิเย่คลี่ยิ้ม ใบหน้าของเขาดูเย็นชาขึ้นมาทันทีที่พูดจบ
“จะมามัวคุยเรื่องไร้สาระพรรค์นี้กันทำไม ? มันไม่เกี่ยวกับการต่อสู้ซะหน่อย” ฮังเหมินเบ้ปากแล้วจึงพูดว่า “ข้าจะฆ่าเจ้าเด็กนี่เอง”
ลมปราณอันรุนแรงพวยพุ่งขึ้นมาจากทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่มุ่งตรงมาดั่งคลื่นลูกใหญ่ทำให้ลั่วอู๋รู้สึกหวาดกลัว
“ข้าไม่สามารถเอาชนะพวกเจ้าได้ลาก่อน”
ลั่วอู๋กลายเป็นแสงสีขาวและหายไปทันที
เขาใช้ทักษะ ทะลวงมิติ หนีออกมา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงที่แข็งแกร่งถึงสองคนมันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะหนี
“ ทักษะห้วงมิติงั้นเหรอ?” ฮังเหมินตะคอกอย่างเย็นชา จากนั้นมือของเขาก็สำรวจไปตามความว่างเปล่า แล้วจับภูตศรสังหารมา “เจ้าได้กลิ่นของมันแล้วไม่ใช่รึ พาข้าไปหามัน”
ภูตศรสังหารถูกสั่นคลอนด้วยผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงผู้ทรงพลัง ความดุร้ายของมันหายไปจนไม่เหลืออีกต่อไป มันยกจมูกขึ้นและคำรามสองครั้งก่อนจะมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้
“ตามล่ามัน” เหล่าทหารทั้งหมดออกไล่ล่า
ไม่ใช่ว่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงทั้งสองคน ไม่มีวิธีในการตามจับตัวลั่วอู๋
แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพและสะดวกที่สุดในตอนนี้ ก็คือการค้นหาด้วยคุณสมบัติของภูตศรสังหาร
หนิงหยินจิวมีสีหน้าอันเศร้าหมอง “กระจายคำสั่งของข้าออกไปให้ทหารทุกนาย สั่งให้ทุกคนออกตามหาตัวผู้บุกรุกให้เจอ แล้วฆ่ามันซะ”
ทหารของหน่วยรบค่ายกลสังหารวิ่งกระจายกันออกไปอย่างรวดเร็ว
แสงสีขาวสว่างวาบ จากนั้นลั่วอู๋ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของค่ายไป 5 ลี้
ลั่วอู๋โบกมือเรียกเหยี่ยวหยกขาวนับร้อยตัว ให้พวกมันเป่าผงสีขาวออกจากร่างเขาแล้วโรยลงบนตัวพวกมันแทน
“เอาล่ะ พวกเจ้าจงบินแยกกันไปคนละทางนะ” ลั่วอู๋สั่ง
ผงสีขาวนี้ทำให้อีกฝ่ายสามารถค้นหาตำแหน่งของลั่วอู๋ได้
ด้วยวิธีนี้อย่างน้อยการรับรู้ของภูตศรสังหารก็จะถูกแทรกแซง ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
เหยี่ยวหยกขาวหลายร้อยตัวบินออกไปในทิศทางต่างๆในพริบตา
“ หากข้าอยากจะทำลายค่ายนี้ล่ะก็ นี่น่าจะเป็นปัญหาซะแล้ว” ลั่วอู๋เริ่มคิดถึงมาตรการรับมือ
อีกฝ่ายมีทหารประมาณ 10,000 นายอยู่ในค่าย จำนวนขนาดนี้ไม่ใช่อะไรที่เขาสามารถรับมือได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะทหารเหล่านั้นเองก็ไม่ได้อ่อนแอ
ดวงตาของลั่วอู๋ขยับราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็กระซิบออกมาว่า “ถึงเวลาที่เจ้าจะได้แสดงฝีมือที่เจ้าซุ่มฝึกฝนมานานแล้ว”
ลั่วอู๋โบกมือ
เงาดำค่อยๆรวมตัวกันเป็นรูปร่าง
ร่างของชายผู้ถือหอกปราบมังกรและสวมเกราะซวนหวู่ ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาดูเย็นชา ลมปราณของเขาสง่างาม เต็มไปด้วยกลิ่นเหล็กและเลือด
นายพลผี ไป่ฉี
หลังจากที่เขาได้เห็นเกราะซวนหวู่เย็นลงด้วยเสียงฟ้าร้องและสายฟ้า ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการทะลุมิติวิญญาณ ระดับ ทอง มิติ 10 และก้าวเข้าสู่มิติวิญญาณทองขั้นสูง
ตอนนี้ลมปราณของเขาทรงพลังมากขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันแข็งแกร่ง
แสงสีทองของเกราะซวนหวู่ มาบรรจบกันกับความมืด แม้มันจะดูธรรมดามาก แต่เมื่อสองอย่างรวมเข้าด้วยกัน มันก็ทำให้พลังป้องกันของเขาสูงขึ้นไปอีกมาก
กล่าวคือนายพลผู้ทรงพลังอย่างไป่ฉี นั้นสามารถสวมชุดเกราะซวนหวู่และดึงพลังของมันออกมาได้ ต่างจากคนธรรมดาที่ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของมันไหว
“ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า” ลั่วอู๋กล่าวอย่างรวดเร็ว
ไป่ฉีพยักหน้าและก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้ายินดีช่วยเหลือเจ้า”
เขายอมรับในตัวของลั่วอู๋แล้ว
ลั่วอู๋ให้อิสระกับตัวเขาโดยไม่ต้องบังคับผูกมัดด้วยสัญญาใด ๆ อีกทั้งยังมอบเกราะสมบัติอย่างเกราะซวนหวู่ให้เขาอีก หากไม่มีเกราะซวนหวู่นี้ เขาคงจะไม่สามารถทะลุไปถึงมิติวิญญาณทองขั้นสูงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้แน่
หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็ได้ปล่อยนายพลผีประมาณ 8000 คนที่ซุ่มฝึกฝนทั้งกลางวันและกลางคืนในมิติไหออกมา
กองทหารผีแปดพันตนยืนสูงตรงอย่างสง่างาม ทำให้ทั่วทั้งป่าทึบเงียบไปชั่วขณะ กองทัพอันทรงพลังนั้นน่าเกรงขามเสียจนทั้งนกและแมลงต่างก็เงียบหาย
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงกองทหารผี แต่ก็ระดับพลังในการต่อสู้ที่ทรงพลัง
ทหารผีเหล่านี้ล้วนมาจากภูเขากุยโต และลั่วอู๋รู้ดีว่าภูเขากุยโตเดิมทีเป็นสนามรบที่เหล่าทหารต่างต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะสูญเสียความทรงจำและกลายเป็นผีที่มีความทรงจำยุ่งเหยิง แต่พวกเขาก็จำสิ่งหนึ่งได้เสมอ
“สรรเสริญเทพเจ้า! ปกป้องผู้เป็นนาย! เพื่อวงศ์ตระกูล!”
“สรรเสริญเทพเจ้า! ปกป้องผู้เป็นนาย! เพื่อวงศ์ตระกูล!”
ผีแปดพันตัวจะแผดเสียงพร้อมเพรียงกัน
เสียงกองทัพดังก้องทะลุผ่านหมู่เมฆขึ้นไปทั่วฟ้า
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแสนนาน จนศพของพวกเขากลายเป็นฝุ่น และทะเลก็ได้กลายเป็นทุ่งราบ แต่พวกเขายังคงจำแนวคิดดั้งเดิม รวมถึงจุดประสงค์ในการต่อสู้และเสียสละของพวกเขาได้
จิตวิญญาณนั้นเป็นอมตะ เจตจำนงนี้จะอยู่ชั่วนิรันดร์
จากนั้นเหล่าก็กระจัดกระจายกันออกไป
หลังจากผ่านไปกว่า 8000 ปี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรอดชีวิตมาเกินกว่าที่กาลเวลาจะทำอะไรเจตจำนงนี้ได้
……
……
ปังชิเย่และฮังเหมินรีบวิ่งออกไป
แต่ระหว่างทางพวกเขาก็ต้องหยุดชะงัก เนื่องจากจู่ ๆ ภูตศรสังหารก็พบว่ากลิ่นของเป้าหมายนั้นถูกแบ่งออกเป็นร้อยกลิ่น หนีไปคนละทิศคนละทาง
“ไม่มีทางตามรอยได้เลยงั้นหรือ?” ปังชิเย่ขมวดคิ้ว
ฮังเหมินมองไปที่ภูตศรสังหารที่ตัวสั่นในมือของเขาด้วยความโกรธ “จะให้ข้าทำยังไงเล่า ?”
หลังจากนั้นก็เสียงขย้ำมือก็ดังขึ้น
ภูตศรสังหารถูกฆ่าทันที จากนั้นเขาก็โยนมันทิ้ง
“พวกเราไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นหนีไปได้ มันจะยิ่งยากในการตามตัวเขา” ฮังเหมินกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“แน่นอนข้ารู้เรื่องนั้นดี” ดวงตาของปังชิเย่หรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ต้องกังวลไป ทักษะห้วงมิตินั้น กินเวลามากกว่าจะใช้ได้อีกครา เขาไม่สามารถวิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่หรอก”
พูดจบมือของปังชิเย่ก็เปล่งแสงสีม่วงออกมา
เขาเรียกสัตว์วิญญาณประหลาดสีดำออกมา
สัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูง สัตว์ร้ายหมิงเต๋า
สัตว์วิญญาณตัวนี้มีขนาดตัวไม่ใหญ่ รูปร่างคล้ายช้าง เพียงแต่งวงมันสั้นกว่านิดหน่อย มันมีผิวหนังหนาสีดำ ดวงตาสดใสเหมือนไข่มุก เสียงของมันฟังดูแปลก ๆ และมีเขาเดี่ยวที่ศีรษะ
นี่คือสัตว์วิญญาณตัวที่สี่ของเขา
สัตว์วิญญาณระดับเพชรนั้นหายากและทรงพลังเกินไป
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงทั่วไปจึงได้ละทิ้งความคิดเพ้อฝัน แล้วค้นหาสัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูงที่เหมาะสมมาเป็นสัตว์วิญญาณคู่พันธะตัวที่สี่
สัตว์ร้ายหมิงเต๋านั้นไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา ๆ มันเป็นสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากมาก มันเป็นสัตว์วิญญาณที่ไม่สามารถเพาะพันธุ์ขึ้นมาได้ อีกทั้งว่ากันว่าพลังวิญญาณของพวกมันนั้นแข็งแกร่งมาก จนเหนือกว่าสัตว์วิญญาณระดับเพชรทั่ว ๆ ไปด้วยซ้ำ
“หาเขาให้เจอ” ปังชิเย่ออกคำสั่ง
ทันใดนั้นดวงตาของสัตว์ร้ายหมิงเต๋าก็เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวสว่างไสว พลังวิญญาณอันทรงพลังของมันแผ่กระจายออกไปครอบคลุมพื้นที่แหล่งมรดกศิลปะการต่อสู้โบราณราว ๆ หนึ่งในสาม เพียงชั่วพริบตา
สัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูง มิติ 4 สัตว์ร้ายหมิงเต๋า มีพลังวิญญาณที่สามารถครอบคลุมดินแดนขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับมณฑลได้ ถือว่าเป็นความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวมาก
สัตว์ร้ายหมิงเต๋าคำราม
มันบอกเขาว่ามีกลิ่นแปลก ๆ มากมายในแหล่งมรดกศิลปะการต่อสู้ทางการทหารโบราณ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิญญาณผี
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจ เขาสนใจแค่ว่าลั่วอู๋อยู่ที่ไหน
จากนั้นสัตว์ร้ายหมิงเต๋า ก็คำรามออกมาอีกสองสามครั้ง ทำให้ปังชิเย่ต้องตกตะลึงเพราะสัตว์ร้ายหมิงเต๋า กำลังบอกเขาว่าคนที่เขาตามหาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ปังชิเย่หันหน้ามาและเขาก็ได้พบกับลั่วอู๋ที่เดินออกมาจากป่าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“จะพยายามหาข้าทำไม ? ข้าก็อยู่ตรงนี้แล้วไง”ลั่วอู๋ กล่าวอย่างสบาย ๆ